โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

แม่ทัพวงษ์พาณิชย์ ชี้เทรนด์รีไซเคิลพุ่งรับปีม้าทอง 2569 ชงตั้ง "กระทรวงขยะ" พลิกเศรษฐกิจชาติ

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ดร.สมไทย วงษ์เจริญ

คอลัมน์: สัมภาษณ์พิเศษ ผู้เขียน: สุวัฑ แซงลาด

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ชื่อของ ‘วงษ์พาณิชย์’ ภายใต้การนำของ ดร.สมไทย วงษ์เจริญ ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารกลุ่ม วงษ์พาณิชย์ กรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงชื่อของสถานประกอบการรับซื้อของเก่าอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจรีไซเคิลที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศกว่า 2,600 สาขา

ประสบการณ์กว่า 5 ทศวรรษบนกองขยะที่หลายคนมองว่าไร้ค่า ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นนวัตกรรมที่เรียกว่า ‘ขยะวิทยา’ และ ‘ซาเล้งวิทยา’ ในวันที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตอุทกภัยซ้ำซาก ดร.สมไทย มองเห็น ‘ขุมทรัพย์’ ที่ซ่อนอยู่ในมวลน้ำ และเสนอทางออกระดับนโยบายที่รัฐบาลควรต้องฟัง

‘ประชาชาติธุรกิจ’ สนทนากับแม่ทัพใหญ่แห่งวงษ์พาณิชย์ ถึงบทวิเคราะห์เศรษฐกิจฐานรากผ่านราคาสั่งของเก่า สถิติขยะปี 2568-2569 และข้อเสนอการจัดตั้ง ‘กระทรวงขยะ’ ที่อาจเปลี่ยนโฉมประเทศไทยไปตลอดกาล

วิเคราะห์ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ถอดบทเรียนความต่างขยะอุตสาหกรรม vs ย่านการค้า

เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ดร.สมไทย เริ่มต้นด้วยการฉายภาพเปรียบเทียบเชิงโครงสร้างกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและอยุธยา เพื่อให้เห็นนัยสำคัญของประเภทขยะที่เกิดขึ้น

“ในวิกฤตอุทกภัยที่หาดใหญ่นั้น หากมองในเชิงวิศวกรรมการจัดการขยะ ผมอยากเรียนว่ามันเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยหรือมีปริมาณการเกิดขยะที่น้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำท่วมใหญ่ที่อยุธยาครั้งก่อน” ดร.สมไทยอธิบาย

เขายกตัวอย่างตัวเลขความเสียหายที่น่าตกใจในอดีต เพื่อเปรียบเทียบมวลขยะ “ครั้งนั้นเป็นภัยพิบัติที่หาดใหญ่เทียบไม่ได้เลย เพราะน้ำหลากเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 160,000 ล้านบาท จากนั้นหลากเข้าท่วมโรจนะ 1, 2 และ 3 ซึ่งมีมูลค่าลงทุนสูงถึง 400,000 กว่าล้านบาท ความเสียหายยับเยินไปจนถึงนิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมนวนคร และลามเข้าถึงชานเมืองกรุงเทพฯ ปริมาณขยะในตอนนั้นมหาศาลนับล้านตัน”

สำหรับ ‘หาดใหญ่โมเดล’ คาดการณ์ปริมาณขยะอยู่ที่ประมาณ 100,000 ตัน โดยประมาณการ ซึ่ง ดร.สมไทย ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่น่าสนใจว่า “ขยะหาดใหญ่เกิดจากพื้นที่ลุ่มที่เป็นย่านการค้า ซึ่งคนละโมเดลกับย่านอุตสาหกรรม ย่านการค้ามีความแออัดของร้านค้าสูง ลองนึกภาพก่อนน้ำท่วม ร้านขายเครื่องเขียน หนังสือ สมุด พริบตเดียวที่น้ำหลากเข้ามา สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นขยะกระดาษทั้งหมด ร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วย ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำทันที”

รวมไปถึงสิ่งของในครัวเรือน เช่น ที่นอน โซฟา โต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางของต่างๆ เมื่อน้ำลด สิ่งเหล่านี้จะถูกโยนออกมาที่หน้าบ้านและท้องถนน เป็นภารกิจที่ภาครัฐต้องระดมทั้งรถตัก แม็คโคร และรถขนขยะเพื่อขนย้ายออกไปนอกเมือง

“แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นท่ามกลางความสูญเสีย คือภาพของคนจนจำนวนมากที่ตกงานหรือว่างงาน ทุกคนเห็นกองขยะกองใหญ่กลางเมืองหาดใหญ่แล้วยิ้มและดีใจ เพราะเขาเห็น ‘ทางรอดตาย’ เห็นรายได้มหาศาลที่เกิดขึ้นบนกองขยะเหล่านั้น” ดร.สมไทยกล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า ในมุมมองของวงษ์พาณิชย์ ของเหล่านี้ไม่ใช่ขยะ แต่เป็นของที่สร้างประโยชน์ได้ทั้งหมด

เขายังยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดขึ้นว่า “กระดาษเปียกชุ่มโชก ที่หลายคนคิดว่าเสียแล้ว ถ้านำมาผึ่งแดดจัดๆ สัก 2-3 แดด ก็ขายได้ราคาปกติโดยไม่เสื่อมคุณภาพ นี่คือสิ่งที่ซาเล้งเก่ง หรือที่ผมเรียกว่า ‘ซาเล้งวิทยา’ ซึ่งต้องผนวกกับ ‘ขยะวิทยา’ ของผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างเรา วงษ์พาณิชย์ในสงขลา 5 สาขา เราเตรียมแม็คโคร รถตัก ตาชั่ง และเตรียมเงินสดเพื่อรับซื้อในราคาที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน”

ข้อเสนอการจัดการขยะแบบ Zero Expenditure พลิกวิกฤตเป็น ‘รายรับ’ ของเมือง

ในการบริหารจัดการขยะหลังน้ำท่วม ดร.สมไทยเสนอแนวคิดที่ท้าทายระบบงบประมาณแบบเดิม โดยเน้นหลักการ ‘เปลี่ยนรายจ่ายให้เป็นรายรับ’

“มีคนถามผมเยอะมากว่าขยะหลังน้ำท่วมควรจัดการอย่างไร ผมบอกเลยว่าจริงๆ แล้วเมื่อเก็บกองรวมกัน รัฐต้องล้อมเป็นเขตปฏิบัติการ แล้วหาผู้รับเหมาที่เป็นนักรีไซเคิลมาเหมาเอาออกไป โดยรัฐไม่ต้องเสียเงินค่ากำจัด ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ไม่ต้องเสียค่าแรง หรือค่ารถตักแม้แต่บาทเดียว” ดร.สมไทย กล่าว

ดร.สมไทยแจกแจงรายละเอียดต่อว่า นักรีไซเคิลที่เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ได้ทันทีว่าในกองขยะภัยพิบัติมี “ของที่มีมูลค่า” สูงถึง 45% ซึ่งเพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการขนส่งและกำจัดขยะส่วนที่เหลืออีก 55% ที่รีไซเคิลไม่ได้

สำหรับขยะส่วนที่เหลือ เขาเสนอให้นำไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงขยะ (RDF) โดยนำไปส่งโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว เพียงแค่นำมาบด สับ ให้มีขนาดเท่ากับนามบัตร คัดแยกสารปนเปื้อน เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ กลุ่ม PVC หรือซัลเฟอร์ออกไป ก็จะได้เชื้อเพลิงคุณภาพดีส่งขายโรงไฟฟ้าได้ทันที

“หากรัฐวางโมเดลนี้ไว้ล่วงหน้า รัฐไม่ต้องใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว และที่ถูกต้องคือ รัฐควรจะขายขยะเหล่านี้ด้วยซ้ำ เปลี่ยนวิธีคิดจากของเสียเป็นของดี เปลี่ยนรายจ่ายเป็นรายรับ นี่คือบริบทใหม่ที่เมืองอัจฉริยะควรมี” ดร.สมไทยกล่าว

เมื่อค่า GDP กำหนดปริมาณขยะ

ในการวิเคราะห์สถานการณ์ขยะมวลรวมของประเทศ ดร.สมไทยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและพฤติกรรมการทิ้งของประชากรอย่างน่าสนใจ โดยคาดการณ์ปริมาณขยะปี 2568-2569 ดังนี้:

  • กรุงเทพมหานคร: ครองแชมป์ปริมาณขยะสูงสุด เนื่องจากมีประชากรกว่า 10 ล้านคน โดยค่าเฉลี่ยการทิ้งอยู่ที่ 1.2 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน

  • ภูเก็ต: มีอัตราการทิ้งขยะต่อคนสูงที่สุดในประเทศไทย คือ 2.2 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน เนื่องจากค่า GDP ที่สูงมากในประเทศ สะท้อนถึงพฤติกรรมการบริโภคที่สูงตามไปด้วย

  • หัวเมืองใหญ่: นครราชสีมา (โคราช) เป็นอันดับ 2 และเชียงใหม่เป็นอันดับ 3

ดร.สมไทยระบุว่า รายงานมวลรวมจากกรมควบคุมมลพิษอยู่ที่ประมาณ 14.5 ล้านตันต่อปี แต่ความจริงอาจสูงกว่านั้นเนื่องจากการเติบโตของประชากรและนักท่องเที่ยว

โลกใบนี้ไม่มีขยะ มันคือทรัพยากรที่วางผิดที่เท่านั้นเอง ถ้าเราแยก 4 ส่วน คือ ขยะเปียก, ขยะแห้ง, ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย ทุกอย่างคือทรัพยากร คนที่ยังมองว่าเป็นขยะคือคนโบราณ คนทันสมัยคือคนที่รู้คุณค่าของมัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ ถ้าเขามองเห็นประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้ เขาคือคนทันสมัย” ดร.สมไทย กล่าว

Waste is Gold: ดัชนีขยะสะท้อนเศรษฐกิจฐานราก

ในมิติของราคา ดร.สมไทยใช้คำนิยามว่า “Waste is Gold” หรือ “ขยะคือทองคำ” โดยเขาชี้ให้เห็นว่าราคาของเก่าในปัจจุบันคืออินดิเคเตอร์ที่สะท้อนถึงโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม (Infrastructure) และค่า GDP

“ราคาขยะเดินตามราคาทองคำครับ ยามทองคำขึ้นราคาขยะขึ้น ยามทองคำลงราคาขยะลง ในอดีต 35 ปีที่แล้ว ทองคำบาทละ 400 บาท ทองแดงราคากิโลกรัมละ 22 บาท ปัจจุบันทองคำทะลุ 4-5 หมื่นบาท ราคาทองแดงขยับขึ้นมาเกือบ 400 บาทต่อกิโลกรัม นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่ามันคือทรัพย์สินที่มีค่า” ดร.สมไทยกล่าว

เขายังเสนอแนวคิด “Urban Mining” หรือการทำเหมืองแร่ในเมือง ถ้ารัฐบาลใหม่มองว่าขยะคือเหมืองแร่ที่สร้างประโยชน์ได้ วิธีการจัดการขยะของประเทศจะเกิดการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ ผู้นำต้องมองเรื่อง Smart City, Carbon Footprint, ESG และ EPR ให้ชัดเจน หากมีผู้เชี่ยวชาญมาชี้นำ เมืองไทยจะไม่เหลือสิ่งที่เรียกว่าขยะในประเทศอีกต่อไป

เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสังคม: “คนรุ่งใหม่” กับวาระการขายของเก่า

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดที่สุดในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว คือกลุ่มคนที่นำขยะมาขายที่วงพาณิชย์

“ในอดีตเป็นเรื่องของคนจนเท่านั้นที่จะขายขยะ แต่ปัจจุบันเราเห็นรถหรู รถเก๋งป้ายแดง ทั้ง Mercedes Benz และ BMW เปิดท้ายรถมาขายของครับ เป็นสังคมคนรุ่นใหม่ เยาวชนที่รู้คุณค่าของทรัพยากร เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ละสาขาของเรามีรถเข้ามาขายกว่า 100 คันต่อวัน”

ดร.สมไทย กล่าวต่อว่า คนรุ่นใหม่เริ่มเลิกเขินอาย เขามาทดลองขายครั้งแรกได้ 500 บาท หรือ 2,000 บาท ความอายก็หายไปทันที นี่คือวาระของคนทันสมัย วัสดุรีไซเคิลกลายเป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมปลายทาง เพื่อลดผลกระทบต่อ Climate Change และลดการปล่อยก๊าซ CO2 เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ

เทรนด์รีไซเคิล 2569 : ปีม้าทอง แห่งโอกาสเศรษฐกิจหมุนเวียน

ดร.สมไทยคาดการณ์ว่าปี 2569 จะเป็น ‘ปีทอง’ ของอุตสาหกรรมรีไซเคิล โดยเขาเปรียบเทียบเป็น “ปีม้าทองคำที่จะคึกคักลากทองคำจำนวนมากไปทั่วโลก”

“ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจรีไซเคิลกลับเติบโตย้อนศร เมื่อบริษัทหรือห้างร้านล้มละลาย หรือมีการรื้อถอนโรงงาน สิ่งเหล่านั้นคือทรัพย์สินของบริษัทรีไซเคิล แต่ในยามเศรษฐกิจดี อุตสาหกรรมปลายทางก็ต้องการวัตถุดิบไปผลิตรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ซึ่งต้องใช้ทองแดง อลูมิเนียม และเหล็กมหาศาล”

ปัจจุบันมีผู้สนใจเข้าเรียนวิชา ‘นวัตกรรมขยะวิทยา’ ที่วงษ์พาณิชย์เป็นจำนวนมาก มีทั้งหลักสูตร 7 วันสำหรับคนไทย และ 12 วันสำหรับนานาชาติที่สอนไปแล้วกว่า 100 ประเทศทั่วโลก แม้แต่ทายาทของร้านรับซื้อของเก่าแบบโบราณก็ถูกส่งมาเรียนเพื่อปรับตัวสู่ยุคนวัตกรรม

เป้าหมายและทิศทางวัสดุศาสตร์รีไซเคิล

ในเชิงตัวเลขธุรกิจ ดร.สมไทยเปิดเผยว่า วงษ์พาณิชย์มีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง “เราเติบโตเฉลี่ย 30% ทุกปี สำหรับปี 2569 เราตั้งเป้าเติบโตขึ้นไปถึง 38%”

เขาระบุว่าสินค้า ‘ดาวเด่น’ คือวัสดุทุกตัวในกลุ่มวัสดุศาสตร์รีไซเคิล เนื่องจากมีความต้องการ (Demand) ที่กระหายหิวจากโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเศษแก้วที่ต้องใช้แทนการขุดทราย พลาสติกกลุ่มกันชนรถยนต์ หรือกลุ่ม Food Grade ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากระบบ EPR ของบริษัทข้ามชาติ

ดร.สมไทย ยังให้ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) โดยมองว่าภาพลักษณ์ความเป็น ‘ขยะพิษ’ กำลังเปลี่ยนไป

“ถ้าใครยังพูดว่าแผงวงจร E-Waste เป็นขยะอันตราย ผมบอกเลยว่าคุณล้าหลัง 15 ปีก่อนอาจจะใช่ เพราะมีการใช้สารตะกั่วและโลหะหนัก แต่ปัจจุบันวัสดุศาสตร์เปลี่ยนไปแล้ว สารที่ใช้บัดกรีหรือตัวชิป IC/AI พัฒนาไปมาก ไม่มีการใช้สารอันตรายเหล่านั้นแล้ว จอมอนิเตอร์รุ่นใหม่ก็ไม่มีรังสีแคโทด ปัจจุบัน E-Waste คือแหล่งรวมแร่โลหะมีค่าสูงและกลุ่มแร่เอิร์ธ (Rare Earth)” ดร.สมไทยกล่าว

อย่างไรก็ตาม เขายังเน้นย้ำถึงสิ่งที่ต้องกำจัดออกไปจากสังคมไทย คือ กล่องโฟม (No Foam) และ กลุ่ม PVC ซึ่งเป็นอันตรายมาก เพราะมีคลอรีนผสมกับกรดเกลือ เมื่อลงไปในเตาพลังงานจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งหรือไดออกซิน จึงต้องผลักดันให้นโยบาย No Foam และ No PVC เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

อาณาจักรวงพาณิชย์ จากห้องแถวสู่การปักธงในสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันอาณาจักรวงพาณิชย์ภายใต้การนำของ ดร.สมไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดด:

  • ประเทศไทย: 2,642 สาขา
  • สปป.ลาว: 9 สาขาใหญ่ พร้อมสัมปทานบ่อขยะรัฐบาลลาว 2 แห่ง
  • ต่างประเทศ: มีสาขาในเมียนมา, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น (2 สาขา), ออสเตรเลีย และความสำเร็จสูงสุดคือการปักธงที่เมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับหัวใจสำคัญที่ทำให้ ‘วงษ์พาณิชย์’ ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งมานานกว่าครึ่งศตวรรษ คือวิสัยทัศน์การบริหารที่ ดร.สมไทย นิยามว่าการ ‘เปิดหน้าต่างโลก’ ซึ่งไม่ใช่เพียงการขยายสาขา แต่คือการเฝ้าติดตามพลวัตความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างใกล้ชิด

“เราให้ความสำคัญกับการเปิดหน้าต่างโลกในทุกๆ ปี เพื่อสำรวจว่าทิศทางของโลกกำลังเคลื่อนไปทางไหน โลกต้องการธุรกิจ สินค้า หรือวัตถุดิบประเภทใด และอุตสาหกรรมใดที่กำลังอยู่ในกระแสหลัก โดยเรายึดโยงข้อมูลจากรายงานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นรายงานของสหประชาชาติ (UN) หรือข้อตกลงจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP 30 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในบราซิล ข้อมูลเหล่านี้คือ ‘อินดิเคเตอร์’ สำคัญที่จะชี้นำให้เรายกระดับสติปัญญาและนวัตกรรมเพื่อก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่า”

ดร.สมไทย ยังเน้นย้ำว่า การเติบโตของวงษ์พาณิชย์ไม่ได้เกิดจากเขาเพียงลำพัง แต่คือการสร้าง “Shared Vision” ให้เกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร

“ผมไม่สามารถสร้างอาณาจักรนี้ได้คนเดียว ความสำเร็จนี้ต้องอาศัยเครือข่ายเน็ตเวิร์กและบุคลากรทั่วไทยกว่า 14,000 คน ที่ต้องมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้หลักการบริหารที่ผู้นำและผู้ตามต้องมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน เพื่อผลักดันให้องค์กรและบุคลากรทุกคนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดไปพร้อมๆ กัน” ดร.สมไทยกล่าว

ถอดบทเรียน ‘วิชาเจ๊ง’ สู่หลักสูตรนวัตกรรมรีไซเคิลโลก

เมื่อเจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จ ดร.สมไทย ยอมรับอย่างเปิดเผยว่า เส้นทางธุรกิจที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2516 นั้น ถูกปูด้วยบทเรียนความผิดพลาดครั้งใหญ่และการขาดทุนอย่างย่อยยับ

โดยวงษ์พาณิชย์เติบโตมาจากวิชาล้มลุกคลุกคลาน ผ่านความผิดพลาดและการ ‘เจ๊ง’ อย่างย่อยยับมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บางโปรเจกต์เราต้องลองผิดเป็นร้อยครั้ง หรืออาจจะถึงพันครั้ง เพื่อที่จะพบ ‘ทางที่ถูก’ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ความล้มเหลวที่แลกมาด้วยความสูญเสียทางธุรกิจเหล่านั้น ไม่ได้ถูกทิ้งไปเฉยๆ แต่มันคือต้นทุนทางความรู้ที่ทรงคุณค่าที่สุด

ปัจจุบัน วงษ์พาณิชย์ได้นำประสบการณ์ความผิดพลาดตลอด 5 ทศวรรษ มาสกัดเป็นงานวิจัยและจัดทำเป็น ‘หลักสูตรการสอนนักรีไซเคิลรุ่นหลัง’ เพื่อส่งต่อองค์ความรู้และนวัตกรรมให้แก่ผู้ที่สนใจประกอบอาชีพนี้

“เป้าหมายของหลักสูตรนี้คือการสร้าง ‘เกราะป้องกัน’ ให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อไม่ให้เขาต้องไปเผชิญกับความผิดพลาดซ้ำรอยที่เราเคยเจอมา เป็นการยกระดับวิชาชีพรีไซเคิลให้กลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและมีนวัตกรรมรองรับอย่างแท้จริง” ดร.สมไทย กล่าว

ข้อเสนอถึงรัฐบาลใหม่ ‘ควรตั้งกระทรวงขยะ’

ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์ ดร.สมไทยได้ส่งข้อเสนอที่ที่น่าสนใจถึงผู้บริหารประเทศที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้ง 2569 ครั้งสำคัญที่จะถึงนี้ เขาอยากเห็นการจัดตั้ง ‘กระทรวงขยะ’ หรือ ‘กระทรวงทรัพยากรหมุนเวียนจากวัสดุเหลือใช้’ เพื่อให้การทำงานเป็นแบบ Single Command”

เขาเชื่อมั่นว่าหากประเทศไทยสะอาด นักลงทุนและนักท่องเที่ยวจะยิ่งหลั่งไหลเข้ามา ถ้าประเทศไทยสะอาด นักลงทุนทั่วโลกจะเดินทางมาเอง GDP ของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปเป็นเท่าตัว โรงงานจัดการขยะที่ทันสมัยที่สุดไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่มือของประชาชนทุกคน รัฐต้องทุ่มเทการสื่อสารให้ประชาชนมีความรู้ในการรักษาสิ่งแวดล้อม นั่นคือทางออกที่ยั่งยืนที่สุด

“หากสวรรค์มีตา ได้รัฐบาลใหม่ที่มีความรู้ มีความสามารถ มีวิสัยทัศน์มองประเทศไทยไปไกล 100 ปีข้างหน้า ผมอยากได้รัฐบาลที่ ‘เปิดหน้าต่างโลก’ มองเห็นอารยธรรมของโลกที่ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการจัดการขยะในประเทศไทย สมควรที่จะมี ‘กระทรวงขยะ’ แล้วรัฐมนตรีสักคนมาดูแลเรื่องขยะแบบฟันธงกระทรวงเดียวเลย

เวลานี้เรามีทั้งกระทรวงมหาดไทย มีทั้งกระทรวงสิ่งแวดล้อม มีทั้งกระทรวงสาธารณสุข มีทั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์ ทุกกระทรวงที่กล่าวมาแตะเรื่องขยะหมด เลยไม่รู้ว่าขยะนี่หน้าที่ของใคร ผมอยากเห็นรัฐมนตรีกระทรวงขยะ หรืออธิบดีขยะสักคนหนึ่ง แต่เราจะตั้งชื่อมันว่า ‘กระทรวงทรัพยากรหมุนเวียนจากวัสดุเหลือใช้’ ซึ่งเป็นกระทรวงจำเป็นครับที่จะมาช่วยทำให้ประเทศไทยสะอาดเท่านั้นเอง”

ขยะไม่ใช่ภาระ แต่เป็นกระจกสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ดร.สมไทยยังทิ้งท้ายว่า ขยะไม่ใช่ภาระ แต่มันคือกระจกสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเป็นขุมทรัพย์มหาศาลที่หากบริหารจัดการเป็น และประเทศไทยจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับสากลได้อย่างเต็มภาคภูมิ

“มันเป็นสิ่งใหม่ แล้วนักลงทุนจากทั่วโลกเนี่ย เรากำลังจะทำให้ประเทศไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนจากทั่วโลกที่มีกำลังลงทุนกำลังซื้อมหาศาลเดินทางมา ถ้าเราทำให้ประเทศไทยสกปรกใครจะมาเที่ยวบ้านเรา การท่องเที่ยวเราก็วายวอดแล้ว ถ้าเราให้ทำบ้านเราสกปรก ใครจะมาลงทุนที่บ้านเรา อุตสาหกรรมไหนจะมาลงทุน เขาไม่มาหรอก แต่ถ้าเราทำบ้านเราสะอาด นักลงทุนทั่วโลกจะเดินทางมา GDP ของประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนไปเป็นเท่าตัวครับถ้าเรามองอย่างนี้” ดร.สมไทยกล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แม่ทัพวงษ์พาณิชย์ ชี้เทรนด์รีไซเคิลพุ่งรับปีม้าทอง 2569 ชงตั้ง “กระทรวงขยะ” พลิกเศรษฐกิจชาติ

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...