โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

กกร.เตรียมนัดถก 4 หน่วยงานหารือเศรษฐกิจ รับยังห่วงเสถียรภาพการเมือง

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 02 ก.ค. เวลา 08.59 น. • เผยแพร่ 02 ก.ค. เวลา 07.33 น.

กกร.เตรียมเข้าพบ 4 หน่วยงานหลักเพื่อหารือผลักดันเศรษฐกิจไทยในระยะ 6 เดือน และ 1 ปี พร้อมยอมรับเอกชนยังให้ความเป็นห่วงเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ที่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศ ยอมรับการส่งออกและเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอนสูง

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.มีแนวทางที่จะขอเข้าพบธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง กกร.เตรียมเร่งประสานขอเข้าหารือ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในการสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงแนวทางในการมองเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วน

รวมถึงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาคการเงินและภาคอุตสาหกรรมในการร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อชี้เป้าอุตสาหกรรมและจัดลำดับความสำคัญ โดยมองไว้อยู่ 2 ระยะคือ ระยะ 6 เดือน และ 1 ปี เนื่องจากทรัพยากรที่มีจำกัด ในการส่งเสริมการปรับความสามารถในการผลิตของไทย (Competitiveness) รวมไปถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าการลงทุนจากต่างชาติที่ ธปท.ร่วมกับสภาพัฒน์ กระทรวงพาณิชย์ และ กกร. ร่วมกันศึกษา

นอกจากนี้ กกร.ได้ประเมินเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่าง ๆ จะมีความคืบหน้า โดยเฉพาะกับจีนและสหราชอาณาจักร แต่ยังไม่น่าที่จะได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม ก่อนวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงขึ้นหากไม่ขยายเวลา ขณะที่เศรษฐกิจประเทศหลักที่มีแนวโน้มแผ่วลง นอกจากนี้ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางอาจมีความรุนแรงขึ้นได้อีก

ขณะที่การส่งออกไทยในครึ่งหลังของปีจะหดตัว มูลค่าการส่งออกของไทยช่วง 5 เดือนแรกขยายตัว 14.9% YOY จากการเร่งนำเข้าก่อนหมดช่วงผ่อนปรนของมาตรการภาษีของสหรัฐ แต่ระยะข้างหน้ามีสัญญาณแผ่วลง และมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีจะหดตัวกว่า 10% YOY ทำให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวใกล้เคียง 0% ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิต การจ้างงาน และรายได้ของแรงงานในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนแรงลง คาดทั้งปี 2568 ขยายตัวในระดับต่ำราว 1.5-2.0% โดยจะเติบโตใกล้เคียง 2.0% หากอัตราภาษีที่ไทยโดนเรียกเก็บยังอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง แต่จะลดลงมาใกล้ 1.5% หากโดนเรียกเก็บที่ 18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรา Reciprocal Tariffs ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลง จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งยังไม่สามารถทดแทนด้วย Long Haul ได้

รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ 2568 ที่เหลืออยู่ และการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ กกร.ไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ถึง 2.3% ดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม

อีกทั้ง กกร.มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5 บาท/ดอลลาร์ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน และค่าเงินบาทโดยเปรียบเทียบ (NEER) แข็งค่าเทียบเท่าก่อนปี 2540 ทำให้ธุรกิจแข่งขันไม่ได้ ซึ่งการแข็งค่าไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอย่างมาก ภาวะการเงินที่ตึงตัว สินเชื่อไม่เติบโต และทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในภาวะ Inverted Yield Curve หรือการที่ตลาดคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะลดลงในระยะข้างหน้า

จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เร่งดูแลทิศทางของค่าเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ แยกแยะและลดผลกระทบจากปัจจัยอื่นที่กระทบค่าเงินบาท เช่น การซื้อขายทองคำ การเกินดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) จาก Error & Omission ที่สูงอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

ขณะที่โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นจุดตั้งต้นของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามนโยบายรัฐในการขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ 12 ธันวาคม 2567 มีลูกหนี้ลงทะเบียนแล้ว 1.4 ล้านราย เข้าข่ายร่วมโครงการ 6.3 แสนราย คิดเป็นยอดหนี้ 4.6 แสนล้านบาท

และล่าสุดได้ขยายสู่ระยะที่ 2 โดยปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการเดิมและเพิ่มมาตรการใหม่ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้ครอบคลุมมากขึ้น ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” และมาตรการ “จ่าย ตัด ต้น” ซึ่งจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกให้แก่กลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ต้องเร่งคู่ขนานกันไปทั้งในการสร้างรายได้ ผลักดันให้ผู้ประกอบการปรับตัว (Transform) เพื่อความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสวัสดิการที่จำเป็น รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบและหนี้นอกระบบ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีศักยภาพ และไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ส่วนเสถียรภาพทางการเมือง เห็นว่ารัฐบาลควรจะต้องเร่งสร้างเสถียรภาพให้มีความชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ ประชาชนทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในภาคของการผลิตแม้การส่งออกไทยในช่วง 5 เดือนจะมีการเติบโต แต่การผลิตภายในประเทศยังเติบโตน้อยมาก เมื่อดูแล้วส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อการส่งออก ดังนั้น จึงเห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องเข้ามาดูเรื่องของการสวมสิทธิ เพื่อปกป้องผู้ผลิตและผู้ส่งออกภายในประเทศ พร้อมยังต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุน

อีกทั้งทางอุตสาหกรรมก็ยังให้ความเป็นห่วงในเรื่องของการเจรจาด้านภาษีไทยกับสหรัฐ ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีผลต่อการแข่งขัน ถ้าหากเทียบกับคู่แข่งโดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ดังนั้น จึงต้องดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กกร.เตรียมนัดถก 4 หน่วยงานหารือเศรษฐกิจ รับยังห่วงเสถียรภาพการเมือง

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...