ให้ชัด!จุดยืนเขตแดน-ขุมทรัพย์ใต้ทะเล “อยู่”หรือ”ไป”ข้อครหาไม่ติดตัว
นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมเป็นต้นมา หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่แนวต้นพญาสัตบรรณ พื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี รวมระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียด เพราะกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ที่ตั้งอยู่ตลอดแนว โดยเฉพาะของฝั่งกัมพูชาที่ยังตรึงคงกำลังมากกว่า 10,000 นาย ซึ่งมีความเข้มข้น 4 จุด คือ เขาสัตตะโสม ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ช่องจอม และมีการเพิ่มกำลังเข้ามาอีก 1 ชุด เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา
ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 ได้เสริมกำลังเข้าถ่วงดุล เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ นับตั้งแต่กัมพูชาเริ่มซึมกำลังเข้ามาตั้งแต่เดือน เม.ย. และดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชานำกำลังกลับที่ตั้งเดิม ลดการเผชิญหน้าระหว่างทหาร 2 ฝ่าย มุ่งหวังให้สถานการณ์กลับไปสู่จุดเดิม
มาตรการปิดด่านเป็น “ไพ่ใบแรก” ที่กองทัพเสนอขึ้นไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณา ภายใต้ข้อระวังในการสื่อสารกับสังคมโลก ผ่านคำสั่งของกองกำลังชายแดนที่ออกมาในเรื่องของมาตรการควบคุมการเปิด-ปิดในแต่ละจุด ยกเว้นมาตรการที่กระทบด้านมนุษยธรรม มุ่งหวังให้ฝ่ายกัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาโดยเร็วที่สุด
แต่ท่าทีของนายกฯ ฮุน มา เนต ยังคงแข็งกร้าวยื่นคำขาดให้ไทยเปิดด่านก่อน หลังจากที่ ต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันคนละหมัด โดยเลือกชกในจุดที่แต่ละฝ่ายเสียเปรียบ แต่ปรากฏว่าบางกรณีรัฐบาลกัมพูชาก็ประเมินแค่ผลกระทบที่เป็นขุมทรัพย์ส่วนตัวเท่านั้น จึงเลือกปิดด่านอื่นที่คิดว่ามีผลกระทบน้อยกับตัวเอง แต่ในทางตรงกันข้าม ประชาชนคนกัมพูชาที่อาศัยใกล้ด่านชายแดนกลับได้รับผลกระทบไปเต็มๆ
อย่างกรณีของด่านช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี กัมพูชาประกาศคุมปิดก่อน ทั้งที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือคนกัมพูชาที่มีชุมชนใกล้ด่านชายแดน ต้องพึ่งพาสินค้าอุปโภค บริโภค จากตลาดฝั่งไทย สามารถเข้ามาซื้อ-ขายได้สะดวกกว่า เมื่อฝั่งกัมพูชาประกาศปิดแดนเสียเอง ประชาชนต้องเข้าไปซื้อสินค้าที่ไกลจากชายแดนถึง 10 กม.
นอกจากนั้นนายกฯ กัมพูชายังเปิดประเด็นถึงประเทศที่ 3 ที่แสดงความประสงค์ยื่นมือเข้ามาเป็น “คนกลาง” ไกล่เกลี่ย ปัญหา ในสถานการณ์ที่กัมพูชากำลังถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ จากการเปิดข้อมูลของยูเอ็นว่า กัมพูชาเป็นพื้นที่ “สแกมเมอร์ ฮับ” และการที่สหรัฐขึ้นบัญชีดำบริษัทฟอกเงิน ที่หลานฮุน เซน ถือหุ้น ภายใต้ท่าทีของ “จีน” ที่ยังสงบนิ่งจากความขัดแย้งครั้งนี้
การยกระดับมาตรการต่างๆ ของไทย ยังเป็นดีกรีในช่วงต้นของ “สงครามจิตวิทยา” ที่บีบให้กัมพูชากลับเข้ามาสู่โต๊ะเจรจาให้ได้ พร้อมๆ ไปกับการใช้นานาชาติร่วมกดดันในการกวาดล้างสแกรมเมอร์ไปพร้อมกัน โดย "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี อนุมัติดำเนินการตามที่กองทัพเสนอ หลังจากที่กลับจากการเยือนพื้นที่ “ฐานมรกต” และได้รับฟังข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
หากไม่มี “คลิปเสียง” เป็นตัว “เปลี่ยนเกม” นายกฯ อิ๊งค์ก็ยังต้องพะวงอยู่กับ “บุญคุณรุ่นพ่อ” ที่มีมาแต่เก่าก่อน มาตรการที่เคยติดเบรก-แช่แข็งไว้ ตั้งแต่การกวาดล้างกลุ่มหลอกลวงออนไลน์ เลยมาถึงมาตรการปิดด่านคงถูกแขวนไว้เหมือนเดิม
ที่สำคัญคือ ข้อครหาที่ถูกมองว่า “ขายชาติ” เพราะในการเจรจาแบบส่วนตัวนั้นเต็มไปด้วย “ความเมือง” ที่เอ่ยอ้างถึงคนซึ่งมีหน้าที่รักษาปกป้องอธิปไตยของชาติ
ประกอบกับภาพความสนิทสนมของ 2 ตระกูลผ่านตัวพ่ออย่าง “ทักษิณ-ฮุน เซน” ที่กอดกันกลมหลังจากฮุน เซน มาเยี่ยมทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ส่งผลให้สังคมไม่ไว้วางใจในตาชั่งผลของรัฐบาลภายใต้การนำของบุตรสาวทักษิณ ว่าจะทำให้ประโยชน์ชาติเอียงไปอีกฝั่งหนึ่งหรือไม่ โดยเฉพาะความมุ่งหวังในเรื่องการแบ่งขุมทรัพย์พลังงานในอ่าวไทยของกัมพูชาต้องอาศัยความร่วมมือกับฝั่งไทย
ซึ่งในช่วงหนึ่งก็เหมือนกับว่ารัฐบาลจะผลักดันการเจรจาดังกล่าวให้เดินหน้าต่อไปโดยยกเรื่องเขตแดนไว้ก่อน แต่กลุ่มต่อต้านที่ออกมาต่อต้านเริ่มเคลื่อนไหวหนักขึ้น ขณะที่เอ็มโอยู 44 ต้องการให้ได้ข้อยุติเรื่องเขตแดนทางทะเลก่อนจึงจะมีการเจรจาเรื่องผลประโยชน์กัน ขณะที่บางฝ่ายมองว่า เอ็มโอยูเป็นกับดักที่ทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกันเป็นอุปสรรค
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์โดยภาพรวมแล้วเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลจะดันทุรังเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลต่อ ทำให้ประเด็นของการเดินหน้าตั้งคณะกรรมการ JBC ที่ต้องหาคนนั่งเป็นประธานเงียบหายไป โดยรัฐบาลหันหัวเรือไปหาเม็ดเงินก้อนใหม่จากการผลักดันเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มี “กาสิโน” อยู่ด้วยแทน
เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ประเมินกันว่า “ฮุน เซน” อาจจะทวงเรื่องนี้หลายครั้ง แต่รัฐบาลไทยไม่ขยับตามเสียงเรียกร้อง เนื่องด้วยปัจจัยหลายประการที่ไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งเป็นช่วงที่ไทยกำลังเจรจาเรื่องกำแพงภาษีจากสหรัฐ มีการบรรลุข้อตกลงในเรื่องของการซื้อน้ำมันจากสหรัฐ
สำหรับประเด็นเขตแดนทางบก มีข้อกล่าวหาจาก “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ที่อ้างว่านายภูมิธรรมเซ็นรับรองให้ทหารกัมพูชาเข้าปราสาทตาเมือนธมในการประชุมจีบีซี นายภูมิธรรมออกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่า “ยังไม่ได้เซ็นอะไร” และยืนยันว่าทุกกระบวนการดำเนินไปตามบันทึกความเข้าใจเอ็มโอยู 43 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) โดยรอการอนุมัติจากสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
พร้อมจุดยืนของไทยคือ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องปรับกำลังและเปิดด่านพร้อมกัน ไม่สามารถดำเนินการฝ่ายเดียวได้ เพราะอาจกลายเป็นความสับสนและถูกกล่าวหาว่าเป็นการยั่วยุ โดยต้องกำหนดวัน เวลา และดำเนินการไปพร้อมกันทั้งหมด ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดำเนินการก่อน
ปมประเด็นเขตแดน และขุมทรัพย์ในอ่าวไทยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และหมิ่นเหม่ที่จะถูกข้อครหาเรื่อง “ขายชาติ” จึงเป็นสิ่งที่นายกฯ แพทองธาร และรัฐบาลต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่ง พร้อมต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่า มีจุดยืนอย่างไรภายใต้เอ็มโอยู 43-44 ที่ยังเป็นกรอบการปฏิบัติที่ 2 ชาติใช้อยู่ พร้อมทั้งสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่ารัฐบาลมีแนวทางอย่างไร
ที่สำคัญต้องแสดงให้เห็นภาวะผู้นำในเชิงรุกในการรักษาผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก ไม่ใช่เพราะจนแต้มทางการเมือง เพราะถูกผู้นำเฒ่าวางกับดักแฉความไม่เป็นเอกภาพของไทยอย่างที่ผ่านมา.