โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เอ็ดดี้ยัน ตนเองปกป้องสถาบัน แจงกรณีถูกอ้างอิงในการดำเนินคดีต่อนักวิชาการสหรัฐฯ ชี้ตนเองได้รับเกียรติจาก กอ.รมน. ภาค 3 นำข้อมูลไปใช้

The Structure

อัพเดต 25 เม.ย. เวลา 14.01 น. • เผยแพร่ 25 เม.ย. เวลา 07.01 น. • The Structure

เอ็ดดี้ – อัษฎางค์ ยมนาคออกแถลงการณ์กรณีบทความของอัษฎางค์ ยมนาค ที่ถูกอ้างอิงในกระบวนการดำเนินคดีต่อ ดร.พอล แชมเบอร์ส

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 3 ได้มีการอ้างอิงบทความของข้าพเจ้า อัษฎางค์ ยมนาค ซึ่งเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ในการดำเนินการตรวจสอบ และเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลในการแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แก่ ดร.พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวสหรัฐอเมริกา นั้น

ข้าพเจ้าขอชี้แจงต่อสาธารณชน ดังต่อไปนี้

  • ที่มาของข้อวิพากษ์ของข้าพเจ้า มาจากบทความของ ดร.พอล แชมเบอร์ส ซึ่งเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์

โดยใช้ถ้อยคำที่ชี้ให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือนในการแต่งตั้งโยกย้ายกองทัพ ซึ่งขัดแย้งกับหลักการของรัฐธรรมนูญไทยโดยสิ้นเชิง

บทความดังกล่าว ถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษและเมื่อถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในระดับนานาชาติ ก็ย่อมสร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง โดยเฉพาะในหมู่ผู้อ่านที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงตามหลักกฎหมายไทย อันอาจส่งผลให้ภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในสายตาชาวโลกเกิดความเสียหายโดยไม่เป็นธรรม

  • บทความนั้นอาจถูกเขียนในทาง “วิชาการ” แต่มีลักษณะของ Disguised Political Attack (การโจมตีทางการเมืองที่สวมเสื้อคลุมวิชาการ) และส่งผลกระทบเชิงภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของสถาบันฯ ในระดับนานาชาติ เช่น

  • มีลักษณะ บ่อนเซาะความมั่นคงของสถาบันฯ

  • บิดเบือน หน้าที่ทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ

  • อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา

  • บทความของข้าพเจ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะจากบทความในเว็บไซต์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งตำแหน่งในกองทัพไทย

ข้าพเจ้าได้แสดงความเห็นในฐานะพลเมืองไทยที่มีสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะในหมวด 4 มาตรา 50 ซึ่งกำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่พิทักษ์สถาบันหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

  • ข้าพเจ้าไม่มีเจตนากล่าวหา หรือให้ร้ายบุคคลใดเป็นการเฉพาะเจาะจง

แต่เป็นการแสดงความเห็นต่อประเด็นสาธารณะในเชิงวิชาการ โดยชี้ให้เห็นถึงความคลาดเคลื่อนของข้อมูลกับหลักกฎหมายและรัฐธรรมนูญของไทย มิได้มีถ้อยคำใดที่เป็นการใส่ร้าย หรือกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังต่อบุคคลใด

  • ข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการตัดสินใจหรือกระบวนการของหน่วยงานรัฐ

การที่บทความของข้าพเจ้าถูกนำไปใช้โดยหน่วยงานของรัฐ ย่อมอยู่ภายใต้ดุลยพินิจและอำนาจของหน่วยงานนั้น ๆ ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจสั่งการ ชี้นำ หรือควบคุมผลทางกฎหมายใด ๆ ที่ตามมา

ทั้งนี้ ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า บทความของข้าพเจ้าได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกอภิปรายในเวทีรัฐสภา ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน, กฎหมายอาญามาตรา 112, อำนาจหน้าที่ของกองทัพ, กระทรวงกลาโหม ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

ข้าพเจ้าจึงขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกข้อความในบทความนั้น เขียนขึ้นจากเจตนาบริสุทธิ์ ด้วยความห่วงใยต่อสถาบันหลักของชาติ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง หรือมุ่งหมายให้เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด

  • ข้าพเจ้าเชื่อว่า การที่บทความของข้าพเจ้าได้รับการอ้างอิงโดย กอ.รมน. ภาค 3 ถือว่าเป็นการได้รับเกียรติจากหน่วยงานความมั่นคงที่เห็นคุณค่าในการใช้ข้อมูลจากภาคประชาชน ในการนำไปพิจารณาดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อกฎหมายไทย ซึ่งในฐานะประชาชนถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ

ไม่ใช่เพราะต้องการให้ใครได้รับโทษ แต่เพราะเป็นการตอกย้ำว่า พลเมืองคนหนึ่งสามารถทำหน้าที่ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

  • เนื้อหาทั้งหมดของบทความนั้น ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ตามหลักกฎหมาย ไม่ได้ใส่ร้ายหรือบิดเบือน แต่คือการชี้ให้เห็นถึงความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงในบทความของ ดร.พอล แชมเบอร์ส ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า มีลักษณะที่ละเมิดกฎหมายไทย

การที่หน่วยงานความมั่นคงใช้บทความดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบ จึงถือเป็นการใช้ข้อมูลภาคประชาชนอย่างมีคุณค่า และสะท้อนว่า สังคมไทยยังเปิดพื้นที่ให้พลเมืองได้ทำหน้าที่ของตนเพื่อปกป้องชาติบ้านเมืองอย่างสง่างาม

  • ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าขอเน้นย้ำว่า การแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นสาธารณะในสังคมประชาธิปไตย ต้องสามารถกระทำได้ภายใต้หลักแห่งกฎหมาย ความสุจริตใจ และความรับผิดชอบ

ในขณะเดียวกัน หน่วยงานของรัฐและสื่อมวลชนควรใช้อำนาจและข้อมูลด้วยความรอบคอบ และตรงต่อข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือผลกระทบต่อบุคคลใดโดยไม่เป็นธรรม

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...