ทีทีบี จับมือ MBK ตั้งบริษัทร่วมทุนลุยธุรกิจ 'สินเชื่อมอเตอร์ไซค์' คาดตั้ง Q1/69
ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือทีทีบี ลงนามเอ็มบีเค ตั้งบริษัทร่วมทุน รุกธุรกิจ “สินเชื่อจักรยานยนต์” เสริมพอร์ตฐานลูกค้ารายย่อย 10 ล้านราย คาดจัดตั้งได้ไตรมาส 1 ปี 2569 หลัง ธปท.ไฟเขียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือทีทีบี แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เรื่องเกี่ยวกับการแจ้งข่าวของ บริษัท เอ็ม บี เคจำกัด (มหาชน) เรื่องการลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายในการซื้อขายหุ้นของ บริษัท ที ลีสซิ่งจำกัด ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567
ตามที่ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (“ธนาคาร”) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ” เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ให้ทราบว่า ธนาคารได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-binding Memorandum of Understanding) (“บันทึกข้อตกลง”) กับ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (“เอ็ม บี เค”) เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นทั้งหมดของบริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด (“ที ลีสซิ่ง”
ซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทย่อยโดยตรงที่ เอ็ม บี เค ถืออยู่ 100% ให้แก่ธนาคารเพื่อกำหนดข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายและหลักการสำหรับการเจรจาร่วมกันเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรมต่าง ๆ ระหว่างคู่สัญญา โดยมีรายละเอียดตามหนังสือที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่อ้างถึงข้างต้น
โดยต่อมา ธนาคารและเอ็ม บี เค ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นร่วมกันและได้บรรลุข้อตกลงในการส่งเสริม พัฒนา และต่อยอดธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถจักรยานยนต์ผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ทีแอลเอสพลัส จำกัด (“ทีแอลเอส พลัส” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ เอ็ม บี เค ถือหุ้น 100% และบริษัท ที่ที่บี คอนซูมเมอร์ จำกัด (“ที่ที่บีคอนซูมเมอร์” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ธนาคารถือหุ้น 100% เพื่อการดำเนินธุรกิจดังกล่าว
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืนของทั้งสองบริษัทในระยะยาว ทำให้การลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-binding Memorandum of Understanding) ระหว่างธนาคารและเอ็ม บี เค เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เรื่องการจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดของที ลีสซิ่งซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเอ็ม บี เค ปรับเปลี่ยนเป็นการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งสอดคล้องตามแผนกลยุทธ์ของทั้งสองบริษัท รายละเอียดสรุปได้ดังนี้
หลักการและเหตุผล
การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนครั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ของธนาคาร ในการเร่งการเติบโตและขยายขอบเขตธุรกิจทางการเงินโดยผนึกกำลังจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน กล่าวคือ
- เอ็ม บี เค เป็นผู้มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปีในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ จึงมีความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึก และมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีความพร้อมด้านระบบการดำเนินงานและบุคลากรที่ได้รับการยอมรับในธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์มาอย่างต่อเนื่อง
- ธนาคาร มีฐานลูกค้ารายย่อยกว่า 10 ล้านราย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำใน Payroll Ecosystem ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพและความเสี่ยงต่ำ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ แต่ปัจจุบันยังขาดผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบถ้วนในทุกระดับรายได้
ดังนั้น การร่วมทุนครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธนาคารสามารถเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ได้อย่างมั่นใจและต่อยอดการให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตของธนาคารที่มุ่งเน้นสินเชื่อที่มีคุณภาพและการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการทำธุรกรรม
การเข้าทำรายการดังกล่าวธนาคาร คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจใน 3 ด้านหลัก ดังนี้
1.Balance Sheet Synergy สามารถใช้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า (Lower Cost of Fund) ผ่านโครงสร้างเงินทุนของธนาคาร เพื่อสนับสนุนธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างมีประสิทธิภาพ
2.Revenue Synergy ผ่านการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Ecosystem ของธนาคาร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายเพื่อเพิ่มมูลค่าจากฐานลูกค้าเดิม พร้อมเปิดโอกาสในการขายผลิตภัณฑ์อื่น (Cross Selling) ให้กับกลุ่มลูกค้ารายได้ประจำ
โดยอาศัยความสามารถในการบริหารต้นทุนความเสี่ยง (Risk Cost) ที่มีประสิทธิภาพผ่านการใช้ข้อมูลเชิงลึกระดับบุคคลเพื่อยกระดับความแม่นยำของระบบ Credit Scoring และกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ (Underwiting) ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเสริมศักยภาพในสร้างรายได้และความยั่งยืนใน
ระยะยาว
3.Cost Synergy จากการขยายขนาดธุรกิจ (Economies of Scale) โดยการผสานจุดแข็งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้ง ด้านการดำเนินงานและการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลและสาขาที่ครอบคลุมของธนาคาร
นอกจากนี้ การใช้ความเชี่ยวชาญและการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่าง ทีแอลเอส พลัส และธนาคาร เช่น ระบบติดตามหนี้กระบวนการสนับสนุนการขาย และเครือข่ายการให้บริการ ซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความคล่องตัว และยกระดับประสิทธิภาพด้านต้นทุนและการดำเนินงานโดยรวมของธุรกิจ
รายละเอียดการอนุมัติและการจัดตั้ง
ที่ประชุมคณะกรรมการของธนาคาร ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจสินเชื่อเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ภายใต้ทีทีบี คอนซูมเมอร์ ร่วมกับเอ็ม บี เค
อย่างไรก็ตาม ธนาคารไม่สามารถเปิดเผยมติคณะกรรมการดังกล่าวได้ทันที เนื่องจากการเข้าทำธุรกรรมการลงทุนยังมีความไม่ชัดเจน โดยมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริหารของธนาคารเป็นผู้พิจารณาอนุมัติข้อตกลง เงื่อนไขและรายละเอียดสุดท้ายของสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (“สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นฯ”) ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการธนาคารกำหนดไว้
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของธนาคารครั้งที่ 14/22568 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 ได้มีมติอนุมัติสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นฯดังกล่าว และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ ทีทีบี คอนซูมเมอร์ ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนและการเข้าทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นฯ แล้วตามลำดับ
ธนาคารขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ทีทีบี คอนซูมเมอร์ ได้ลงนามในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นฯ เป็น ที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าธนาคาร จะต้องได้รับอนุมัติที่จำเป็นและเกี่ยวข้องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (“ธปท.”) ก่อน ทั้งนี้ รายละเอียดสำคัญของบริษัทร่วมทุน ตามข้อกำหนดใน สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นฯ มีดังนี้
บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถจักรยานยนต์ โดยมีรายละเอียดหลักดังนี้
- ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น: 150,000,000 บาท (15 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท)
สัดส่วนการถือหุ้น
- ทีทีบี คอนซูมเมอร์ (TTB): 70%
- ทีแอลเอส พลัส (MBK): 30%
- วันคาดการณ์จัดตั้ง : ภายในไตรมาส 1 ปี 2569 โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขการได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทั้งนี้ ภายหลังจากการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนสำเร็จ ที ลีสซิ่ง ในฐานะบริษัทย่อยของ เอ็ม บี เค จะหยุดการปล่อยสินเชื่อใหม่ภายใต้ ที ลีสซิ่ง โดยกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อใหม่จะดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุน โดยนำความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายมาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและการเติบโตระยะยาว ทั้งนี้ ที ลีสซิ่ง จะคงเหลือในส่วนบริหารจัดการหนี้เดิมของ ที ลีสซิ่ง ซึ่ง
ทำให้ Portfolio จะทยอยลดลงภายใน 3- 5 ปี
การจัดหาเงินทุน : แหล่งเงินทุนภายใน ได้แก่ ส่วนเกินจากส่วนทุนที่มีอยู่ (Excess Capital)
ธนาคารมีแผนเข้าทำรายการดังกล่าว โดยใช้แหล่งเงินทุนภายใน ได้แก่ ส่วนเกินจากส่วนทุนที่มีอยู่ โดยการเข้าทำรายการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อนโยบายการจ่ายเงินปันผลและการดำรงเงินกองทุนของธนาคารเนื่องจากที่ผ่านมา ธนาคารดำรงเงินกองทุนในระดับสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของ ธปท. อย่างมีนัยสำคัญมาโดยตลอด
สะท้อนได้จากอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) ของธนาคารฯ อยู่ที่ 19.9% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 17.9% ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 เทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท. กำหนดไว้ที่ 12% และ 9.5% ตามลำดับ
นอกจากนี้ แผนการใช้เงินทุนดังกล่าว เป็นไปตามแนวทางในการบริหารจัดการส่วนทุน (Capital Management) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว ขนาดรายการการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ : ไม่เข้าข่ายที่จะต้องรายงานสารสนเทศตามประกาศเรื่องการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์
การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวมีขนาดรายการที่คำนวณตามเกณฑ์การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งมูลค่าของสินทรัพย์สูงสุดคิดเป็น 0.046% (โดยเป็นเกณฑ์ที่คำนวณขนาดรายการได้มาสูงสุด ตามงบการเงินรวมของบริษัท สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2568)
และเมื่อพิจารณารายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท ในรอบระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาจะมีขนาดรายการรวมเท่ากับ 0.046% (ขนาดรายการสูงสุดตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน) ซึ่งถือเป็นขนาดรายการการได้มาซึ่ง สินทรัพย์ที่มีขนาดของรายการต่ำกว่า 15% ดังนั้น ถือว่าไม่เป็นรายการที่มีขนาดหรือลักษณะที่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่ง สินทรัพย์ที่ทำให้ธนาคารมีหน้าที่ต้องรายงานสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.
ลักษณะที่เกี่ยวโยงกัน : ไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศเรื่องรายการที่เกี่ยวโยงกันแต่อย่างใด
ทีแอลเอส พลัส ถือเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของธนาคาร ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศเรื่องรายการที่เกี่ยวโยงกัน” เนื่องจาก บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารและเอ็ม บี เค ซึ่งถือหุ้นใน ทีแอลเอส พลัส 100%
อย่างไรก็ดี ลักษณะของการเข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้ของทีทีบี คอนซูเมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคาร กับทีแอลเอส พลัส ไม่เข้าข่ายหลักเกณฑ์รายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามหลักเกณฑ์ของประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกัน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทีทีบี จับมือ MBK ตั้งบริษัทร่วมทุนลุยธุรกิจ ‘สินเชื่อมอเตอร์ไซค์’ คาดตั้ง Q1/69
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net