โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กิน-ดื่ม

French Fries กับศึกชิงความเป็นต้นฉบับ เบลเยียม ฝรั่งเศส อเมริกา

BrandThink

เผยแพร่ 29 พ.ค. เวลา 03.15 น.

เมื่อพูดถึง ‘เฟรนช์ฟรายส์’ (French Fries) นอกจากจะนึกถึงความอร่อยที่ถูกปากคนทั่วโลกแล้ว ประวัติที่มาของมันก็นับว่าสร้างความวุ่นวายให้แก่นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการด้านอาหารอยู่ไม่น้อย เพราะมีข้อถกเถียงว่าเจ้ามันฝรั่งหั่นเป็นแท่งๆ เอาไปทอดนี้มันเกิดในเบลเยียมหรือฝรั่งเศสกันแน่ เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างความเป็นต้นกำเนิดของมันทั้งคู่ ยังไม่นับชาติที่ทำให้อาหารชนิดนี้แพร่หลายอย่างอเมริกาที่ ‘เฟรนช์ฟรายส์’ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารแบบฟาสต์ฟู้ดและสร้างความนิยมไปทั่วโลก

ในสหรัฐอเมริกา เรื่องราวของมันฝรั่งทอดนี้เริ่มต้นจาก ‘โทมัส เจฟเฟอร์สัน’ (Thomas Jefferson) ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งทูตประจำฝรั่งเศสได้กินเฟรนช์ฟรายส์เป็นครั้งแรก (แต่ตอนนั้นมันมีชื่อเรียกว่า ‘pommes de terre frites à cru en petites tranches’ โดยหน้าตาของมันเป็นมันฝรั่งดิบหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนนำไปทอด) หลังจากนั้นเขาและ ‘เจมส์ เฮมมิงส์’ (James Hemings) ทาสรับใช้ก็ร่วมกันบันทึกเอาไว้ว่าเป็นสูตรอาหารจากประเทศฝรั่งเศส กระทั่งเจฟเฟอร์สันก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา เขาจึงนำเฟรนช์ฟรายส์เข้ามาในทำเนียบขาวราวๆ ปี 1802 นั่นเป็นครั้งแรกที่คนอเมริกันได้รู้จักกับมันฝรั่งทอดรูปแบบนี้

หลังปี 1900 คนอเมริกันเริ่มตัดทอนคำเรียกให้สั้นลงเหลือแค่ ‘French Fries’ ที่ว่ากันว่ามาจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารอเมริกันได้ไปประจำการที่เบลเยียม และเขามีโอกาสได้ลองกินมันฝรั่งทอด แต่เข้าใจไปว่าเมนูนี้น่าจะเป็นอาหารของฝรั่งเศส (เพราะขณะนั้นเบลเยียมใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ) เมื่อกลับมาถึงบ้านเกิดเขาจึงเรียกว่าเฟรนช์ฟรายส์และใช้จนติดปากตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แต่อีกทฤษฎีหนึ่งก็บอกว่า ชื่อ ‘French Fries’ มาจากคำว่า ‘French’ ที่ไม่ได้หมายถึงฝรั่งเศส แต่มาจากกระบวนการทำอาหารแบบ ‘frenching’ หรือวิธีการหั่นให้เป็นแท่งยาวๆ นั่นเอง พอกระกบคู่กับ fries ที่แปลว่าทอด ก็เลยออกมาเป็นคำดังกล่าว

ขณะที่เบลเยียมและฝรั่งเศส (ทั้งสองประเทศเรียกว่า ‘Frites’ ที่ย่อมาจาก ‘Pommes Frites’) ซึ่งถูกอ้างถึงในฐานะต้นกำเนิดของเฟรนช์ฟรายส์ ก็ต่างพยายามหาหลักฐานมานำเสนอเพื่อช่วงชิงความเป็นออริจินัลแบบไม่มีใครยอมกัน

ฝรั่งเศสเชื่อว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของฟริตส์ในช่วงปี 1789 ที่พ่อค้า-แม่ค้าย่านสะพานปงต์เนิฟ (Pont Neuf) ในปารีส นำมันฝรั่งมาหั่นเป็นแท่งยาวขนาดหนาปานกลางแล้วนำไปทอด ก่อนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส และในปี 1795 ก็ยังมีการค้นพบสูตรฟริตส์ครั้งแรกในตำราหนังสืออาหารฝรั่งเศสชื่อ ‘La Cuisinière Républicaine’ ซึ่งฝรั่งเศสเชื่อว่าตำราอาหารนี้เองมีอิทธิพลในการพัฒนารูปแบบของเฟรนช์ฟรายส์จนกระทั่งประมาณปี 1840 เราก็พบเห็นเฟรนช์ฟรายส์ได้ตามท้องตลาดทั่วไป

ในเวลาต่อมา นักดนตรีชาวบาวาเรียนอย่าง ‘เฟรเดอริก ครีเกอร์’ (Frédéric Krieger) เดินทางมาเล่นดนตรีที่ปารีส ก็มีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการทำมันฝรั่งทอดสไตล์ปารีสไปในตัว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็นำสูตรนี้ไปเปิดกิจการขายมันฝรั่งทอดที่เบลเยียมในชื่อ ‘la pomme de terre frite à l’instar de Paris’ ซึ่งแปลว่า ‘มันฝรั่งทอดสไตล์ปารีส’ และพัฒนารูปแบบในลักษณะหั่นเป็นแท่งยาวๆ จะได้ทอดได้เร็วขึ้นสำหรับวางขายในงานเทศกาลต่างๆ ด้วย และนอกจากนี้เขายังเป็นผู้บุกเบิกการขายฟริตส์ในรูปแบบร้านอาหารเคลื่อนที่ในประเทศ (Friteries) กระทั่งกลายมาเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายในเบลเยียมทุกวันนี้ และนี่อาจเป็นจุดกำเนิดเฟรนช์ฟรายส์ของเบลเยียม

แต่ในทางกลับกัน ในเบลเยียมเองก็มีเรื่องเล่าเฟรนช์ฟรายส์ของตัวเองที่ไม่ได้ยึดโยงกับฝรั่งเศสเช่นกัน กล่าวคือการทอดมันฝรั่งเกิดขึ้นมาจากความยากจนของชาวบ้านเบลเยียม ในเมืองนามูร์ (Namur) ใกล้กับแม่น้ำมูส (Meuse) ช่วงปลายศตวรรษที่ 17-18 หรือประมาณปี 1680 ที่ตามปกติแล้วคนพื้นถิ่นจะดำรงชีวิตด้วยการจับปลาจากแม่น้ำมาทอดกินกัน แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งจนไม่สามารถจับปลาได้ ชาวบ้านจึงนำมันฝรั่งดิบมาหั่นเป็นแท่งยาวๆ ทอดกินแทนเนื้อปลา

แม้ว่าภายหลังเรื่องเล่านี้จะถูกทฤษฎีของ ‘ปีแยร์ เลอแคลร์ก’ (Pierre Leclercq) นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารแห่งมหาวิทยาลัยลีแอช (University of Liège) โต้กลับด้วยการเสนอว่าเรื่องราวที่ว่านี้ไม่เป็นความจริง เพราะในยุคนั้นน้ำมันมีราคาแพงมากจึงเป็นเสมือนวัตถุดิบที่มีค่า มีราคา ไม่มีทางที่ชาวบ้านในเมืองนามูร์จะใช้น้ำมันในปริมาณมากเพื่อทอดมันฝรั่ง หรือประกอบอาหารประเภทอื่นที่จำเป็นจะต้องใช้น้ำมันมากมายขนาดนั้นแน่นอน อีกทั้งมันฝรั่งเพิ่งจะถูกนำเข้ามาในยุโรปช่วงปี 1730 หลังเรื่องราวนี้ด้วยซ้ำ

หากเรื่องราวของชาวบ้านในเมืองนามูร์ไม่เป็นความจริงอย่างที่นักประวัติศาสตร์คนนี้กล่าวไว้ เราก็สามารถนำข้อมูลของเฟรเดอริก ครีเกอร์ มาอ้างอิงถึงความนิยมของฟริตส์ของคนเบลเยียมได้ เพราะสำหรับคนประเทศนี้แล้ว มันฝรั่งทอดไม่ใช่เพียงแค่เครื่องเคียงที่เสิร์ฟคู่อาหารจานด่วนเหมือนในฝรั่งเศสหรืออเมริกา แต่ถือว่าเป็นเมนูหลักที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินประจำชาติเบลเยียม เพราะคนประเทศนี้กินฟริตส์ถึง 75 กิโลกรัมต่อคนต่อปี มากกว่าคนอเมริกันถึง 1 ใน 3 เท่า

อีกทั้งเบลเยียมยังเรียกมันว่า ‘เบลเจียน ฟรายส์’ (Belgian Fries) รวมถึงคิดสูตรสำหรับมันฝรั่งทอดเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของเบลเยียมโดยเฉพาะด้วย โดยฟริตส์ของที่นี่จะต้องทอดในน้ำมัน 2 ครั้ง ครั้งแรกทอดด้วยอุณหภูมิ 130-160 องศาเซลเซียส แล้วนำขึ้นมาพักก่อนจะนำไปทอดอีกครั้งด้วยอุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงโรยเกลือเสิร์ฟใส่กรวยกระดาษราดด้วยซอสมายองเนส หรือซอสดิปอื่นๆ ตามท้องถิ่น และสูตรการทอดซ้ำนี้ก็มีระบุในตำราอาหารเบลเยียมในหนังสือ ‘L’école Ménagère’ ปี 1892 เพื่อใช้สำหรับโรงเรียนสอนทำอาหารซึ่งนับว่าเป็นสูตรแรกของโลกเลยก็ว่าได้

นอกจากนี้ เบลเยียมยังกีดกันการเข้ามาของร้านอาหารจานด่วนแฟรนไชส์สัญชาติอเมริกัน อย่าง McDonald’s ด้วยการสร้างธุรกิจร้านขายฟริตส์ในประเทศของตน อีกทั้งยังยื่นคำร้องต่อองค์การยูเนสโก เพื่อขอให้การกินฟริตส์หรือเฟรนช์ฟรายส์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก (UNESCO) ในปี 2014 รวมถึงในปี 2016 ด้วย

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งเบลเยียม ฝรั่งเศส และอเมริกา ต่างก็มีอิทธิพลที่ทำให้เฟรนช์ฟรายส์หรือวัฒนธรรมการทอดมันฝรั่งกลายมาเป็นอาหารจานด่วนที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายมาเป็นคอมฟอร์ตฟู้ดในดวงใจของใครหลายคนนั่นเอง

อ้างอิง

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...