“เท้ง” เรียกร้อง นายกฯ ทบทวนดึงอำนาจชายแดนกัมพูชา คืนจากกองทัพ
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงการดำเนินมาตรการต่อกัมพูชาว่า ต้องมีเป้าหมายเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาความนิยมของนายกรัฐมนตรี โดยส่วนตัวเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกระดับมาตรการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางไซเบอร์ข้ามชาติที่มีฐานสำคัญอยู่ในกัมพูชา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้แถลงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการที่นายกฯ ได้มอบอำนาจในการควบคุมจุดผ่านแดนหรือด่านชายแดนไทย-กัมพูชาให้แก่กองทัพ
ทั้งนี้นายณัฐพงษ์ เห็นว่า การที่รัฐบาลปล่อยให้กองทัพมีอำนาจตัดสินใจออกมาตรการควบคุมชายแดนไทย-กัมพูชาได้โดยลำพังนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะผิดหลักการประชาธิปไตยที่กองทัพต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน และในกรณีการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชานั้น กองทัพมีหน้าที่รับผิดชอบในการใช้มาตรการทางทหารเพื่อป้องกันประเทศ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีต้องมีบทบาทนำและรับผิดชอบในภาพรวม โดยบูรณการมาตรการทั้งทางด้านการทหาร ทางด้านการทูต ทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านข้อมูลข่าวสาร และอื่นๆ อย่างเป็นเอกภาพ และคำนึงถึงผลกระทบด้านความมั่นคง ปัญหาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรอบด้าน ดังนั้นการที่รัฐบาลยอมให้กองทัพมีอำนาจออกมาตรการควบคุมชายแดนไทย-กัมพูชาได้ด้วยตนเองนั้น กองทัพอาจตัดสินใจด้วยมิติด้านความมั่นคงด้านเดียว แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อมิติอื่นๆ นอกเหนือจากที่ตนรับผิดชอบ ทำให้การบริหารสถานการณ์ไม่เป็นเอกภาพ และอาจมีการใช้มาตรการอย่างไม่ได้สัดส่วน ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา กองทัพได้ตัดสินใจออกมาตรการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด ซึ่งเป็นมาตรการที่จะส่งกระทบรุนแรง ไม่ใช่แค่ต่อชาวกัมพูชา แต่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประชาชนไทยด้วย เสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมโดยไม่จำเป็น
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่า มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น มาตรการจำกัดการนำเข้า-ส่งออกสินค้าบางประเภท หรือมาตรการควบคุมด่านชายแดนนั้น มีเป้าหมายสำคัญเพื่อลดการเผชิญหน้าทางการทหาร ซึ่งจะเห็นก่อนหน้านี้ว่า เพียง 2 วันหลังจากไทยมีมาตรการควบคุมด่านชายแดน สถานการณ์ความตึงเครียดทางทหารระหว่างไทย-กัมพูชาได้ผ่อนคลายลง นำไปสู่การลาดตระเวนร่วมโดยปราศจากอาวุธ และทางการกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาท แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ทางการไทยกลับไม่ได้ปรับระดับมาตรการควบคุมด่านชายแดนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จนกระทั่งเกิดกรณีการปล่อยคลิปเสียงระหว่างนายกฯ กับฮุน เซน ทั้งนี้ตนเข้าใจดีว่านายกฯ ย่อมต้องการที่จะลดแรงกดดันทางการเมืองต่อตนเอง แต่ตนขอเน้นย้ำว่า การดำเนินการต่อกรณีพิพาทไทย-กัมพูชานั้น ต้องไม่ทำเพียงเพื่อแก้ปัญหาคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรี แต่ควรพิจารณาโดยมีเป้าหมายเพื่อการนำกัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาและการแก้ปัญหาด้วยกลไกทวิภาคี นำไปสู่ข้อตกลงที่นานาชาติยอมรับ และเพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม ผู้นำฝ่ายค้านมองว่า รัฐบาลควรนำ “ไพ่ในมือ” หรือมาตรการที่เป็นไปได้ทั้งหมดมาพิจารณาใช้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์และเป้าหมาย การตัดสินใจใดๆ ต้องประเมินจากภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยให้หน่วยงานใดตัดสินใจเองจากเหตุการณ์เฉพาะหน้า เพราะแต่ละหน่วยงานย่อมคำนึงถึงผลกระทบเฉพาะในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบเท่านั้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนไม่ให้กองทัพมีอำนาจตัดสินใจใช้มาตรการใดๆ ต่อกรณีพิพาทไทย-กัมพูชาได้โดยลำพัง อำนาจในการตัดสินใจและความรับผิดชอบต้องเป็นของรัฐบาล โดยยึดถือเป้าหมายคือการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ ไม่ใช่เพียงเพื่อพิทักษ์ความอยู่รอดของรัฐบาล โดยตนสนับสนุนให้เน้นมาตรการที่สามารถกดดันไปยังเครือข่ายผู้มีอิทธิพลทางการเมืองของกัมพูชาโดยตรงแทนที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนวงกว้าง เช่น การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางไซเบอร์ข้ามชาติดังที่ท่านนายกฯ ได้แถลงในวันนี้
นอกจากนี้ รัฐบาลควรเร่งสืบสวนสอบสวนและเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารนายลิม กิมยา นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ในใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งตนเชื่อว่า การดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังจะส่งผลดีต่อการคลี่คลายสถานการณ์ไทย-กัมพูชา รวมทั้งจะส่งผลดีต่อตัวท่านนายกฯ เองที่ถูกมองได้ว่ามีส่วนรู้เห็นให้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในกัมพูชาสามารถกระทำผิดกฎหมายในไทยได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการปล่อยให้ผู้นำต่างชาติละเมิดกระบวนการยุติธรรมและอธิปไตยของประเทศ.