เรื่องราวของ “โขน” ณ เกาะเกิด
แต่เดิมการแสดงโขนนั้นเป็นการแสดงที่กรมศิลปากรจัดการแสดงถวายในโอกาสที่ทรงรับรองพระราชอาคันตุกะอย่างเป็นทางการ ต่อมาเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่าโขนซบเซาลง ทรงรับสั่งให้กรมศิลปากรจัดการแสดงถวายทอดพระเนตร ในโอกาสที่ทรงแปรพระราชฐานไปประทับ ณ จังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 นับเป็นครั้งแรกที่โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดแสดงโขนถวายทอดพระเนตรเป็นการส่วนพระองค์ การแสดงครั้งนั้นเป็นตอน "นิ้วเพชร" และ "พระรามรบทศกัณฐ์"
นอกจากรับสั่งชมเชยว่าการแสดงงดงาม ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 300,000 บาท ให้กรมศิลปากรนำไปปรับปรุงเครื่องแต่งกาย ด้วยทรงเห็นว่าควรอนุรักษ์ลวดลายปักให้ประณีต จากนั้นทรงให้การสนับสนุนโขนเรื่อยมาจนมาถึงการแสดงโขนพระราชทานครั้งแรกในปี พ.ศ.2550 ในตอน “พรหมมาศ” โดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จนมาถึง “สัตยาพาลี” ในปี พ.ศ.2568 ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ซึ่งวันนี้ไม่ได้มีเพียงงานฝีมือชั้นสูงที่ประกอบกันขึ้นเป็นเสื้อผ้า ฉาก แสง สี และองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ยังผสานผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้โขนเป็นมากกว่าเรื่องราวจากรามเกียรติ์ วรรณคดีที่แปลงมาเป็นภาพเคลื่อนไหวให้เห็นจริง
ฉากหน้าที่จัดแสดงให้ได้ชมต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีนั้น มีฉากหลังและฉากที่เคยใช้ในการแสดงครั้งก่อน ๆ รวมไปถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกรวบรวมไว้ที่ “อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน” ในพื้นที่เดียวกันกับ “ศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด” และ “พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน” ตั้งอยู่ที่เกาะเกิด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา หนึ่งในนั้นและถือเป็นไฮไลท์ที่ใคร ๆ ต้องมาชื่นชมคือ “หนุมานอมพลับพลา” หนึ่งในฉากอันวิจิตรจากโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “ศึกมัยราพณ์”
กล่าวถึงตอนที่หนุมานแปลงกายให้ใหญ่โต แล้วอมพลับพลาซึ่งเป็นที่ประทับของพระรามไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มัยราพณ์หายตัวเข้ามาลักพาพระรามไปได้ การสร้างประติมากรรมหนุมานที่เนรมิตกายให้ใหญ่โต และกว้างจนสามารถให้ผู้แสดงเข้าไปอยู่ภายในได้ ไม่เพียงเท่านั้นดวงตาของหนุมานยังสามารถกลอกกลิ้งไปมารวมถึงหลับและลืมตาได้ ส่วนมือก็สามารถขยับได้ด้วย
อีกฉากที่ตราตรึงใจผู้ชมคือ เรือสำเภาหลวงจากตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” นอกจากนี้ยังหนุมาและนางผีเสื้อสมุทรขนาดใหญ่ที่มาจากตอน “สืบมรรคา” นอกจากฉากอันยิ่งใหญ่ที่ยังถูกเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้แล้ว ยังมีองค์ประกอบของโขนอื่น ๆ ตั้งแต่หน้ากากหนุมาน นางยักษ์ เครื่องทรงศรีษะของพระลักษณ์ พระราม ทศกัณฑ์ รวมถึงเครื่องแต่งกายที่เป็นงานฝีสือสุดวิจิตรบรรจง นอกจากนี้ยังมีฉากพระราชวัง ท้องพระโรง รวมถึงมีการจดแสงโขนรอบพิเศษในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 คือวันที่ 28 กรกฎาคม ของทุกปีด้วย
และหากอยากจะลองประดิษฐ์หัวโขนเองสักครั้งก็มีส่วนที่สอน ให้ความรู้ พร้อมอุปกรณ์ให้ลงมือทำ หัวโขนขนาดย่อม หรือจะเพียงแค่ขอยืนชื่นชมการประดิษฐ์หัวโขนแบบที่ใช้ในการแสดง ก็มีการสาธิตพร้อมรายละเอียดขั้นตอนกว่าจะเป็นหัวโขนให้ได้ชมด้วย
จากอาคารเรียนรู้เรื่องโขนยังสามารถไปเยี่ยมชม “พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน” เป็นพิพิธภัณฑ์ของสถาบันสิริกิติ์ที่จัดแสดงผลงานศิลปะชิ้นสำคัญที่มีความงดงามทรงคุณค่าอันเป็นศิลปวัตถุของแผ่นดินจากฝีมือช่างสถาบันสิริกิติ์ สวนจิตรลดา เช่น พระที่นั่งพุดตานถมทอง, เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์จำลอง, บุษบกมาลา, ฉากผ้าปักหิมพานต์, ฉากไม้แกะสลักเรื่องสังข์ทองและหิมพานต์ ฯลฯ ซึ่งเคยจัดแสดงในนาม นิทรรศการศิลป์แผ่นดิน ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
ชมเรื่องราวของโขนที่เกาะเกิดเสร็จแล้ว ไม่ไกลกันคือ “พระราชวังบางปะอิน” สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระเจ้าปราสาททอง และน่าจะเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาอีกหลายพระองค์ในเวลาต่อมา จนถูกทิ้งร้างลงหลังการเสียเอกราชครั้งที่ 2 กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระราชวังบางปะอินจึงได้รับการบูรณะฟื้นฟูอีกครั้ง และต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งยังคงใช้เป็นที่ประทับ และต้อนรับพระราชอาคันตุกะและพระราชทานเลี้ยงรับรองในโอกาสต่าง ๆ เป็นครั้งคราว
ฝั่งตรงข้ามคือ “วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร” ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2419 เพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สําหรับบําเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน ลักษณะเด่นของวัดนี้คือการตกแต่งเป็นแบบตะวันตก พระอุโบสถคล้ายโบสถ์ฝรั่งในศาสนาคริสต์ มีหลังคายอดแหลมและช่องหน้าต่างเจาะโค้งแบบกอทิก ผนังอุโบสถเหนือหน้าต่างด้านหน้าพระประธานประดับกระจกสี เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธาน “พระพุทธนฤมลธรรมโมภาส” ทําเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ศาสนา
อาคารเรียนรู้เรื่องโขน เปิดให้เข้าชมวันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 09.30-16.00 น. หยุดวันจันทร์และวันอังคาร เวลาจำหน่ายบัตร 9.30 - 15.30 น. สอบถามโทร. 0 3535 2991 สำหรับโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี” จัดแสดงถึง 8 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ สำรองที่นั่งไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทาง www.thaiticketmajor.com หรือโทร. 0-2262-3456