โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

แผนที่ 1:200,000 คืออะไร? ปมเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ยังไม่จบ

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 15 มิ.ย. เวลา 17.44 น.
เจาะลึกแผนที่ 1:200,000 ที่กัมพูชาใช้อ้างสิทธิ์ชายแดนกับไทยตั้งแต่คดีพระวิหารถึงปัจจุบัน ไทยโต้ไร้ผลทางกฎหมาย จุดเริ่มต้นความขัดแย้งจากยุคล่าอาณานิคม

แผนที่ในความทรงจำทางการเมือง

แผนที่ 1:200,000 กลายเป็นประเด็นร้อนทางภูมิรัฐศาสตร์อีกครั้ง เมื่อกัมพูชาหยิบยกเอกสารชุดนี้ขึ้นมาประกอบการเคลื่อนไหวบนเวทีระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าแผนที่ดังกล่าวจัดทำตามกรอบอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยามเมื่อกว่าร้อยปีก่อน และควรเป็นหลักฐานในการกำหนดเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน

ฝั่งไทยปฏิเสธมาตลอดว่าแผนที่ชุดนี้ไม่เคยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และไม่ถือเป็นข้อตกลงผูกพันในทางกฎหมาย จุดยืนที่แตกต่างกันนี้กลายเป็นรากของความขัดแย้งที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน และเคยปะทุขึ้นเป็นความรุนแรงชายแดนหลายครั้ง

แผนที่ 1:200,000 เกิดขึ้นได้อย่างไร

แผนที่ 1:200,000 คือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่จัดทำโดยคณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ซึ่งเป็นคณะกรรมการร่วมระหว่างฝรั่งเศสในฐานะมหาอำนาจอาณานิคม และราชอาณาจักรสยามในช่วงต้นศตวรรษที่ 20

จุดกำเนิดของแผนที่นี้อยู่ในบริบทของการลงนามอนุสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสในปี 1904 และ 1907 หลังจากที่สยามต้องยกดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับการคงไว้ซึ่งเอกราชบางด้าน คณะกรรมการผสมดังกล่าวจึงถูกตั้งขึ้นเพื่อกำหนดเส้นเขตแดนใหม่ โดยมีการสำรวจและจัดทำแผนที่ตลอดแนวชายแดน รวมทั้งหมด 11 ระวาง ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำจนถึงพนมดงรัก

ข้อพิพาทที่ไม่มีข้อยุติ

กัมพูชาถือว่าแผนที่ 1:200,000 เป็นหลักฐานสำคัญในการอ้างสิทธิ์ดินแดน โดยเฉพาะในกรณีคดีปราสาทพระวิหารที่ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในปี 1959 และมีคำพิพากษาในปี 1962 ซึ่งระบุให้ไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาท ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าศาลได้ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นหลักฐานสำคัญในการตัดสินคดี

ขณะที่ไทยยืนกรานว่าแผนที่ดังกล่าวไม่มีผลผูกพัน เนื่องจากไม่เคยมีการลงนามรับรองร่วมกันอย่างเป็นทางการ แผนที่ถูกจัดทำขึ้นภายหลังโดยฝ่ายฝรั่งเศสเพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งคณะกรรมการผสมก็สลายตัวก่อนแผนที่นี้จะถูกพิมพ์และส่งมอบ ไทยจึงยึดแนวเส้นแบ่งเขตแดนที่อ้างอิงจากแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งจัดทำโดยกรมแผนที่ทหารในยุคต่อมา ซึ่งมีความละเอียดและทันสมัยมากกว่า

ความคลาดเคลื่อนที่มากกว่าหลายร้อยเมตร

หนึ่งในข้อโต้แย้งสำคัญของไทยคือ แผนที่ 1:200,000 มีความคลาดเคลื่อนสูง เนื่องจากมาตราส่วนที่หยาบและเทคโนโลยีการสำรวจในสมัยนั้นยังไม่มีความแม่นยำ จึงอาจเกิดการเบี่ยงเบนของเส้นเขตแดนจริงจากภูมิประเทศหลายร้อยเมตรถึงหลายกิโลเมตร ความคลาดเคลื่อนนี้เองที่นำไปสู่การตีความเขตแดนที่แตกต่าง และเป็นชนวนให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารเป็นระยะ

ความเข้าใจคนละกรอบในประวัติศาสตร์

ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่แผนที่ใบเดียว แต่ยังรวมถึงความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง กัมพูชามองว่าการที่แผนที่ 1:200,000 ปรากฏในคำพิพากษาศาลโลกคือการให้คุณค่าทางกฎหมายอย่างชัดเจน ขณะที่ไทยมองว่าคำพิพากษาเน้นเฉพาะพื้นที่ตัวปราสาทเท่านั้น ไม่รวมถึงพื้นที่รอบข้างที่ยังเป็นข้อพิพาท

การหยิบแผนที่นี้มาใช้อ้างอิงอีกครั้งในปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงการขีดเส้นบนกระดาษ แต่เป็นการเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์แห่งอำนาจ ศักดิ์ศรี และการนิยามดินแดนในสายตาระหว่างประเทศ

เมื่อเส้นแบ่งกลายเป็นข้อขัดแย้งรุ่นต่อรุ่น

ปัจจุบัน ไทยและกัมพูชายังคงมีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อหาข้อยุติของเขตแดนที่ยังค้างอยู่ แต่กระบวนการดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และติดขัดทุกครั้งที่แผนที่ 1:200,000 กลับมาเป็นจุดขัดแย้งกลางโต๊ะเจรจา

ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ทางการทูตเริ่มเปราะบางจากปัจจัยอื่น เช่น การหยุดซื้อไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ การกลับมาอ้างอิงแผนที่ยุคล่าอาณานิคมอาจเพิ่มแรงกดดันให้การเจรจาเดินไปได้ยากยิ่งขึ้น

----

แผนที่ 1:200,000 ไม่ใช่แค่เอกสารเก่าในหอจดหมายเหตุ แต่เป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต จุดต่างในการตีความแผนที่เพียงไม่กี่เส้นกลายเป็นรอยร้าวที่ลากยาวมานานกว่าร้อยปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...