เมื่อวาทกรรมก้าวข้ามความเป็นจริง สู่การซ้ำเติมความแตกแยก
26ธ.ค.2568 - รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความเรื่อง เมื่อวาทกรรมก้าวข้ามความเป็นจริง สู่การซ้ำเติมความแตกแยก มีเนื้อหาดังนี้
การวิพากษ์วิจารณ์รัฐและชนชั้นนำคือหัวใจสำคัญของสังคมประชาธิปไตย โดยเฉพาะการตั้งคำถามต่อต้นทุนชีวิตของประชาชนในภาวะสงครามหรือความขัดแย้ง ถือเป็นหน้าที่อันชอบธรรมของปัญญาชนและนักการเมือง ความโกรธ ความอัดอั้น และความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่สะสมจากโครงสร้างอำนาจและนโยบายที่ล้มเหลว เป็นสิ่งเข้าใจได้และไม่ควรถูกมองข้าม อย่างไรก็ตาม เสรีภาพในการสื่อสารไม่อาจแยกขาดจากความรับผิดชอบต่อ “ความจริง” และต่อผลสะเทือนที่ถ้อยคำสร้างขึ้นในสังคม วาทกรรมที่ว่า “ไม่มีกษัตริย์ตายในสนามรบ มีแต่ไพร่ที่ต้องตาย” จึงเป็นกรณีที่น่ากล่าวถึง
ในมิติเชิงสัญลักษณ์ แม้วาทกรรมนี้จะพยายามชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการแบกรับความเสี่ยงระหว่างชนชั้นนำกับประชาชน ซึ่งเป็นประเด็นที่นำมาอภิปรายได้ แต่การเลือกสื่อสารผ่านการปฏิเสธข้อเท็จจริงกลับเป็นดาบสองคม ในเชิงประวัติศาสตร์กระแสหลัก เราพบเรื่องราวของผู้นำหรือกษัตริย์ที่ออกศึก นำทัพ และในบางกรณีต้องจบชีวิตลงในสนามรบ แม้ในเชิงโครงสร้าง ความสูญเสียจากการสู้รบจะตกแก่สามัญชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้อเท็จจริงนี้ไม่อาจถูกนำมาใช้ลบล้างหรือเหมารวมว่า ผู้นำไม่เคยแบกรับต้นทุนชีวิตหรือความเสี่ยงทางกายภาพเลย การอธิบายอดีตในลักษณะเกินจริง เพื่อรองรับข้อสรุปทางอารมณ์ จึงไม่ใช่การทำความจริงให้ปรากฏ
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าความคลาดเคลื่อนทางประวัติศาสตร์ คือผลสะเทือนระยะยาวต่อพื้นที่ทางปัญญาของสังคม การใช้วาทกรรมที่มุ่งเน้นความ “สะใจ” และการจัดวางคู่ขัดแย้งเชิงศีลธรรมอย่างสุดโต่ง อาจสร้างพลังทางการเมืองได้ในระยะสั้น แต่กลับเพิ่มต้นทุนความแตกแยกในระยะยาว เพราะมันทำให้สังคมคุ้นชินกับการถกเถียงกันในกรอบของ “ผู้กระทำผิดโดยเนื้อแท้” กับ “เหยื่อโดยสภาพ” มากกว่าการตั้งคำถามต่อกลไกอำนาจ นโยบาย และกระบวนการตัดสินใจที่เป็นรูปธรรม การลดทอนประชาชนให้เป็นเพียง “ไพร่” ในเชิงวาทกรรม อาจดูเหมือนเป็นการยืนข้างประชาชน แต่ในทางปฏิบัติกลับเสี่ยงต่อการบั่นทอนศักดิ์ศรีของความเป็นพลเมือง และทำให้การเมืองติดอยู่กับอารมณ์คับแค้นที่มากด้วยอคติ มากกว่าการแสวงหาทางออกเชิงเหตุผล
นอกจากนี้ การสื่อสารที่ขาดความรัดกุมยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตีความในเชิงนัยยะทางการเมืองว่าเป็นการพาดพิงหรือวิพากษ์วิจารณ์สถาบันในทางอ้อม ไม่ว่าผู้กล่าวจะมีเจตนาเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม ในบริบทสังคมไทยที่ประเด็นนี้มีความอ่อนไหว การสื่อสารในลักษณะที่เปิดช่องให้เกิดการตีความเช่นนี้ ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการขยายรอยร้าวในสังคม มากกว่าการเปิดพื้นที่สนทนาอย่างสร้างสรรค์ ระหว่างกลุ่มคนที่มีความเชื่อต่างกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งถูกนิยามให้เป็นตัวแทนของความอยุติธรรมโดยสมบูรณ์ การแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผลย่อมไร้ความหมายตั้งแต่ต้น
การเมืองที่เข้มแข็งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวาทกรรมที่บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างพลัง หากแต่ต้องกล้าตั้งคำถามให้ตรงจุด เช่น ใครเป็นผู้ตัดสินใจเชิงนโยบายที่นำไปสู่ความสูญเสีย ใครได้รับประโยชน์จากโครงสร้างงบประมาณ และกลไกตรวจสอบใดที่ล้มเหลวในการปกป้องชีวิตประชาชน
การสื่อสารอย่างรับผิดชอบต่อความจริง ไม่เพียงช่วยปกป้องความน่าเชื่อถือของผู้พูด แต่ยังเป็นการรักษาพื้นที่การถกเถียงเชิงเหตุผลของสังคมโดยรวม เพราะหน้าที่ของผู้นำทางความคิดไม่ใช่เพียง “การได้พูด” “ได้แผดเสียงที่ดังกว่า” หรือ “ได้ใช้ถ้อยคำเสียดสีเชิงอารมณ์”เพื่อความสะใจ หากแต่คือการพูดเพื่อให้สังคมก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยข้อเท็จจริง ปัญญา และการเข้าใจในความซับซ้อนที่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกัน