9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 กรมชลฯ เดินหน้าบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพ
The Bangkok Insight
อัพเดต 10 มิ.ย. เวลา 03.48 น. • เผยแพร่ 10 มิ.ย. เวลา 03.43 น. • The Bangkok Insightกรมชลฯ เดินหน้า 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 บริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพ ด้วยระบบชลประทานทั่วประเทศ ลดและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศประเทศไทยได้สิ้นสุดฤดูร้อน และเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน ปี 2568 ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าปริมาณฝนในปีนี้ มีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 5%
ขณะที่ข้อมูลจาก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ระบุว่า ในปีนี้คาดว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนเร็วกว่าปกติ คือในช่วงเดือนพฤษภาคม โดยมีแนวโน้มปริมาณฝนมากกว่าค่าปกติ 17% และอาจจะมีสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง ประมาณช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน ก่อนที่สถานการณ์ฝนจะกลับมาตกหนักมากอีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคม ที่คาดว่าจะมีฝนมากกว่าค่าปกติถึง 29% รวมทั้งมีแนวโน้มจะเกิดพายุโซนร้อน 1-2 ลูก โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง
กรมชลประทาน ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่พัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รวมถึงดำเนินการป้องกันและบรรเทาภัยอันเกิดจากน้ำ จึงได้เตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน โดยเดินหน้าใช้ระบบชลประทานทั่วประเทศบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อลดและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนให้มากที่สุด ตามนโยบายของรัฐบาล และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในส่วนของการรับมือกับฤดูฝนปี 2568 นี้ กรมชลประทาน ได้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝนตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ด้วยการกำหนดพื้นที่ วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยซ้ำซาก พร้อมบริหารจัดการน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ควบคู่กับการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งหน้า
พร้อมกันนี้ ยังมีการติดตามวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเน้นย้ำให้ตรวจสอบอาคารชลประทานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เตรียมเครื่องจักรกล เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนบูรณาการทำงานร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด
เปิด 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568
1. คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการคาดการณ์ จัดทำแผนที่ความเสี่ยงน้ำท่วม ฯลฯ
2. ทบทวน ปรับปรุง เกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำ อย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำ และกลุ่มลุ่มน้ำ โดยมีการปรับเกณฑ์ระดับเตือนภัยแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกัน รวมถึงจุดบ่งชี้ระดับน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้น (flood mark)
3. เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร บุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยง ให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง ด้วยการจัดทำระบบฐานข้อมูลเครื่องจักรเครื่องมือ
4. ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ จัดทำข้อมูลและตรวจสอบความมั่นคงทำนบชั่วคราว และจัดทำแผนการซ่อมแซมช่วงอุทกภัย
รวมทั้งเพิ่มการสำรวจ ตรวจสอบ และประเมินการระบายน้ำ ตลอดจนจัดทำข้อมูลสารสนเทศกำจัดผักตบและวัชพืชลอยน้ำ
5. เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ รวมทั้งเพิ่มการสำรวจ ตรวจสอบ และประเมินการระบายน้ำ ตลอดจนจัดทำข้อมูลสารสนเทศกำจัดผักตบและวัชพืชลอยน้ำ
6. ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย และฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ ด้วยการกำหนดรูปแบบแผนเผชิญเหตุให้สอดคล้องกับบริบทในแต่ละพื้นที่
7. เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน ให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่
8. สร้างการรับรู้ความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งเครือข่าย ในการติดตาม เฝ้าระวัง รับมือภัยด้านน้ำ ดังนี้
- ซักซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านอุทกภัยและดินโคลนถล่มในระดับท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอ
- ประชาสัมพันธ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นทิศทางเดียวกันในลักษณะเป็นเอกภาพ (Single Command)
- จัดทำบัญชีผู้ให้ข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงข่าวเท็จ (Fake News) ในระดับส่วนกลางและพื้นที่ เพื่อให้ภาคประชาชนได้รับข้อมูลข้อเท็จจริง
9. ติดตามประเมินผล ปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย รวมถึงการพัฒนาระบบติดตามและรายงานผล ตลอดจนจัดทำแผนสำรองในการจัดการภัย
ด้านสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ปัจจุบัน (ณ 14 พ.ค.68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 42,615 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 56% ของความจุอ่างฯ รวมกัน สามารถรองรับน้ำได้อีก 33,722 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่สถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวม 44,596 ล้าน ลบ.ม. ในจำนวนนี้ เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ 20,386 ล้าน ลบ.ม.
ในส่วนของพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 12,998 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 52% ของความจุอ่างฯ รวมกัน และสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 11,873 ล้าน ลบ.ม.
แผนจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูฝน ปี 2568
ด้านการเพาะปลูกพืชฤดูฝน กรมชลประทานได้สนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกข้าวนาปีตามความเหมาะสม เน้นใช้น้ำฝนเป็นหลัก และใช้น้ำชลประทานเสริมกรณีฝนทิ้งช่วง คาดการณ์จะมีพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูฝนทั่วประเทศกว่า 18 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวนาปี 17 ล้านไร่ พืชไร่-พืชผัก 1 ล้านไร่
ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 มีปริมาณน้ำต้นทุนฤดูฝน 19,914 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ความต้องการใช้น้ำในช่วงฤดูฝนอยู่ที่ 31,710 ล้าน ลบ.ม. โดยวางแผนจัดสรรน้ำรวม 16,739 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น น้ำเพื่อเกษตรกรรม 7,580 ล้าน ลบ.ม. (45%) น้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค 1,654 ล้าน ลบ.ม. (10%) น้ำสำหรับภาคอุตสาหกรรม 260 ล้าน ลบ.ม. (2%) และน้ำสำหรับรักษาระบบนิเวศและอื่น ๆ 7,245 ล้าน ลบ.ม. (43%)
กรมชลประทาน ขอให้เกษตรกรวางแผนการใช้น้ำอย่างเหมาะสมกับปริมาณน้ำต้นทุนในแต่ละพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคการเกษตร และในช่วงครึ่งหลังของฤดูฝน ประมาณเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม คาดว่าปริมาณฝนส่วนใหญ่จะใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยปกติ ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันออก ที่คาดว่าจะมีฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 10%
จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว นับเป็นการวางแผนเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน ปี 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันอุทกภัยและลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ตลอดจนมุ่งพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเสริมความมั่นคงด้านน้ำทั้งในภาคเกษตร อุปโภคบริโภค และเศรษฐกิจ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- กรมชลฯ เดินหน้ารับมือฤดูฝน 68 เข้มข้น กักน้ำไว้แล้งหน้า
- กรมชลฯ เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 9-12 พ.ค. ระวังพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย
- สปสช. แจงแอปฯ หาหมอออนไลน์ รักษาโควิด-19 ตามอาการ ไม่จำเป็นต้องจ่ายยาต้านไวรัสทุกราย
ติดตามเราได้ที่