โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ปธ.กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ ชี้เหตุเสือตายเพราะสิ่งแวดล้อมต่างกันหนุนส่งคืนวัด

MATICHON ONLINE

อัพเดต 19 ก.ย 2562 เวลา 12.09 น. • เผยแพร่ 19 ก.ย 2562 เวลา 11.30 น.

จากกรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยึดเสือโคร่งของกลาง จำนวน 147 ตัว จากวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือวัดเสือ ที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกในอดีต ตั้งอยู่ริมถนนสาย 323 กาญจนบุรี-ไทรโยค หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และนำไปดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เมื่อปี พ.ศ.2559 หรือประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่กรมอุทยานได้เคลื่อนย้ายเสือจำนวนดังกล่าวไป ทำให้วัดเสือ แหล่งท่องเที่ยวซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดเสือของกลางได้ทยอยเสียชีวิตลงด้วยโรคอัมพาตลิ้นกล่องเสียง 86 ตัว จากจำนวนเสือของกลางทั้งหมด โดยระบุสาเหตุการตายของเสือว่า เกิดจากการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดและเป็นโรคติดต่อตั้งแต่เอามาจากวัด ซึ่งหลังจากเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือวัดเสือ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ภายหลังจากเสือดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายออกไปจากวัด กรณีที่กรมอุทยานระบุสาเหตุการตายนั้นเป็นเพียงข้ออ้างที่โยนความผิดให้กับวัด พร้อมขอให้นำลูกเสือที่คลอดออกมาใหม่มาเลี้ยงที่วัด

ขณะที่ชาวกาญจนบุรีต่างรู้สึกสะเทือนใจและสงสารเสือเหล่านั้นอย่างมากเช่นกัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ปลุกกระแสให้คนเมืองกาญจน์ออกมาเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ต้องการทวงคืนเสือกลับมาให้ทางวัดเป็นผู้ดูแลเหมือนเช่นในอดีต

ล่าสุดวันนี้ 19 กันยายน นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า ตนคิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานมาดำเนินการย้ายเสือออกจากวัดแล้ว ว่าเสือคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ต้องตายแน่ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน วัดเลี้ยงเสือเหมือนลูกเหมือนหลาน มีความใกล้ชิด โอบกอด ซึ่งทำให้เกิดความผูกพันในจิตเสือ คือความอบอุ่นที่เสือเหล่านั้นได้รับ

การที่มีผู้คนจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าเยี่ยมเยือนเสือที่วัด ทั้งอาหารและเงินจึงมีมากพอที่จะเสริมอาหารให้กับเสือ ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเสือเหล่านั้นได้ทำหน้าที่รับแขก มีความคุ้นชินกับผู้คน การเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ส่งผลให้มันกลายเป็นเสือเหงา ซึมเศร้า มีภาวะเครียด ซึ่งส่งผลทำให้เสือมีสุขภาพที่อ่อนแอและตายในที่สุด

ส่วนการผสมพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดเป็นเหตุให้เสือที่เกิดไม่แข็งแรงก็เป็นไปได้ แต่การตายเป็นจำนวนมากเช่นนี้กรมอุทยานจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อที่จะตอบสังคมให้ได้ เพราะหลังจากที่เสือเหล่านั้นตายก็เกิดข้อกังขาตามมามากมายว่าเกิดอะไรขึ้น และการที่ออกมาระบุว่าเสือดังกล่าวเป็นโรคติดต่อตั้งแต่เอามาจากวัด ตนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เนื่องจากเสือเหล่านั้นได้ย้ายไปอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานมานานกว่า 3 ปีแล้ว จึงมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทำตามกฎหมาย คือยึดเสือเป็นของกลาง และมาทำการขนย้ายเสือไป แต่ขณะเดียวกันการดูแลเสือก็ทำแบบราชการเช่นกัน จะพาเงิน พาเวลา พาความอบอุ่นที่ไหนมาดูแลเสือได้เท่าที่วัดดูแลเสือ เปรียบเทียบกรณีที่มีเหตุรถชนกันตำรวจยึดของกลางแล้วเอาไปตากแดดตากฝน กว่าคดีความจะจบบางคันต้องขายซากรถทิ้ง

ตั้งแต่วันที่เห็นข่าวขนย้ายเสือก็นึกแล้วว่าเสือเอ๋ยเจ้าจะมีชีวิตได้อีกสักกี่วัน มีผู้คนอีกมากมายที่อยากเลี้ยงสัตว์ พอไม่อยากเลี้ยง เช่น นก เมื่อปล่อยไปก็ตายทันที ไม่ว่ามนุษย์ สัตว์ เลี้ยงแบบไหน สอนอย่างไร สิ่งแวดล้อม ทำให้เป็นแบบนั้น

กรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้นำเสือที่เหลืออยู่กลับมาให้ทางวัดดูแล โดยรัฐและวัดดูแลร่วมกัน ในเรื่องนี้ถ้ากรมอุทยานใจกว้างก็เป็นการพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี โดยเอาเสือกลับไปให้วัดดูแลเพื่อรักษาชีวิตเสือที่เหลืออยู่ เพราะไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์ต่างก็มีหัวใจและต่างก็รักชีวิตกันทั้งนั้น ฉะนั้นกรณีนี้ของกลางเป็นสิ่งมีชีวิต หน่วยงานของรัฐก็ควรจะพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วน เพื่อเสือที่เหลืออยู่จะได้ไม่ต้องมาตายลงเพราะความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...