โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

วิกฤตซ้อนวิกฤต เศรษฐกิจไทยปี 68 เจอ 4 แรงกระแทกใหญ่ ลากยาวถึงปี 69

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปี 2568 ถูกบันทึกไว้ในฐานะปีที่เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันซ้อนทับจากหลายวิกฤตพร้อมกัน ทั้งจากภายนอกประเทศที่รุนแรงขึ้น และจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างภายในที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเคยถูกคาดหวังตั้งแต่ช่วงต้นปี จึงดำเนินไปอย่างเปราะบาง ไม่สม่ำเสมอ และต้องเผชิญแรงสะดุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายสุดคาดการณ์ว่าทั้งปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2.2% และจะเหลือ 1.5% ในปี 2569

“ภาษีทรัมป์” โลกสะท้าน ค้าไทยสะเทือนต่อปี 69

ตั้งแต่ต้นปี 2568 ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกเริ่มก่อตัวชัดเจนอีกครั้ง จากการหวนกลับมาของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ภายใต้กรอบที่ถูกเรียกว่า “ภาษีทรัมป์” ซึ่งไม่ใช่เพียงมาตรการทางเศรษฐกิจ แต่สะท้อนการใช้การค้าเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ

การประกาศใช้นโยบาย Reciprocal Tariff หรือภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าในอัตราที่แตกต่างกันทั่วโลก ได้สั่นคลอนห่วงโซ่อุปทานโลก และกระทบประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทยโดยตรง

ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐจับตาอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงแรกมีความเสี่ยงถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% ก่อนที่การเจรจาจะทำให้อัตราภาษีสุดท้ายลดลงเหลือ 19% และเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568

แม้อัตราดังกล่าวจะต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรก และใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการค้าและทิศทางการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

ก่อนที่ภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้ ผู้นำเข้าในสหรัฐจำนวนมากเลือกใช้กลยุทธ์ “เร่งตุนสินค้า” จากประเทศคู่ค้า รวมถึงไทย เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่กำลังจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การส่งออกไทยไปสหรัฐในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าปกติ

โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมต่อเนื่อง แรงเร่งดังกล่าวช่วยพยุงภาพรวมการส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีแรก ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และทำให้สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่า การขยายตัวดังกล่าวเป็นเพียง “ดีมานด์ที่ถูกดึงมาใช้ล่วงหน้า” มากกว่าจะสะท้อนความแข็งแกร่งเชิงโครงสร้าง เมื่อภาษี Reciprocal Tariff เริ่มมีผลเต็มรูปแบบในช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกไทยไปสหรัฐเริ่มชะลอตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสสุดท้าย

ต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น 19% ทำให้ผู้นำเข้าบางส่วนชะลอคำสั่งซื้อ ขณะที่บางอุตสาหกรรมเริ่มพิจารณาเปลี่ยนแหล่งนำเข้าไปยังประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า หรือมีข้อตกลงทางการค้าที่ได้เปรียบกว่า

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนภาพเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่ต้องเผชิญนโยบายภาษีของสหรัฐในระดับที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การค้าโลกก้าวเข้าสู่ยุค “เลือกข้าง–เลือกแหล่งผลิต” อย่างชัดเจน ห่วงโซ่อุปทานโลกถูกบังคับให้ปรับโครงสร้างอีกครั้ง

ขณะที่ประเทศที่แข่งขันด้านราคาสูงอย่างไทยต้องเผชิญแรงกดดันหนักขึ้น โดยเฉพาะในปี 2569 ซึ่งภาษี 19% จะมีผลบังคับใช้ตลอดทั้งปี โดยไม่มีแรงหนุนจากการเร่งส่งออกเหมือนช่วงก่อนเดดไลน์

จากแม่สายถึงหาดใหญ่ ภัยพิบัติถล่มซ้ำเศรษฐกิจไทย

ปี 2568 ยังถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญ “ภัยพิบัติซ้อนวิกฤต” รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ตั้งแต่วิกฤตดินโคลนถล่มและน้ำป่าไหลหลากในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โศกนาฏกรรมอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่มจากแรงแผ่นดินไหว ไปจนถึงมหาอุทกภัยลุ่มน้ำสงขลา–หาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นน้ำท่วมใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 25 ปี

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 28 มีนาคม 2568 จากเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศเมียนมาที่ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพมหานคร แม้ศูนย์กลางจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร แต่ลักษณะชั้นดินอ่อนของกรุงเทพฯ กลับขยายแรงสั่นสะเทือนให้รุนแรงกว่าที่คาด ก่อนนำไปสู่การพังถล่มของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ในย่านจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตแรงงานมากกว่า 90 ราย และมีผู้บาดเจ็บและสูญหายจำนวนมาก นับเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมด้านการก่อสร้างที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ความเสียหายไม่ได้จำกัดอยู่เพียงชีวิตและทรัพย์สิน แต่ลุกลามไปสู่ความเชื่อมั่นในมาตรฐานการออกแบบอาคาร ระบบควบคุมงานก่อสร้าง และกลไกตรวจสอบโครงการภาครัฐ

ภายหลังพบข้อสงสัยทั้งด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และความโปร่งใสของกิจการร่วมค้าที่รับงานมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จนกรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างและธรรมาภิบาลที่ฝังลึกมานาน

ต่อมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญภัยน้ำท่วมและดินโคลนถล่มรุนแรงจากฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งเมียนมา ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูงชันทำให้ดินอิ่มตัวและพังทลาย กลายเป็นมวลน้ำป่าที่พัดพาโคลนตะกอนจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่เขตเมืองแม่สายอย่างฉับพลัน

พื้นที่ซึ่งเป็นคอขวดจากการปลูกสร้างรุกล้ำแนวทางน้ำไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ทัน ส่งผลให้ชุมชนและย่านการค้าชายแดนถูกน้ำและดินโคลนทับถมอย่างหนัก

ความเสียหายของแม่สายแตกต่างจากน้ำท่วมทั่วไป เพราะหลังน้ำลด สิ่งที่หลงเหลือคือดินโคลนหนาและแข็งตัว การฟื้นฟูต้องใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง ภาคการค้าชายแดนซึ่งเป็นหัวใจเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักหลายสัปดาห์ มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 1,500 ครัวเรือน และรัฐต้องเร่งวางแผนทั้งการเยียวยาและการจัดการลำน้ำระยะยาว

ขณะที่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ภาคใต้ตอนล่างเผชิญมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากฝนแช่ตกหนักหลายวัน น้ำจากหลายลุ่มน้ำไหลรวมกัน ประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้ระบบระบายน้ำล้มเหลว

เมืองหาดใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ตอนล่างถูกน้ำท่วมสูงหลายเมตร ความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินในช่วง 1.18–2.36 หมื่นล้านบาท บ้านเรือนและสถานประกอบการได้รับผลกระทบกว่าหนึ่งแสนหลังคาเรือน

สามภัยพิบัติใหญ่ในปีเดียวกันจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ธรรมชาติ แต่สะท้อนต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจาก Climate Change และความล้มเหลวในการเตรียมความพร้อมเชิงโครงสร้าง เมื่อภัยพิบัติกลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ เศรษฐกิจไทยจึงต้องแบกรับภาระที่ลึกและยาวไกลกว่าความสูญเสียระยะสั้น

1 ปี 2 นายกฯ การเมืองไทยพลิกผันแรง เดิมพันใหญ่ก่อนเลือกตั้ง 2569

ปี 2568 ยังถูกบันทึกเป็นหนึ่งในปีที่การเมืองไทยผันผวนรุนแรงที่สุด ทั้งการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างฉับพลัน การมีนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนในปีเดียว และการยุบสภาเพื่อนำประเทศกลับเข้าสู่สนามเลือกตั้งอีกครั้งภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง และทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมืองทันที

ในช่วงรอยต่อดังกล่าว นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี พยายามใช้กลไกยุบสภาเป็นทางออก โดยยื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568

อย่างไรก็ตาม สำนักงานองคมนตรีได้ส่งคืนร่างดังกล่าว เนื่องจากมีข้อกังขาทางกฎหมายว่ารัฐบาลรักษาการมีอำนาจยุบสภาหรือไม่ ทำให้ทางเลือกดังกล่าวถูกปิดลง

สถานการณ์นำไปสู่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนน 311 ต่อ 152 เสียง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายใต้สมการอำนาจที่เปราะบาง

รัฐบาลนายอนุทินถูกนิยามว่าเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” โดยมีเสียงสนับสนุนอย่างเป็นทางการเพียง 146 เสียง แต่ได้รับคะแนนโหวตจากพรรคประชาชน พรรคฝ่ายค้านหลัก ภายใต้บันทึกข้อตกลง (MOA) 5 ข้อ ซึ่งรวมถึงเงื่อนไขการยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย และการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ขณะที่พรรคประชาชนยืนยันบทบาทฝ่ายค้าน ไม่ร่วมคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพของรัฐบาลเสียงข้างน้อยถูกทดสอบอย่างหนักจากความขัดแย้งในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 2 ที่ไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ สุดท้ายนายอนุทินตัดสินใจยื่นพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรในช่วงกลางดึกของวันที่ 11 ธันวาคม 2568 และมีผลในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ปิดฉากรัฐบาลอายุไม่ถึง 4 เดือน

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ขณะเดียวกัน ปี 2568 ยังมีหมุดหมายสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เมื่อศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าสู่เรือนจำเพื่อรับโทษจำคุก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการลดโทษ หลังตรวจสอบพบว่าการพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจไม่เป็นไปตามกรอบกฎหมาย

ปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงปีแห่งการเปลี่ยนตัวผู้นำ แต่เป็นปีที่ระบบการเมืองไทยต้องเผชิญบททดสอบด้านเสถียรภาพ ความชอบธรรม และความเชื่อมั่น ก่อนที่คำตอบสุดท้ายจะถูกส่งต่อไปยังการเลือกตั้งปี 2569

วิกฤตไทย–กัมพูชา 2568 การค้าชายแดนล่มสลาย

ปิดท้ายปี 2568 ยังเป็นปีที่ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาปะทุรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติความมั่นคงหรือการทหาร หากแต่ลุกลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจชายแดนและความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

ความตึงเครียดที่เริ่มจากข้อพิพาทด้านดินแดนได้ยกระดับสู่การปะทะทางทหารและปฏิบัติการกวาดล้าง “กองกำลังสแกมเมอร์” ในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งความเชื่อมั่น การค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ผลกระทบที่ชัดเจนและรุนแรงที่สุดคือการล่มสลายของการค้าชายแดน หลังรัฐบาลทั้งสองประเทศใช้มาตรการจำกัดเวลาเปิดจุดผ่านแดนและคุมเข้มการขนส่งสินค้าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 เพื่อรับมือสถานการณ์ความมั่นคง

เศรษฐกิจชายแดนซึ่งเคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ของหลายจังหวัดหยุดชะงักแทบจะในทันที มูลค่าการค้าชายแดนที่เคยเฉลี่ย 15,000–18,000 ล้านบาทต่อเดือน ลดลงเหลือเพียง 9–11 ล้านบาทในบางด่านสำคัญ หรือลดลงเกือบทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสะสมกว่า 18,000 ล้านบาท

การชะงักงันของการค้าชายแดย ไม่ได้กระทบแค่ตัวเลขการส่งออก–นำเข้า แต่ลามไปถึงห่วงโซ่อุปทานระดับท้องถิ่น ผู้ประกอบการ SME แรงงานรายวัน โลจิสติกส์ และเศรษฐกิจชุมชนที่พึ่งพาการค้าข้ามแดน หลายพื้นที่กลายเป็น “เมืองเศรษฐกิจปิด” สภาพคล่องหาย รายได้ประชาชนลดลงรวดเร็ว และภาครัฐต้องออกมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้าเพื่อประคองสถานการณ์

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งยังส่งผลกระทบเชิงลึกต่อความมั่นคงด้านพลังงานของไทย เมื่อการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ซึ่งมีมูลค่าทรัพยากรก๊าซธรรมชาติกว่า 10 ล้านล้านบาท ถูกแช่แข็งอย่างไม่มีกำหนด

แม้ต้นปีจะมีความพยายามเดินหน้าผ่านคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) แต่การปะทะบนบกทำให้ประเด็นพลังงานกลายเป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองที่ไม่สามารถขยับได้ การปิดตาย OCA จึงหมายถึงต้นทุนโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล ในช่วงที่ไทยต้องเผชิญความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นและต้นทุนพลังงานโลกผันผวน

สถานการณ์ด้านความมั่นคงทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 หลังเหตุทหารไทยลาดตระเวนเหยียบทุ่นระเบิด ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่า เป็นการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ การปะทะขยายตัวเป็นวงกว้าง มีการใช้อาวุธหนักและส่งผลกระทบต่อพลเรือน เกิดการอพยพประชาชนตามแนวชายแดน เพิ่มภาระด้านมนุษยธรรมและงบประมาณรัฐ

แม้จะมีความพยายามคลี่คลายผ่านคำแถลงร่วมกัวลาลัมเปอร์ในช่วงปลายปี แต่กระบวนการสันติภาพกลับสะดุดอีกครั้ง ทำให้ความไม่แน่นอนยืดเยื้อ และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและคู่ค้าต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อแรงกดดันด้านความมั่นคง การค้า และพลังงานเกิดขึ้นพร้อมกัน เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จึงชะลอลงจากที่คาดไว้ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือ 2.2% สะท้อนความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่กำลังทอดยาวสู่ปี 2569

ปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงปีแห่งวิกฤตซ้อนวิกฤต แต่เป็นปีที่ส่งสัญญาณเตือนชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ

หากยังตั้งรับต่อแรงกดดันจากโลก การเมือง และภัยพิบัติ โดยไม่เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ กระจายตลาด ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเทศอาจต้องเผชิญแรงกระแทกที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมในปี 2569 และปีถัดไป

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,161 วันที่ 28 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...