โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

การกลับมาขององค์หญิงใหญ่ (มี e-book)

นิยาย Dek-D

เผยแพร่ 21 พ.ย. 2566 เวลา 02.13 น. • สถิตกาล
ชาติก่อนเกาเฉี่ยนตัดสินใจผิดพลาด ผลักดันองค์ชายปลายแถวผู้หนึ่งขึ้นบัลลังก์ เขาสังหารครอบครัวนาง ทารุณราษฎรของนาง ทำลายแคว้นจิ่งจนราบคาบ วารีคืนหวน เวลาไหลย้อนกลับ นางต้องหาทางแก้ไขอดีตใหม่ให้จงได้

ข้อมูลเบื้องต้น

เกาเฉี่ยนเอ่ยเข้าประเด็น "ข้ายินดีช่วยเหลือท่านคลี่คลายวิกฤตเป็นตาย ทว่ามีหนึ่งเงื่อนไข"

เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

"องค์หญิงโปรดชี้แนะ"

นางคีบหมากดำเม็ดหนึ่งขึ้นมา เอ่ยเสียงเนิบช้า

"แต่งข้าเป็นภรรยา"

ชายหนุ่มเบิกตากว้าง สีหน้าตึงเครียด ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยื่นเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา ทว่าด้วยสภาพการณ์บีบคั้น เขาไม่เหลือเวลาให้ขบคิดมากความอีกแล้ว มือหนารับหมากดำนั้นไว้ จากนั้นออกแรงกำแน่น คล้ายปรารถนาบดขยี้ให้แหลกละเอียด ทว่ากลับไม่อาจทำได้ดังใจ

ท่าทีของเกาเฉี่ยนยังคงเยือกเย็น เพียงแต่มีรอยยิ้ม 'เป็นดังที่คาดไว้ไม่มีผิด' แต้มเพิ่มขึ้นมา

ชายหนุ่มยังคงสุขุมเฉกปกติ เพียงแต่มีกระอาย 'ข้าถูกสุนัขบีบให้กินมูลสุนัข' แผ่ออกมาทั่วร่าง

เขารับหมาก (ฉีจื่อ) แล้ว ย่อมหมายถึงยอมรับภรรยา (ชีจื่อ)

ได้สตรีสูงศักดิ์มากแผนการเช่นนี้เป็นภรรยา ไม่รู้วันข้างหน้าชีวิตเขาจะเป็นเช่นไร

-----------------------------

สวัสดีค่ะ นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความสงสัยส่วนตัวของผู้เขียน ว่าถ้าหากผู้หญิงมีทั้งยศศักดิ์ อำนาจ และความสามารถในเวลาเดียวกันจะทำอะไรได้บ้าง และไม่ใช่แค่ผู้ชายที่บริหารบ้านเมืองได้ ผู้หญิงก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้กัน

ผู้เขียนก็เลยสนองนี้ดตัวเองสักหน่อย ลองเขียนขึ้นมาดูว่าจะเป็นอย่างไร หากใครชื่นชอบฝากกดติดตาม และเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยน้า

บทที่ 1 : หวนกาลคืนวสันต์

เกาเฉี่ยนตายแล้ว

ภาพจำสุดท้ายก่อนตาย คือการถูกทั่วป๋าอิ๋นเซียวไล่ตามไปจนถึงทางตัน ที่นี่คือทิศเหนือของวังหลวงแคว้นเป่ยเว่ย เบื้องหลังคือผาสูงหมื่นจั้ง เบื้องหน้าหันเข้าหาทหารม้าหงฉีที่นางเป็นคนทุ่มเทสร้างขึ้นมา ทว่ายามนี้ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของนางอีกต่อไปแล้ว

“อาเฉี่ยน เอาแผนที่คืนมา กลับไปกับข้า”

เขายื่นมือมาหา มองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ ฝ่ามือนั้นทั้งหยาบกระด้างและเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น

ในมือของเกาเฉี่ยนคือแผนที่แผ่นหนึ่ง

“กลับไปให้เจ้ากักขังไว้ในตำหนักเล็กแคบนั่นน่ะหรือ อิ๋นเซียว ข้านึกว่าเจ้าจะรู้ผลลัพธ์ตั้งแต่แตะต้องน้องข้าแล้วเสียอีก”

เกาเฉี่ยนถอยหลังก้าวหนึ่ง เศษดินหล่นร่วงสู่ก้นเหว “แม้สตรีที่ออกเรือนเป็นเหมือนน้ำที่สาดออกไป ทว่าสายเลือดในกายข้าคือสกุลเกา ราษฎรแคว้นจิ่งหนึ่งคน เท่ากับหนึ่งหยาดหยดโลหิต เจ้าสังหารพวกเขานับไม่ถ้วน นั่นคือความแค้นมิอาจอยู่ร่วมฟ้า”

ทั่วป๋าอิ๋นเซียวก้าวเข้าหานางหนึ่งก้าว “อาเฉี่ยน เจ้าเองก็รู้ดีว่าอย่างไรสามแผ่นดินต้องรวมเป็นหนึ่ง หากข้าไม่ทำ ก็ต้องมีผู้อื่นทำ ไม่สู้หักใจยืนเบื้องหลังข้าเงียบๆ ลืมทุกอย่างไปเสีย”

“ข้าเคยคิดเช่นนั้น ขอเพียงราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข เป็นใครปกครองก็ไม่ต่างกัน” เกาเฉี่ยนเผยอยิ้ม “กระทั่งได้รู้ว่าเป่ยเว่ยของพวกเจ้าจัดการกับราษฎรข้าอย่างไร สังหารน้องข้าอย่างไร”

ตัดหัวบุรุษ ย่ำยีสตรี ผลักชาวบ้านไร้ทางสู้ลงหลุม ฝังกลบพวกเขาทั้งเป็น คนที่เหลือถูกจับเป็นทาสของชาวเป่ยเว่ย รีดนาทาเร้น ไม่ได้ดั่งใจก็จับไปทรมานเฆี่ยนตี เสียงร่ำไห้โหยหวนประสานดังสี่ทิศ ผืนดินกว้างใหญ่ตกสู่ห้วงนรกในชั่วข้ามคืน

“ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่ง นี่คือกฎของฟ้าดิน” ใบหน้าหล่อเหลาแฝงกระอายดุร้ายขมวดคิ้วมุ่น เหยียดริมฝีปากยิ้ม “ราชนิกุลเกานอกจากเจ้าแล้วเก็บไว้ไม่ได้สักคนเดียว”

เกาเฉี่ยนมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

หลายปีก่อน เพราะต้องการเพิ่มฐานอำนาจให้น้องชายและพระบิดาในแคว้นจิ่ง เกาเฉี่ยนจึงตอบรับคำขอแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จากเป่ยเว่ย สร้างกองกำลังส่วนตัว ผลักดันองค์ชายปลายแถวอย่างทั่วป๋าอิ๋นเซียวครองบัลลังก์ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานกลับเกิดจลาจลภายในแคว้นจิ่ง สามอ๋องก่อกบฏ แม่ทัพแบ่งฝักฝ่าย นางวอนขอให้ทั่วป๋าอิ๋นเซียวช่วยเหลือน้องชายเป็นการตอบแทนบ้าง สุดท้ายกลับกลายเป็นเขาที่ทำลายแคว้นจิ่งราบคาบ

เรื่องสักวันแคว้นใดแคว้นหนึ่งต้องล่มสลาย เกาเฉี่ยนเข้าใจดีเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ต้องไม่ใช่ด้วยการกระทำอันโหดร้ายทารุณเช่นนี้ ยิ่งหวนนึกว่าตนเองเป็นคนดึงเขาขึ้นมาจากขุมนรกเองกับมือ นางก็ยิ่งเจ็บปวดใจ

“หากข้าเกาเฉี่ยนย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่มีวันแต่งงานไปเป่ยเว่ย ไม่เลือกเจ้าเป็นคู่ครอง ไม่คอยช่วยเหลือเจ้ายามทุกข์ยาก เคียงข้างยามลำบากอีกต่อไป”

ดวงตาหงส์ฉาบประกายกร้าว ทั่วป๋าอิ๋นเซียวถึงอย่างไรก็ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมานาน เห็นสายตานี้ก็รู้ได้ทันทีว่านางคิดทำสิ่งใด ใบหน้าพลันตึงเครียด เร่งรุดสาวเท้าก้าวขึ้นหน้า

“ทั่วป๋าอิ๋นเซียว วาสนาสามีภรรยาสิบปี เกาเฉี่ยนขอจบลงเพียงเท่านี้”

“อาเฉี่ยน!!!”

เกาเฉี่ยนคลี่ยิ้ม งดงามราวเทพวสันต์ เรียวนิ้วสากด้านหมายฉุดร่างภรรยาไว้กลับคว้าได้เพียงอากาศ นางทิ้งตัวร่วงดิ่งดุจนกปีกหัก มองภาพใบหน้าคลุ้มคลั่งบิดเบี้ยวของเขาห่างไกลออกไปทุกที ทิ้งความรักความแค้นไว้เบื้องหลัง ไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขาเสียดายนาง…หรือว่าแผนที่แผ่นนี้กันแน่

อัสสุชลหยดหนึ่งลอยล่อง

ท้องฟ้ายามนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอก

“องค์หญิงเพคะ เหตุใดเหม่อลอยอีกแล้วเล่า หรือว่าอาการไข้หวัดยังไม่หายดี”

เสียงใสสายหนึ่งดังเรียกสติของเกาเฉี่ยนให้ตื่นจากภวังค์ นางกำนัลนามอวี้หูเอ่ยต่อด้วยความห่วงใย “บ่าวไปเรียกหมอหลวงมาตรวจอีกรอบดีกว่า”

“ไม่ต้อง”

เกาเฉี่ยนกะพริบตา เท้าคางเหนือโต๊ะริมหน้าต่างบานกลม มองจอกชาที่เย็นชืดแล้วในมือ “ข้าไม่เป็นไร”

นางย้อนเวลากลับมาที่นี่เมื่อสามวันก่อน

หวนนึกดูแล้ว ยามนั้นเป็นช่วงรุ่งสาง อากาศเย็นสบาย กลิ่นดอกสุ่ยเซียนแตะจมูก รู้ได้ทันทีว่าเข้าสู่ฤดูวสันต์แล้ว เกาเฉี่ยนนอนอยู่บนเตียงไม้เสี้ยวจันทราที่ฮ่องเต้แคว้นจิ่งสั่งทำด้วยตนเอง ผ้าห่มเหนืออกปักลายร้อยบุปผา ที่บรรดาน้องสาวต่างมารดาร่วมกันทำมอบให้เป็นของขวัญรับปีใหม่ กวาดสายตามองภายในตำหนักหย่งชุนอันกว้างขวาง เห็นดรุณีสี่นางกำลังนั่งๆ นอนๆ ทำกิจของตนเองอยู่เงียบๆ

องค์หญิงรองเกาเยี่ยนนั่งอ่านตำราอยู่เหนือตั่งยาว บนตักบางคือศีรษะขององค์หญิงห้าเกาฮวนผู้กำลังหลับปุ๋ย ฝั่งตรงข้ามคือองค์หญิงสามเกาลู่ นางนั่งปักผ้าได้ครู่เดียวก็ถลึงตายกเข็มชี้หน้าคนข้างๆ ให้เงียบเสียงลง องค์หญิงสี่เกาถงลอยหน้าลอยตาใช้ใบมีดแกะสลักตุ๊กตาไม้ในมือต่อไป

เมื่อเก็บสายตากลับมามองข้างกาย จึงเห็นเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งกำลังพริ้มตาหลับสนิท กอดเอวของเกาเฉี่ยนต่างหมอน เขาคือเกาหมิง โอรสเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้แคว้นจิ่ง…น้องคนสุดท้องของเกาเฉี่ยน อายุห่างกันมากถึงสิบสองปี

นี่เป็นภาพที่พวกเขามาอยู่เป็นเพื่อนนางเมื่อครั้งป่วยหนัก

อารมณ์ของเกาเฉี่ยนยากบรรยาย พวกเขาทุกคนต่างมีจุดจบอันน่าเศร้า นางนึกว่าทุกอย่างคือความฝัน เป็นเพียงภาพมายาหลังความตายก็เท่านั้น ทว่าสามวันมานี้นางไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยสักนิด กระทั่งเริ่มหลงงมงายว่าทุกอย่างคือความจริง

…นางย้อนกลับมาสู่ช่วงอายุสิบเจ็ดปี เป็นเวลาสองปีก่อนที่จะแต่งงานไปแคว้นเป่ยเว่ย

เพราะฮองเฮาและสนมทั้งสี่คนของเสด็จพ่อล้วนจากไปก่อนวัยอันควร ทุกข์ระทมยากระงับ สั่งสมเป็นความเจ็บป่วย ซ้ำยังมิตรศัตรูยากแยกแยะ หากรับผิดคนรังแต่จะเป็นอันตรายต่อเกาหมิง ฮ่องเต้จึงไม่มีประสงค์รับสตรีใดเพิ่มเป็นการชั่วคราว

เกาเฉี่ยนซึ่งเป็นพระธิดาองค์โต จึงได้อำนาจสิทธิ์ขาดของฝ่ายในไปโดยปริยาย เรื่องทุกอย่างของวังหลวงตั้งแต่นางกำนัลขันที ลงโทษตกรางวัล เรื่องเล็กไปถึงเรื่องใหญ่ล้วนมีเกาเฉี่ยนเป็นผู้สั่งการและตัดสินใจ รวมถึงบรรดาน้องสาวและน้องชายก็ล้วนเป็นเกาเฉี่ยนที่ดูแลด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้แม้ต่างมารดากัน สายสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้น

ทั้งหมดทั้งมวล บ่มเพาะองค์หญิงใหญ่เกาเฉี่ยนให้เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ ยามแต่งงานไปเป่ยเว่ยจึงกลายเป็นลมใต้ปีกอันแข็งแกร่งให้กับทั่วป๋าอิ๋นเซียว

ทว่าครั้งนี้…นางไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว

ชาติก่อนเกาเฉี่ยนในวัยสิบเจ็ดปี แม้มีความสามารถทว่าไร้ประสบการณ์ ส่วนเกาเฉี่ยนยามนี้ผ่านการขัดเกลาจากมรสุมการเมืองในเป่ยเว่ย และสงครามรวมแคว้นมานับสิบปีแล้ว ย่อมมีทัศนะแตกต่างออกไป

“อวี้หู”

“เพคะองค์หญิง”

เกาเฉี่ยนมองกระดานไม้บนโต๊ะ วางหมากเม็ดหนึ่งลงไปบังเกิดเสียง ‘แป๊ก’ สั้นกังวาน หมากสีดำบนพื้นที่ว่างเปล่าดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

นี่คือการเริ่มต้นหมากเม็ดแรก

“เจ้าไปบอกหลี่กงกง เตรียมองครักษ์และรถม้าไว้ ข้าจะออกนอกวัง” นัยน์ตาหงส์ฉายแววครุ่นคิด “ไม่ต้องให้น้องห้ารู้”

“ไปไหน…”

เกาเฉี่ยนผินหน้าตามเสียง เห็นเด็กชายตัวน้อยในชุดแพรยาวสีมรกตกำลังนั่งจุมปุ๊กจ้องนางตาใส เรียวนิ้วขาวยื่นไปจิ้มแก้มกลมอย่างคิดถึง สัมผัสนุ่มนิ่มที่ปลายนิ้วพาให้จิตใจผ่อนคลายลง

นางคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ไปหาทางช่วยหมิงเอ๋อร์ ช่วยเสด็จพ่อ พี่สาวทุกคนของเจ้า และทุกคนในต้าจิ่ง”

ต้าจิ่งเป็นอย่างไร ต้องเริ่มแก้ไขที่จุดใด นางต้องทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมดเอง

***************

พูดคุย :

พื้นเพของยุคนี้จะเป็นช่วงก่อนรวมแผ่นดิน มีแคว้นเล็กแคว้นน้อยเยอะ แต่ละแคว้นรอจังหวะก้าวขึ้นเป็นหนึ่ง มีสำนักคิดที่ยึดถือแตกต่างกันไป กฎเกณฑ์อะไรหลาย ๆ อย่างเลยจะมีความเฉพาะตัวค่ะ

ขอฝากนิยายด้วยนะคะ :)

บทที่ 2.1 : กำแพงวังสูงเทียมฟ้า

เหนือนครจิงตู เมืองหลวงแห่งแคว้นจิ่ง ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ อากาศแจ่มใสเหมาะแก่การค้าขาย

เสียงล้อไม้บดถนนดังเอียดอาด กึกก้องไปตามเส้นทางตรอกการค้าตะวันออก กลิ่นไอร้อนจากเตาร้านเซาปิ่งตลบอบอวลไปถึงหัวถนน ชาวบ้านพากันเดินหลบให้อาชาพ่วงพีวิ่งผ่านไป พวกเขาไม่กล้าชักช้าแม้เพียงนิด เพราะดูจากทหารองครักษ์ที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าข้างในจะต้องเป็นราชนิกุลผู้หนึ่ง บุคคลที่ไม่อาจล่วงเกิน

รถม้าแล่นห่างออกไป ไม่นานผู้คนก็ทยอยกลับมาเดินจับจ่ายใช้สอยกันดังเดิม

มุมหนึ่งข้างร้านค้าแป้งสกุลจิว เกาเฉี่ยนกำลังยืนกอดอกมองสถานการณ์รอบด้านอยู่เงียบๆ นางอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ปักลวดลายใบไผ่สีครามพาดผ่านแขนเสื้อตัวยาว ผ้าพันเอวสีเดียวกันขับให้ร่างระหงดูสง่าละมุนละไม เรือนผมสีน้ำหมึกกึ่งรวบกึ่งปล่อย ม้วนส่วนหนึ่งยึดไว้ด้วยปิ่นไม้ ใบหน้าครึ่งล่างมีผ้าโปร่งปิดคลุมไว้ ดูไปแล้วเรียบง่ายสบายตา

เพื่อเลี่ยงหูตาของเหล่า ‘ไท่เฟย’ สนมชายาของฮ่องเต้รัชกาลก่อน เกาเฉี่ยนตัดสินใจใช้การไปไหว้พระขอพรที่อารามชิงอวิ๋นเป็นฉากบังหน้า จับอวี้หูแต่งตัวเป็นตนเองนั่งในรถม้า ส่วนนางปลีกตัวออกมาเมื่อถึงจุดอับสายตา เก็บองครักษ์เงาไว้เพียงสี่คนเท่านั้น

เกาเฉี่ยนมุ่งหน้าเดินเข้าตรอกย่อยลงใต้ ห่างไกลจากย่านการค้าหลักลงมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงบริเวณที่มีแต่ร้านขายของเก่า รองเท้าผ้าปักจึงหยุดเบื้องหน้าร้านตำราร้านหนึ่ง ก้าวเข้าไปอย่างเงียบเชียบ

เถ้าแก่ร้านตำราเจาจี้เป็นชายชราร่างผอม ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ยืนปัดฝุ่นจากชั้นไม้ไผ่ด้วยท่าทางเงอะงะ ยามเห็นสตรีชุดขาวก้าวเข้ามา แรกเริ่มตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะร้านของเขาเป็นร้านเล็กๆ ไม่สะดุดตา ซ้ำปกติยังเป็นเหล่าบัณฑิตยากจนที่เข้ามาเสียส่วนใหญ่ ประโยคแรกที่เอ่ยออกไปจึงเป็น

“แม่นาง ท่านเข้าผิดร้านแล้ว”

ดวงตาเหนือผ้าคลุมหน้ายกโค้งเล็กน้อย “ข้ามาซื้อตำรา ย่อมต้องเข้าร้านตำรา”

ผู้เฒ่าจี้ถึงตั้งสติได้ เดินกะเผลกเข้าหา “แม่นางสนใจตำราเล่มใด ผู้ชราจดจำได้ทุกเล่ม ขอเพียงมีอยู่จะหยิบมาให้แม่นางเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องลำบากเข้าไปหาเอง”

“ข้ามาซื้อตำราของชุนจงหาน ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามีขายหรือไม่”

ผู้เฒ่าจี้อึ้งเป็นคำรบสอง พลันกลบเกลื่อนสีหน้าอย่างรวดเร็ว “ผู้ชราไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน เกรงว่าแม่นางคงเสียเวลาเปล่าแล้ว”

เกาเฉี่ยนพิศมองท่าทีสบายอกสบายใจ คล้ายไม่มีสิ่งใดผิดปกติของผู้เฒ่าจี้ แต่น่าเสียดายที่สายตาของนางเฉียบแหลมเกินไป อาการเพียงเล็กน้อยก็สามารถหยิบมาพิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว ลองย้อนนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาในชาติก่อน ในสมองพลันสว่างวาบ

“บุปผาวสันต์ผลิบานเนิ่นนานแล้ว เหตุไฉนหิมะเหมันต์ยังร่วงโรย ท่านผู้เฒ่าคิดเห็นเช่นไร”

“อ้อ ที่แท้เป็นคนของเซิ่งจิ่งเรานี่เอง ต้องขออภัยที่ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน จึงอดระวังไม่ได้” ผู้เฒ่าจี้ยิ้มสว่างเจิดจ้า “เล่ม‘จันทราหลบเร้นในเรือนหมอก’ กับ ‘สุกสกาวเหนือคีรี’ เพิ่งขายหมดไป แต่ชุนจงหานเพิ่งออกตำราเล่มใหม่ชื่อ ‘ผลิบานและร่วงโรย’ ยังเหลืออยู่เล็กน้อย ผู้ชราจะไปหยิบให้เดี๋ยวนี้”

ชาติก่อนแคว้นจิ่งเพิ่งล่มสลาย เป่ยเว่ยยึดครองแทนที่ เหล่าบัณฑิตฐานะต่ำต้อยจึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนกันอีกต่อไป สามารถออกมาวิจารณ์สภาพภายในแคว้นจิ่งได้อย่างอิสระเปิดเผย ทั่วป๋าอิ๋นเซียวเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ตนเองมีความชอบธรรมมากขึ้น จึงเปิดตาข้างปิดตาข้าง เกาเฉี่ยนเองก็ได้มีโอกาสอ่านบางเล่มไปด้วย

ชุนจงหานก็คือหนึ่งในนักกวีวิพากษ์การเมืองที่โด่งดังที่สุดในตอนนั้น แม้เมื่อตายไปนานหลายปีแล้ว แต่ปลายพู่กันอันแหลมคมดุจใบมีดกลับหยั่งลึกในใจคน ทุกประโยคทุกถ้อยคำ ล้วนชำแหละแคว้นจิ่งออกมาได้อย่างกระจ่างชัด แทงซ้ำทะลวงลึกอย่างเลือดเย็น

ประโยคหนึ่งที่ยังคงติดใจเกาเฉี่ยนมาจนถึงบัดนี้ก็คือ

‘กำแพงวังเกาจิงสูงเทียมฟ้า

วจีทั่วหล้ามิอาจทะลวง’

เกาจิง หมายถึงนครสกุลเกา นั่นก็คือวังหลวงที่ฮ่องเต้พำนักอยู่ เขากล่าวว่าแผ่นดินจิ่งก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่กลียุคมานานแล้ว ทว่าเหล่าขุนนางล้วนจับมือกันปกปิด เสียงของชาวบ้านและบัณฑิตส่งไปไม่ถึงพระเนตรพระกรรณ การล่มสลายเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

และสุดท้ายมันก็เกิดขึ้น

สิ่งแรกที่เกาเฉี่ยนต้องการทำนับแต่ลืมตาตื่น จึงเป็นการออกมานอกกำแพงวัง

“ได้แล้ว”

ผู้เฒ่าจี้เดินกะเผลกกลับออกมาจากประตูหลังร้าน เขาประคองจับตำราปกสีครามอย่างทะนุถนอม ยื่นให้แขกสตรีพร้อมเอ่ยประโยคอันลึกซึ้ง “หนึ่งเสียงบังเกิดความคิด สองความคิดบังเกิดปณิธาน สามปณิธานบังเกิดอุดมการณ์ไร้ขอบเขต …เล่มนี้สามสิบอีแปะ”

เกาเฉี่ยนรับมาถือเอาไว้ “ท่านผู้เฒ่าชื่นชมเขามากกระมัง”

“เพราะเขาเข้าใจความทุกข์ยากของพวกเรา” ผู้เฒ่าจี้ยิ้ม หางตาปรากฏขีดสามเส้น รับเงินมาพลางเอ่ยเสียงเบาลง

“คราวหน้าหากแม่นางต้องการซื้อตำราอีก อย่าเอ่ยนามเขาจะดีกว่า ทางการเริ่มตามสืบเรื่องนี้แล้ว ไม่พูดถึงซี้ซั้วจะเป็นการดี ส่วนงานรวมบุปผาที่กำลังจะจัด ท่านต้องแน่ใจว่าไม่มีคนสะกดรอยตาม สามวันก่อนที่เมืองเจียงก็เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว โชคยังดีที่ไหวตัวทัน”

หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่ตักเตือน”

หลังสตรีชุดขาวก้าวพ้นประตูร้าน บุรุษผู้หนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืดหลังชั้นไม้ไผ่ เขาสวมชุดสีเทาขาวตัวยาว ดวงตาทอแววคมปลาบหลายส่วน ก้าวฉับมาหยุดอยู่ในจุดที่เกาเฉี่ยนเคยยืน ใบหน้าเรียบเฉยพลันปรากฏเค้าลางของความระแวดระวัง

“คุณชาย แขกเมื่อครู่มีสิ่งใดผิดปกติหรือ” ผู้เฒ่าจี้เริ่มใจไม่ดี

“สตรีเมื่อครู่…มีกลิ่นเครื่องหอมที่ใช้เฉพาะสตรีในวัง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ทุ้มนุ่มดุจลมพัดผ่านจันทรา

ผู้เฒ่าจี้ดวงตาเบิกกว้าง “หรือว่า ทางการคิดจะจับตัวท่าน จึงเริ่มต้นด้วยการหาร้านที่รับตำราจากท่านมาขาย”

“ทั้งใช่ และทั้งไม่ใช่” ชายหนุ่มหลุบตาลงครุ่นคิด “หากพวกเขาคิดใช้คนสืบหาตัวข้าผ่านท่านจริง สมควรใช้คนแต่งตัวเป็นบัณฑิตยากจนมาที่นี่จึงจะถูก”

ทว่าสตรีผู้นี้กลับไม่เก็บงำกลิ่นอายของตนเองเลยแม้แต่น้อย คล้ายต้องการบอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่ก็ไม่เปิดเผยว่าเป็นใคร กลับกัน นางแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าสนใจเจตนารมณ์ของเขา

“งานรวมบุปผาครั้งหน้ายกเลิกไปก่อน ท่านผู้เฒ่าเองก็ย้ายร้านเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว”

“ขอรับคุณชาย”

ผู้เฒ่าจี้ค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บุรุษชุดเทาขาวก็หายตัวไปแล้ว

บทที่ 2.2 : กำแพงวังสูงเทียมฟ้า

เกาเฉี่ยนใช้เวลาที่เหลือในการเดินชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน

ราษฎรภายในเมืองหลวง ส่วนมากหากมิใช่ทำงานให้จวนขุนนาง และสำนักของทางการ ก็ประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ถ้อยคำถกเถียงต่อรองราคาดังมาไม่ขาด ยังมีเสียงเด็กร้องไห้จ้าแว่วจากบ้านเรือนเป็นระยะ เมื่อเดินมาถึงย่านคนมีฐานะ จึงเห็นบุรุษสตรีแต่งกายหรูหราเดินสวนกันไปมา ร้านเครื่องประดับจูเป่าได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่คุณหนูตระกูลใหญ่ ส่วนหอหมื่นบุปผา และโรงเตี๊ยมว่านซื่อได้รับความนิยมมากในหมู่คุณชาย

เป็นภาพที่เปี่ยมไปด้วยความคึกคักและฟุ้งเฟ้อ

มุมหนึ่งของตรอกการค้ารองมีโรงน้ำชาโรงหนึ่งตั้งอยู่ คนนั่งไม่มากนัก ภายในประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายสบายตา เกาเฉี่ยนก้มดูหนังสือปกน้ำเงินในมือครู่หนึ่ง ค่อยตัดสินใจเดินเข้าไป

เสี่ยวเอ้อร์เดินออกมาต้อนรับ เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาสัตย์ซื่อผู้หนึ่ง อายุไม่เกินสิบสี่สิบห้าปี เมื่อเห็นเกาเฉี่ยนพลันมือไม้เงอะงะงุ่มง่าม อ้าปากพะงาบคล้ายลืมว่าต้องทำสิ่งใด

ศีรษะของเขาถูกสตรีผู้หนึ่งตบดัง ป้าบ!

“เจ้าเด็กไม่ได้เรื่องนี่ บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ต้อนรับแขกดีๆ ไป ไปเตรียมโต๊ะที่ชั้นสอง ริมระเบียงฝั่งขวานะ”

ผู้เอ่ยเป็นสตรีร่างบาง ใบหน้าหมดจดสดใส รวบผมมัดเก็บขึ้นพันไว้ด้วยแถบผ้าอย่างเรียบร้อย อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี แม้นางดูเหมือนกำลังตำหนิเด็กหนุ่ม ความจริงแล้วกำลังปกป้องเขาจากความผิดพลาด เกาเฉี่ยนมองกิริยาร่าเริงและเปิดกว้างของนาง รู้สึกถูกชะตาไม่น้อย

อีกฝ่ายเดินนำขึ้นบันไดไป เอ่ยน้ำไหลไฟดับไป “แม่นางเพิ่งมาครั้งแรกกระมัง ข้าคือเถ้าแก่เนี้ยของโรงน้ำชานี้ เห็นในมือท่านถือตำรา คิดว่าคงอยากหาที่อ่านเงียบๆ เป็นแน่ ที่ชั้นสองมีฉากกั้นระหว่างโต๊ะ ทั้งสงบทั้งเป็นส่วนตัว ซ้ำยังสามารถชมทิวทัศน์ตรอกการค้าไปด้วยได้ ก็เลยเจ้ากี้เจ้าการเลือกโต๊ะให้เสียเลย หวังว่าจะไม่ถือสา”

“ขอบคุณ” เกาเฉี่ยนเอ่ย ดวงตายกโค้งดุจวงจันทร์ “ช่วงนี้คนซบเซามากหรือ ข้าเดินผ่านมาหลายร้าน ไม่ค่อยเห็นคนนั่งในร้านน้ำชาเท่าไรนัก”

คำถามนี้เตะถูกเล็บขบของเถ้าแก่เนี้ยสาวเข้าแล้ว นางเคาะกำปั้น เอ่ยเหมือนน้ำทะลักหลังเขื่อนแตก

“ก็พวกทหารลาดตระเวนน่ะสิ ปกติไม่ค่อยทำงานกันนักหรอก วันนี้อยู่ๆ ได้ยินว่ามีคนในวังจะออกมาข้างนอก พวกเขาก็พากันกวาดต้อนขอทาน กับพวกคนเร่ร่อนไปนอกกำแพงเมืองเสียหมด บัณฑิตที่ปกติชอบมาดื่มชาถกเรื่องบ้านเมืองกันก็ไม่กล้าออกมาแล้ว ลำบากข้าเสียลูกค้าอีก ไม่รู้วันนี้จะขายได้ถึงร้อยอีแปะหรือไม่ น่าหงุดหงิดจริงๆ หากข้าเจอตัวต้นเหตุนะ จะไถเงินเรียกค่าเสียหายเสียให้เข็ด”

เสียงไอแค่กดังแว่วมา นั่นเป็นเฮยเย่อี องครักษ์เงาลำดับหนึ่งของเกาเฉี่ยน

เกาเฉี่ยนไม่สะทกสะท้าน เอ่ยหน้าตาย “แย่จริงๆ ข้าเห็นด้วย”

“ข้าได้ยินเสียงแปลกๆ แม่นางได้ยินหรือไม่” เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยพลางมองรอบๆ “เหมือนมีคนสำลักอาหาร”

ปกติองครักษ์เงาพวกนี้แฝงตัวได้อย่างแนบเนียน ไม่เคยเสียอาการระหว่างทำหน้าที่มาก่อน ดูท่าเถ้าแก่เนี้ยโรงชาจะมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง…เปิดเผยตัวตนสายลับ

เกาเฉี่ยนเงียบไม่ตอบคำ ครุ่นคิดเรื่องที่เพิ่งได้ยิน

…ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง

สองสตรีพากันเดินมาถึงที่หมาย เถ้าแก่เนี้ยลืมเรื่องเสียงประหลาดไปเสียสนิท แนะนำชาและขนมขึ้นชื่อของร้านอย่างกระตือรือร้น สั่งไปสั่งมาได้ชาปี้หลัวชุนมาหนึ่งกา ซาลาเปาน้ำแกงหนึ่งถ้วย ขนมถั่วเขียวหนึ่งจาน และเต้าทึงร้อนล้างปากหนึ่งชาม

มือขาวเปิดผ้าคลุมหน้าออก เริ่มพลิกอ่านตำราที่ชื่อว่า 'ผลิบานและร่วงโรย' ในมือ พลางจิบชาคีบของว่างกินไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน

ซาลาเปาน้ำแกง เป็นลูกซาลาเปาแป้งขาวนุ่มขนาดหนึ่งกำมือ ยามใช้ตะเกียบจิ้มจนเกิดรอยแยก น้ำแกงหอมฉุยก็ไหลทะลักท่วมทั้งชาม ไส้หมูภายในนุ่มร้อนฉ่ำน้ำ เกาเฉี่ยนลองชิมคำหนึ่ง รสหวานเค็มกลมกล่อมแผ่ซ่านละมุนลิ้น อร่อยกว่าฝีมือพ่อครัวในตำหนักเสียอีก ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง

…อยากชิงตัวพ่อครัวกลับไปด้วย แต่เกรงว่าจะเป็นการเพิ่มบัญชีแค้นให้เถ้าแก่เนี้ยเสียเปล่าๆ

วูบ

ในชั่วขณะที่รอบบริเวณไร้เงาคน เฮยเย่ซานปรากฏตัวข้างกายอย่างเงียบเชียบ เกาเฉี่ยนละสายตาจากประโยค ‘ขื่อบนไม่ตรง คานล่างเอียง ราชสำนักโน้มเอียง ราษฎรล้มคะมำ’ นางปรายตามองผู้มาใหม่ ถามเสียงเรียบ

“เป็นอย่างไรบ้าง”

เฮยเย่ซานประสานมือคารวะ เขาอยู่ในชุดชาวบ้านธรรมดาสีหม่น

“ย้ายร้านหนีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” *

เรียวนิ้วขาวคีบขนมถั่วเขียวชิ้นหนึ่งเข้าปาก สัมผัสเล็กละเอียดละลายอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงรสหวานอ่อนที่ปลายลิ้น

เกาเฉี่ยนนั่งอยู่ในโรงน้ำชาหนึ่งชั่วยามถึงเดินทางกลับ

ก่อนออกไปนางยังตั้งใจจ่ายค่าอาหารให้มากถึงหนึ่งตำลึงเงิน เป็นการขออภัยอ้อมๆ ที่การออกมานอกวังของตนเองทำให้การค้าซบเซา เถ้าแก่เนี้ยสาวมาเห็นเอาทีหลังก็ตาโต คว้าหยิบเงินสับเท้าวิ่งตามออกมา มองซ้ายมองขวาอยู่กลางถนนแต่ไม่เห็นเงาคนแล้ว

รถม้าแล่นผ่านหน้าไป ภายในนั้นก็คือหญิงสาวที่เถ้าแก่เนี้ยตามหา

“ไปคุกเข่าอยู่ในอารามชิงอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง สนุกดีหรือไม่” เกาเฉี่ยนเอ่ยทั้งที่กำลังก้มศีรษะอ่านตำรา

ฝั่งตรงข้ามของนางคือเด็กหญิงอายุสิบสองปีผู้หนึ่ง องคาพยพอ่อนเยาว์สดใส หน้าม้าซี่เล็กปิดหน้าผากมนแลดูน่ารักสมวัย จมูกโด่งรั้นเหมือนเกาเฉี่ยนราวกับพิมพ์เดียว ต่างออกไปแค่ดวงตาของเด็กหญิงกลมโต มีแพขนตาหนาดุจพัดขนนก ดูจิ้มลิ้มชวนถนอม เสียก็แต่ยามนี้กำลังทำหน้าบูดเป็นอาหารค้างคืน

“เจ็บเข่ามากเพคะ” เกาฮวนยู่ปาก

“เจ็บแล้วจะได้จำ คราวหน้าอย่าแอบออกจากวังมาโดยพลการเช่นนี้อีก”

“ฮวนฮวนไม่ได้แอบ ฮวนฮวนออกมากับเสด็จพี่”

อวี้หูหัวเราะ นางเปลี่ยนชุดกลับเป็นแบบนางกำนัลแล้ว “จริงด้วยเพคะ องค์หญิงห้านอนอยู่ใต้ที่นั่งขององค์หญิงใหญ่ นับว่ามาด้วยกันจริงๆ”

ตอนขึ้นรถม้า เกาเฉี่ยนเห็นความผิดปกติแต่แรก เพราะปลายกระโปรงสีส้มสดใสลอดออกมาที่พื้นข้างเท้าตนเอง รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นเกาฮวนแน่ เกาเฉี่ยนจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยให้น้องสาวนอนซ่อนตัวเช่นนั้นตลอดทาง ทั้งยังสื่อสารกับอวี้หูด้วยการขยับปาก บอกว่ารอถึงอารามแล้ว ก็ให้เด็กหญิงคุกเข่าเสียที่นั่นเป็นการลงโทษ

“ในกล่องนี้มีขนมอยู่ เอาไปกินสิ” เกาเฉี่ยนเอ่ยใบหน้าเรียบเฉย ยังคงไม่ละสายตาจากตัวอักษร

เกาฮวนยิ้มได้แล้ว “ฮวนฮวนรู้อยู่แล้ว เสด็จพี่ดีกับฮวนฮวนที่สุด!”

เกาเฉี่ยนจิตใจสั่นไหวขึ้นมาหนึ่งระลอก

ชาติก่อน เพื่อความปลอดภัยของพี่สาวที่ถูกขังอยู่ในวังผู้นี้ เกาฮวนยอมรับคำสั่งของทั่วป๋าอิ๋นเซียว แฝงตัวเข้าไปในเผ่าเจี๋ย ใช้ความน่าสงสารและใบหน้าชวนถนอมหลอกซิวถูเอ่อร์ปู้ให้เก็บไว้ข้างกาย จากนั้นอาศัยฐานะคนข้างหมอนสังหารเขาในยามราตรี วางยาคนในเผ่าจนปราชัยให้แก่เป่ยเว่ย

เกาฮวนเป็นคนจิตใจดี แม้แต่มดสักตัวยังเลือกปัดออกมากกว่าบดขยี้ นับประสาอะไรกับการที่นางต้องสังหารคนมากมาย มือท่วมคาวโลหิตเช่นนี้

จึงไม่แปลกหากสุดท้าย…เกาฮวนเลือกปลิดชีพตนเองทันทีที่ทำภารกิจสำเร็จ

“ฮวนฮวน” นางเอ่ยพลางประสานสายตากับเด็กน้อยโดยตรง “หลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องสนใจข้า รักษาชีวิตตนเองไว้ก็พอ”

“จะได้อย่างไร ต้องช่วยเสด็จพี่ก่อนสิเพคะ” เกาฮวนเอ่ยทั้งที่เศษขนมเลอะปาก แก้มตุ่ยคล้ายกระรอกอมถั่ว

เสียงเคี้ยวกร้วมๆ ดังเด่นชัดท่ามกลางความเงียบอยู่นาน

สองเค่อต่อมา รถม้าก็แล่นมาถึงเขตพระราชฐาน สองพี่น้องลงจากรถม้า ต่างคนต่างขึ้นเกี้ยวของตน เกาเฉี่ยนบอกให้เกาฮวนแยกย้ายกลับตำหนักโซ่วอันไปก่อน ที่นั่นเป็นที่พำนักรวมขององค์หญิงรอง องค์หญิงสาม องค์หญิงสี่และองค์หญิงห้า ส่วนเกาเฉี่ยนอยู่ตำหนักหย่งชุนคอยดูแลองค์ชายน้อยเกาหมิง เป็นประมุขฝ่ายในจนกว่าพระบิดาจะคัดเลือกสนมคนใหม่

เกาเฉี่ยนสั่งสั้นๆ “ไปตำหนักหย่างซิน”

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...