โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

วิจัยกสิกรไทยเกาะติดหนี้ธุรกิจไทยจากเครดิตบูโร:ภาพหนี้เสียยังเพิ่มขึ้น

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Key Focus

• การวิเคราะห์ฐานข้อมูลนิติบุคคล (ที่ไม่ระบุตัวตน) ขนาดใหญ่ของเครดิตบูโร ชี้ว่า ปัญหาคุณภาพหนี้ของสินเชื่อธุรกิจยังถดถอยลงต่อในช่วงครึ่งแรกของปี 2568

• แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกจากผู้ให้บริการสินเชื่อ แต่สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กและย่อมก็ยังเปราะบางกว่ากลุ่มธุรกิจรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง

• คุณภาพหนี้ของหลายธุรกิจได้รับผลกระทบจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของอำนาจซื้อ และการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ อาทิ ที่พักแรม การผลิต ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และค้าส่งค้าปลีก

• จุดติดตามสำคัญอยู่ที่ประสิทธิภาพของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ลดลง ทำให้การอาศัยการปรับโครงสร้างหนี้แต่เพียงลำพัง โดยที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่แท้จริงไม่ได้เปลี่ยนแปลงนั้น คงดำเนินการได้เพียงอีกระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

หนี้ด้อยคุณภาพของภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น

หนี้เสียของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นมาที่ 3.94% ในไตรมาส 2/2568

จากข้อมูลของเครดิตบูโร หนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วันของบัญชีสินเชื่อธุรกิจ (รวมเฉพาะบัญชีนิติบุคคล หรือ Juristic Persons ที่ไม่เปิดเผยตัวตน) ขยับขึ้นจาก 3.72% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2568 มาที่ 3.94% ในไตรมาส 2/2568 โดยยังคงเป็นระดับที่แย่กว่าจุดที่ดีที่สุดในช่วง 1 ปี หลังจากช่วงโควิด-19 ที่ทำไว้ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งมีสัดส่วนเอ็นพีแอลที่ 3.76% ต่อสินเชื่อรวม

เมื่อจำแนกตามระยะเวลาการค้างชำระ พบว่าสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 31-90 วันไหลตกชั้นไปสู่ชั้นที่ค้างชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไป มากขึ้น (รูปที่ 2) ซึ่งชี้ว่าความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจยังคงไม่เข้าสู่สถานการณ์ปกติ ขณะที่ สัดส่วนหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วันขยับเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ในสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอื่น แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ยังปรากฏสัญญาณเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างต่อเนื่อง

ในรายงานฉบับนี้ จะจัดแบ่งบัญชีสินเชื่อธุรกิจตามขนาดธุรกิจโดยอ้างอิงนิยามขนาดธุรกิจตามเกณฑ์ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. (ตารางที่ 1) ซึ่งปรับเปลี่ยนจากรายงาน In-depth ฉบับก่อนที่แบ่งขนาดธุรกิจตามวงเงินสินเชื่อ

ภายใต้เกณฑ์ Responsible Lending ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนโยบายการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้ยังเห็นภาพการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและย่อม

ดังจะเห็นได้จากจำนวนบัญชีสินเชื่อธุรกิจที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ของธุรกิจ Micro เพิ่มขึ้นมามีสัดส่วนที่ 14.94% ต่อจำนวนบัญชีโดยรวมของสินเชื่อธุรกิจ Micro (เทียบกับ 12.68% ในไตรมาสก่อนหน้า) ตามมาด้วยธุรกิจ Small ที่ 8.92% ต่อจำนวนบัญชีโดยรวมของธุรกิจ Small (เทียบกับ 8.39% ในไตรมาสก่อนหน้า)

นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ค้างชำระของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและย่อมยังคงเพิ่มสูงขึ้น ทั้งหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วัน และหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน นอกจากหนี้ สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจขนาดกลาง ก็ขยับขึ้นเช่นกัน (รูปที่ 4) ไม่ว่าจะเป็นในมุมของสัดส่วนจำนวนบัญชี หรือยอดคงค้างสินเชื่อต่อสินเชื่อรวม

จัดแบ่งหนี้ตามพฤติกรรมชำระหนี้ ย้ำภาพปัญหาลามขึ้นสู่ธุรกิจรายใหญ่ขึ้น

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ทำให้ธุรกิจขนาดที่ใหญ่ขึ้น เริ่มอยู่ยาก

เพื่อให้เห็นภาพเชิงพฤติกรรมการชำระหนี้ที่ชัดเจนขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้จัดแบ่งกลุ่มหนี้ธุรกิจใหม่ตามลักษณะการชำระหนี้รายบัญชีในรอบ 1 ปีย้อนหลังของแต่ละจุดของเวลา โดยเริ่มจากการวิเคราะห์จากรหัสบัญชีตามฐานข้อมูล Commercial Database ของเครดิตบูโร และจัดเกรดสถานะของบัญชีที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการชำระหนี้

จึงสามารถแบ่งสถานะบัญชีของหนี้ธุรกิจออกมาเป็น 4 กลุ่ม คือ

1. สถานะปกติ (Good)

2. สถานะเริ่มมีปัญหาการค้างชำระของหนี้ (Newly Impaired)

3. สถานะดีสลับแย่ซึ่งมีพฤติกรรมการค้างชำระหนี้ และกลับมาจ่ายได้ และ/หรือกลับมาค้างชำระอีกครั้ง (On-Off) และ

4. สถานะที่มีปัญหารุนแรง (Distressed) ซึ่งมีการค้างชำระหนี้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา โดยสถานะหนี้กลุ่มที่ 2-4 ตามมุมมองของแบงก์และเครดิตบูโร คือ บัญชีที่มีสถานะไม่ปกติ โดยมักจะจัดอยู่ในกลุ่มเอ็นพีแอล พักหนี้ หรืออยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น

ผลการศึกษาชี้ว่า สัดส่วนจำนวนบัญชีธุรกิจในกลุ่ม Good ปรับลดลงต่อเนื่องสอดคล้องกับ % ROE ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนว่า แม้แต่กิจการขนาดใหญ่อย่างเช่นบริษัทจดทะเบียนยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจต่อทิศทางรายได้ธุรกิจได้

ธุรกิจ Micro มีสัดส่วนจำนวนบัญชี Good ลดลงมาที่ 78.5%ขณะที่ บัญชีส่วนที่เหลือส่วนใหญ่กระจายอยู่ในกลุ่ม Distressed และ Newly Impaired (รูปที่ 6) นอกจากนี้ ประเภทธุรกิจที่สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่องมีสัดส่วนลดลง กระจายไปในทุกประเภทธุรกิจหลัก (รูปที่ 7)

เมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูล 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่ 1. พฤติกรรมชำระหนี้ (Grading 4 กลุ่ม ได้แก่ Good, Newly Impaired, On-Off และ Distressed) 2. ขนาดธุรกิจ และ 3. ประเภทธุรกิจ ซึ่งมีความแตกต่างและให้มุมมองที่ลึกและละเอียดมากขึ้นกว่าการนำเสนอในรายงาน In-depth ฉบับก่อนหน้า พบจุดที่น่ากังวลว่า ปัญหาการชำระหนี้ลามมาที่ธุรกิจรายใหญ่ชัดเจนขึ้น

โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกค้าส่ง รวมถึงธุรกิจกลุ่มที่พักแรม และบริการอื่นๆ ซึ่งเผชิญกับโจทย์ท้าทายหลายด้านพร้อมกัน ทั้งอำนาจซื้อที่จำกัดลงมากของตลาดในประเทศ และการฟื้นตัวที่ไม่ต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว

ขณะที่ ธุรกิจขนาดกลางและย่อมในภาคการผลิต ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และที่พักแรม ต่างก็เผชิญสถานการณ์ที่กดดันมากขึ้น เพราะไม่ได้จะต้องรับมือกับผลกระทบจากปัญหาการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ การแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากจีน รวมถึงปัญหาข้อจำกัดด้านรายได้ของครัวเรือนเท่านั้น แต่ต้องหาทางหมุนสภาพคล่องไปด้วยในเวลาเดียวกัน เนื่องจากมีสายป่านที่สั้นกว่ารายใหญ่

สัญญาณเริ่มเตือนปัญหาคุณภาพหนี้ของหลายธุรกิจ หากเทียบกับช่วงโควิด-19 พบว่า สถานการณ์สินเชื่อที่มีการชำระหนี้ไม่ปกติ โดยเฉพาะกลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน อยู่ในภาวะที่แย่กว่าแล้ว นั่นคือ มีสัดส่วนสินเชื่อที่มีการชำระหนี้ไม่ปกติที่ 8.2% สูงกว่าช่วงโควิด-19 ที่ 7.3%

ประเด็นติดตาม คือ ประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ที่เริ่มลดลง

จากการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า การปรับโครงสร้างหนี้จะมีประสิทธิผลดีเมื่อดำเนินการกับหนี้ที่เพิ่งค้างใหม่ ๆนั่นคือ หากเข้าไปจัดการปรับโครงสร้างหนี้ในกลุ่มลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอลอย่างทันท่วงทีแล้ว จะสามารถช่วยฟื้นสถานะให้หนี้รายนั้นกลับมาเป็นหนี้ปกติหรือมีวันค้างชำระไม่เกิน 30 วันได้ถึง 70% ของจำนวนบัญชีที่เข้าไปปรับโครงสร้าง ในช่วง 3 เดือนถัดมา แต่หากปรับโครงสร้างกับหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอลแล้ว สัดส่วนหนี้ที่จะกลับมาจัดชั้นปกติจะลดลงเหลือ 8% และจะต้องใช้เวลาแก้หนี้นานขึ้นเป็น 1 ปี

ขณะที่เมื่อพิจารณาข้อมูลในอีกมิติหนึ่งเพื่อประเมินประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ โดยทำการเปรียบเทียบจำนวนบัญชีลูกหนี้ธุรกิจที่สามารถเลื่อนสถานะกลับมา “ดีขึ้น” กับการเลื่อนสถานะ “แย่ลง” ในรอบ 12 เดือนล่าสุด

พบว่า สัดส่วนจำนวนบัญชีที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่สถานะกลับถดถอยลงนั้น มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และเร็วกว่ากลุ่มที่ได้รับการเลื่อนสถานะดีขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนนัยเชิงลบต่อประสิทธิภาพของการปรับโครงสร้างหนี้ที่สามารถเล็งผลเลิศได้ลดลงเมื่อระยะเวลาผ่านไป

ประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ลดลงดังกล่าว ถือเป็นประเด็นที่น่ากังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ยังมีโอกาสเติบโตในระดับต่ำกว่าศักยภาพที่ 1.6%

กอปรกับยังต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงปัญหาขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ ที่จะเป็นปัจจัยกำหนดเสถียรภาพด้านรายได้ของธุรกิจและความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาว

หากสถานการณ์แวดล้อมข้างต้นยังไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้ว นโยบายการปรับโครงสร้างหนี้ในการซื้อเวลาและยับยั้งการเพิ่มขึ้นของปัญหาหนี้เสียในภาคธุรกิจคงให้ประสิทธิผลที่ลดลง ซึ่งเท่ากับว่า วังวนในการแก้ปัญหาหนี้เสียจะยิ่งกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันแนวโน้มการฟื้นตัวของสินเชื่อ และอาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อผู้ให้บริการสินเชื่อมากขึ้นอีกในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพัฒนาการที่ดีกว่า

โจทย์การแก้ไขปัญหาวังวนของหนี้เสียภาคธุรกิจที่ขยายวงกว้างขึ้นนี้ จึงเป็นหนึ่งโจทย์ท้าทายของสถาบันการเงิน รวมถึงหน่วยงานทางการอื่น ๆ ในปีหน้าอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

อ่านฉบับเต็ม

Disclaimers

รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เพื่อเผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ หรือ ข้อมูลที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่ปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ทั้งนี้ KResearch มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม ความครบถ้วนสมบูรณ์ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ชวน เสนอแนะ ให้คำแนะนำ หรือจูงใจในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใดๆ KResearch จะไม่รับผิดในความเสียหายใดที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว

ข้อมูลใดๆ ที่ปรากฎในรายงานวิจัยนี้ถือเป็นทรัพย์สินของ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) การนำข้อมูลดังกล่าว (ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน) ไปใช้ต้องแสดงข้อความถึงสิทธิความเป็นเจ้าของแก่ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) หรือแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ ทั้งนี้ ท่านจะไม่ทำซ้ำ ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ส่งต่อ เผยแพร่ หรือกระทำในลักษณะใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เป็นลายลักษณ์อักษรจาก KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...