เร่งเกม’เลือกตั้ง-จบศึกชายแดน’ เมื่อทุกแนวรบกำลังได้เปรียบ
สำหรับสถานการณ์สู้รบที่เกิดขึ้น แม้จะไม่มีการกำหนดวันปิดจ๊อบอย่างเบ็ดเสร็จ แต่การปะทะตลอดแนวน่าจะเบาบางลงในช่วงก่อนปีใหม่ แต่อาจจะมีการปะทะในลักษณะยิงๆ หยุดๆ เป็นจุด
เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นฉันทามติของสังคมที่ต้องการให้กองทัพดำเนินกลยุทธ์ในการนำพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการของไทยคืนจากกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการสู้รบระลอกที่ 2 เป้าหมายคือต้องลิดรอนขีดความสามารถของกัมพูชาไม่ให้เป็นภัยคุกคามต่อไทยได้ในอนาคต
ไม่เช่นนั้นไทยก็ต้องเสี่ยงกับการถูกโจมตีในระลอกที่ 3 ถ้ากัมพูชายังมีศักยภาพด้านการทหารพอ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของประชาชนคนไทยตามแนวชายแดน จึงเป็นหน้าที่ของกองทัพที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในการเดินตามแผนให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์
แต่เมื่อการสู้รบย่างเข้าสู่วันที่ 5 ซึ่งไทยเริ่มได้เปรียบในการยึดฐานที่มั่นต่างๆ ได้มากขึ้น ก็เป็นไปตามสูตรของ “กัมพูชา” ที่ต้องหาตัวช่วยจากผู้นำประเทศที่สามทั้ง “อันวาร์ อิบราฮิม” ประธานอาเซียน และนายกฯ มาเลเซีย รวมไปถึง “โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ใช้กรณีของไทย-กัมพูชาไปเป็นโปรไฟล์ในการล่ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
มีการสื่อสารเพื่อต่อสายตรงมายังนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ของไทย เพื่อแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ ย้ำการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ และขอให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง
ปฏิกิริยาของผู้นำสหรัฐส่งผลต่อภาพจำเมื่อครั้ง “การสู้รบ 5 วัน” ในระลอกแรก ที่ทหารไทยกำลังปฏิบัติการเข้ายึดปราสาทตาควาย แต่ก็หมดเวลาเสียก่อน จากพันธกรณีหยุดยิง ซึ่งรัฐบาลสองประเทศไปลงนามไว้โดยมีสหรัฐเป็นสักขีพยาน ทำให้ภารกิจของกองทัพยังไม่บรรลุเป้าหมาย ค้างคาจนเกิดเหตุกัมพูชายิงใส่ทหารไทยที่เข้าไปปรับปรุงเส้นทางบริเวณชายแดนกัมพูชาก่อน
สิ่งที่สำคัญคือท่าทีของ “นายกฯ อนุทิน” ชัดเจนในการให้กองทัพเดินหน้าตามแผน ยืนยันว่าจะไม่มีเคาะระฆังหมดยกก่อนที่จบภารกิจ ส่วนการยุบสภายังอาจมีข้อดีต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอีกประการคือ สถานะนายกฯ รักษาการอาจใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธการไปลงนามในแถลงการณ์หยุดยิงใดๆ เพราะไม่มีอำนาจ
สิ่งที่ยังปรากฏชัดคือ กองทัพสองฝ่ายยังตอบโต้ ปะทะ ยิงใส่กันอย่างหนักหน่วง หนาแน่น หลังจากที่นายกฯ อนุทิน “รมว.การต่างประเทศ-รมว.พาณิชย์” ได้มีการพูดคุยกับ “โดนัลด์ ทรัมป์” เสร็จแล้ว โดยยืนยันว่า ในระหว่างการหารือ สหรัฐไม่ได้นำประเด็นภาษีมากดดัน หรือยึดโยงกับสถานการณ์ชายแดนที่เกิดขึ้น
แม้ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะไปประกาศต่อโลกว่าสามารถที่จะเข้าไปเป็นตัวกลางกำหนดเกมอีกครั้ง และสองฝ่ายจะยุติการหยุดยิงในช่วงเช้าวันที่ 13 ธ.ค. แต่สถานการณ์ตามแนวชายแดนยังคงเผชิญหน้าของกำลังสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นท่าทีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในการเดินเกมที่ซับซ้อนมากขึ้น
เมื่อดูทิศทางของสหรัฐ แม้จะมีความโน้มเอียงไปทางกัมพูชา ฟันธงตามการบอกเล่าฝ่ายเดียวว่าทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเป็นอุบัติเหตุ แต่ความขึงขังจริงจังในครั้งนี้ไม่ได้มากเท่ากับตอนที่ลุ้นรางวัลโนเบล
ในภาพรวมของผู้นำสหรัฐยังเป็นไปในทิศทาง “ตีสองหน้า” และยังดูท่าทีในการขยับของจีนในสมรภูมิไทย-กัมพูชาครั้งนี้ว่าอยู่ตรงไหนของสมการนี้
สำหรับสถานการณ์สู้รบที่เกิดขึ้น แม้จะไม่มีการกำหนดวันปิดจ๊อบอย่างเบ็ดเสร็จ แต่การปะทะตลอดแนวน่าจะเบาบางลงในช่วงก่อนปีใหม่
แต่อาจจะมีการปะทะในลักษณะยิงๆ หยุดๆ เป็นจุด ตราบใดที่ “ระบอบฮุน เซน” ยังปกครองและถืออำนาจรัฐอยู่ จึงยังเป็นสถานการณ์ที่เราต้องรับมือ เพื่อใช้แผนในเชิงรุกทางด้านอื่นที่ไม่ใช่การทหารมากขึ้น ซึ่งนั่นจะเป็นปัจจัยหนุนส่งในการลิดรอนขีดความสามารถที่จะกระทำต่อประเทศไทยในอนาคต
หันมาดูโหมดการเมืองของประเทศ ซึ่งกำลังเข้าสู่โซนที่พรรคการเมืองเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งกันอย่างคึกคัก นักการเมืองกำลังสาละวนจัดการกับอนาคตของตัวเองในการหาพรรคการเมืองเพื่อสวมเสื้อลงสมัคร
แต่จากสถานการณ์แนวชายแดนที่ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าฝ่ายไทยจะจัดการสถานการณ์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ภายในสิ้นปีหรือไม่ รัฐบาลรักษาการที่นำโดยนายกฯ อนุทิน ถูกมองว่าต้องการอยู่ในอำนาจยาว เพื่อหนุนให้กองทัพเดินหน้าทำตามหน้าที่ของตนเองได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์
จึงมีการวิเคราะห์ไปว่า วันเลือกตั้งอาจจะถูกลากยาวไปพร้อมกับสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่
โดยเฉพาะท่าทีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในการ “กำหนดวันเลือกตั้งฯ” หรือแม้กระทั่งการไฟเขียว “คนละครึ่งพลัสเฟส 2” ที่เรื่องค้างพิจารณาอยู่
ซึ่งตามรัฐธรรมนูญระบุว่า กกต.ต้องประกาศภายในไม่เกิน 5 วันหลังยุบสภา ซึ่งจะตรงกับวันที่ 17 ธ.ค. ภายใต้กรอบเวลาตามกฎหมายในการจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน
และเริ่มมีข้อเสนอให้ กกต.สามารถขยับเวลาในการเลือกตั้งออกไปให้ได้เกิน 60 วัน แต่ก็มีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าสามารถทำได้หรือไม่
โดย “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. ระบุว่า ที่คนกังวลจะกระทบคือกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่าให้กำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งตอนนี้มีสถานการณ์สู้รบที่จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ในทางกฎหมายมีทางออกเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
โดยชี้ช่องว่า ในรัฐธรรมนูญมาตรา 104 ระบุว่า “หากมีเหตุจำเป็น กกต.กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เหตุนั้นสิ้นสุดลง นี่คืออำนาจ แต่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น เรายังบอกไม่ได้ มาตรา 104 นั้นใช้กับทั้งประเทศ ซึ่งต่างจากที่ศรีสะเกษ (การเลือกตั้งซ่อมที่มีการขยับวันเลือกตั้งซ่อมออกไป) ที่มีการใช้มาตรา 102 เพราะมีเหตุบางหน่วย บางพื้นที่ เป็นการกำหนดวันลงคะแนนใหม่ แต่อันนี้คือการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ เพราะให้การเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร”
แต่เมื่อดูจากสภาวะแวดล้อมโดยรวมแล้ว การลากยาวไม่ได้มีผลดีกับ “พรรคภูมิใจไทย” แม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม การเดินเกมเร็วภายใต้ความพร้อมและได้เปรียบในทุกด้านน่าจะมีเหตุผลมากกว่า
ในเรื่องภาพลักษณ์ของพรรคการเมือง “เขี้ยวลากดิน” หลอกเด็กเข้าสู่โซน MOA ก่อนจะเชือดนิ่มด้วยการยุบสภา แขวน รธน.ที่ต้องการไว้ให้เจ็บใจ อาจไม่มีผลต่อกระแสความนิยมพรรคภูมิใจไทยเท่าไหร่นัก เพราะฐานเสียงส่วนใหญ่อยู่ที่นักการเมืองกลุ่มบ้านใหญ่
ในขณะที่ “พรรคประชาชน” เองที่ถูกกดดัน และต้องเร่งบริหารจัดการความรู้สึกของ “แฟนคลับ” ให้เข้าใจการเดินเกมของพรรค และทิศทางในการต่อสู้ในเส้นทางอำนาจ และยอมรับในเหตุผลการตัดสินใจของผู้บริหารพรรค ที่ได้ผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้ในระดับโครงสร้าง และลงมาต่อสู้ในระดับเกมของตัวแทนขั้วสีมาหลายปี
อีกทั้งยังต้องรับมือกับอดีตที่ตามไล่ล่าผ่านคดีที่ยังค้างคา อันอาจมีผลกระทบต่อบุคลากรที่ต้องลงสู้เลือกตั้งต้องสิ้นสภาพไป ในภาพรวมจึงถือว่าพรรคประชาชนยังอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับ เพื่อรักษาแชมป์ “สีส้ม” ไว้ให้ได้
ในขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังไม่มีความพร้อม การต่อสู้ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงจึงเป็นการรักษาสภาพพรรคให้คงอยู่ เมื่อองคาพยพสำคัญต้อง “หมอบ” จากการเดินเกมผิดพลาด และ “อินไซด์” ที่ผิดเพี้ยน ตีความเข้าข้างตัวเอง
ท่ามกลางการชิงการนำภายในพรรคของ “เดอะซัน" ภายใต้การนำของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “เดอะมูน” ในพรรค ที่ยังต้องจับมือกันกลายๆ ไปก่อน เพื่อค่อยไปว่ากันต่อไปว่าจะส่งต่อมรดกตระกูลให้ใครไปจัดการเพื่อเดินหน้าต่อ หรือเซ้งพรรคให้ใครไปทำแทน
สถานการณ์ในขณะนี้จึงเป็นช่วงที่รัฐบาลไฟเขียวกองทัพเดินเครื่องปิดจ๊อบชายแดนอย่างเต็มสูบ และพรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมสู้ศึกหย่อนบัตรเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ จึงไม่มีเหตุต้องลากยาว ยื้อเวลา.