เมื่อ 'วอดก้า' เป็นหนึ่งสาเหตุสู่การปฏิวัติรัสเซีย
ในเดือนกันยายน 1914 ระหว่างที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงอยู่แนวหน้านำกองทัพรัสเซียเข้าสู่สมรภูมิสงครามโลกครั้งที่ 1 พระองค์ก็ได้ออกคำสั่งหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือการสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนรัสเซียผลิต ทำการค้า หรือบริโภควอดก้าอย่างเด็ดขาด
พระเจ้าซาร์ไม่มีทางรู้เลยว่า การสั่งห้ามไม่ให้ชาวรัสเซียยุ่งเกี่ยวกับวอดก้าครั้งนี้ จะกลายเป็นหนึ่งชนวนที่นำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ ที่จะทำให้พระองค์หลุดจากบัลลังก์
วอดก้าเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของรัสเซีย (แม้จะมีจุดกำเนิดที่โปแลนด์) ชาวรัสเซียมีความผูกพันกับวอดก้ามาเป็นเวลาช้านาน ถึงขึ้นที่ว่าชื่อวอดก้าในภาษารัสเซีย มีความหมายว่า 'น้ำ' เฉย ๆ
วอดก้ายังมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของจักรวรรดิรัสเซีย เพราะรายได้ทั้งหมดของประเทศในตอนนั้น 1 ใน 3 มาจากวอดก้า
แล้วอะไรที่ทำให้พระเจ้าซาร์ออกคำสั่งนี้ หลัก ๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องประสิทธิภาพการสู้รบของทหาร เพราะย้อนกลับไปในปี 1905 เมื่อรัสเซียพ่ายแพ้สงครามต่อญี่ปุ่น วอดก้าได้ตกเป็นจำเลยว่า มีส่วนสำคัญต่อความพ่ายแพ้ เพราะมีบันทึกว่า ทหารเกณฑ์รัสเซียหลายคน ขาดประสิทธิภาพในการรบ เพราะพวกเขามีอาการติดเหล้าและมึนเมาขณะสู้รบ
“ทหารญี่ปุ่นพบว่า ทหารรัสเซียหลายพันนายพากันเมามาย ทหารญี่ปุ่นใช้ดาบปลายปืนสังหารทหารเหล่านี้ได้ง่ายดาย เหมือนสังหารหมูจำนวนมาก” ข้อความบางส่วนจากหนังสือพิมพ์รัสเซีย
หนังสือพิมพ์ Neue freie Presse ของออสเตรีย ได้เคยกล่าวว่า ญี่ปุ่นไม่ได้เอาชนะรัสเซีย แต่เป็นแอลกอฮอล์ต่างหากที่ชนะ ประเด็นเกี่ยวกับแอลกอฮอล์และประสิทธิภาพของทหาร ไม่ได้เกิดขึ้นกับรัสเซียเท่านั้น เพราะในปี 1910 ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมัน ก็เคยกล่าวว่า ในสงครามครั้งต่อไป ประเทศที่ดื่มสุราน้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
ดังนั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้นขึ้น ซาร์นิโคลัสจึงออกคำสั่งแบนวอดก้าภายในประเทศ ไม่ใช่แค่เหตุผลเกี่ยวกับการทหารเท่านั้น เพราะพระองค์ยังเชื่อว่า คำสั่งดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาอาชญากรรม ความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงปัญหาสุขภาพของชาวรัสเซียได้
หลังจากออกคำสั่งไป ปรากฏว่าปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ก็มีอัตราที่ลดลงจริง แต่ในอีกมุมนึง เมื่อปราศจากรายได้จากวอดก้า เงินจำนวนมหาศาลก็ได้หายไปด้วย โดยเฉพาะในสภาวะสงครามที่ประเทศต้องการเงินทุน ส่งผลให้รัสเซียเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ และข้าวยากหมากแพงตามมา
และอย่างที่รู้ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ชาวรัสเซียจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับวอดก้าหรือแอลกอฮอล์ชนิดอื่น ในตอนนั้นชาวรัสเซียก็ได้คิดค้นแอลกอฮอล์ชนิดใหม่แทนที่วอดก้าอย่างเช่น มูนไชน์ (Moonshine) ที่ผลิตจากธัญพืช
ความต้องการมูนไชน์มีมากจนล้นตลาด ทำให้ธัญพืชจำนวนมากถูกนำไปผลิตเป็นมูนไชน์ ซึ่งมันก็ทำให้ปริมาณของธัญพืชที่จะนำไปผลิตเป็นขนมปัง มีจำนวนน้อยลงไปด้วย ประจวบกับยังเกิดภาวะแห้งแล้งธัญพืชปลูกไม่ขึ้น ขนมปังจึงมีราคาแพงและขาดตลาด กลายเป็นปัญหาปากท้องของประชาชน
สุดท้ายในเดือนมีนาคม 1917 ปัญหาปากท้องและความไม่พอใจต่อรัฐบาลพระเจ้าซาร์ที่ถูกซุกซ่อนมานาน ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงและจลาจลภายในกรุงเปโตรกราดหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในตอนนั้น การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ (February Revolution) จึงเริ่มต้นขึ้น (รัสเซียใช้ระบบปฏิทินจูเลียนที่ช้ากว่าที่อื่น ทำให้ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ตามปฏิทินจูเลียน)
การปฏิวัติกุมภาพันธ์จบลงที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงสละราชสมบัติ ระบอบกษัตริย์รัสเซียสิ้นสุดลง แต่ความวุ่นวายยังคงเกิดขึ้นต่อไป ก่อนที่ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน กลุ่มบอลเชวิกของวลาดิเมียร์ เลนิน จะก่อการปฏิวัตินำพาให้รัสเซียกลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์แห่งแรกของโลก
แม้จะแปรเปลี่ยนเป็นยุคคอมมิวนิสต์ แต่คำสั่งแบนวอดก้ายังคงถูกบังคับใช้ต่อไป และยังขยายไปถึงมูนไชน์และแอลกอฮอล์ชนิดอื่นด้วย เนื่องจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์มองว่า การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน ดังนั้นการนำธัญพืชไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์จึงถูกสั่งห้ามไว้
คำสั่งแบนวอดก้าดำเนินต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ปี ก่อนที่จะยุติลงในปี 1925 ในยุคของโจเซฟ สตาลิน
อ้างอิง
• Time. Tsar Nicolas II Thought Vodka Was Hurting Russians—But Banning It Helped Destroy His Empire. https://bit.ly/3AWrwYb
• ResearchGate. The Russian Vodka Prohibition of 1914 and Its Consequences. https://bit.ly/3zaai8G
• Russia Beyond. When the Tsar banned booze. https://bit.ly/2YAeBFf
• All That Interesting. How Vodka Shaped The Course Of Russian History. https://bit.ly/3o7kHeU