โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ขายทุกอย่าง!สื่อเผยซีอีโออินวิเดียย่องพบทรัมป์ ตกลงแบ่งรายได้ส่งออกชิปไปจีน15%ให้รบ.สหรัฐฯ

Manager Online

เผยแพร่ 11 ส.ค. เวลา 18.12 น. • MGR Online

เผย “อินวิเดีย” และ “เอเอ็มดี” ยอมตกลงแบ่งรายได้จากการส่งชิปขั้นสูงขายจีน ให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯในอัตรา 15% ซึ่งรวมกันแล้วอาจมีมูลค่าสูงถึงกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เพื่อแลกกับใบอนุญาตส่งออกชิปเอไออย่างเช่น เอช20 ทางด้านผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์ว่า ดีลนี้แปลกประหลาดมาก และอาจถือเป็นการนำความมั่นคงของชาติไปแลกกับรายได้ของกระทรวงการคลัง ขณะในอีกด้านหนึ่ง สื่อปักกิ่ง โพสต์บทความโจมตี เอช20 ของอินวิเดีย ว่าไม่ได้มีเทคโนโลยีเหนือชั้น อีกทั้งเป็นภัยต่อผู้ใช้และต่อความมั่นคงของจีน

สื่อดังๆ ของฝ่ายตะวันตก เป็นต้นว่า ไฟแนนเชียล ไทมส์, บลูมเบิร์ก, บีบีซี, และนิวยอร์กไทมส์ พากันรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (10 ส.ค.) ว่า เจนเซน หวง ซีอีโออินวิเดีย บริษัทอเมริกันซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่ใช้ในวงการปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) รายใหญ่ที่สุด ได้เข้าพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันพุธ (6 ) และตกลงแบ่งรายได้จากการขายชิปเอไอให้แก่จีน ในอัตรา 15% มาให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นข้อตกลงการค้าเทคโนโลยีระหว่างประเทศที่ไม่ปกติเป็นอย่างมาก ทั้งนี้นอกจาก อินวิเดีย แล้ว ข่าวระบุว่า แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (เอเอ็มดี) บริษัทดังด้านผลิตชิปเอไออีกรายหนึ่ง ก็ตกลงยินยอมแบ่งรายได้ในลักษณะเดียวกันนี้

ทางด้านรอยเตอร์รายงานในเวลาต่อมาว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯรายหนึ่งยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ขณะที่นิวยอร์กไทมส์คาดการณ์ว่า ดีลนี้จะสร้างรายได้ให้รัฐบาลอเมริกา กว่า 2,000 ล้านดอลลาร์

ชิป เอช20 ไม่ได้เป็นชิปเอไอระดับก้าวหน้าที่สุดของอินวิเดีย ซึ่งถูกทางการสหรัฐฯสั่งห้ามตั้งแต่ก่อนหน้านั้นไม่ให้ขายแก่จีน หากแต่เป็นเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งบริษัทออกแบบขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดที่มุ่งลดทอนประสิทธิภาพซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯกำหนดออกมา ถึงแม้ยังคงตอบสนองความต้องการระดับไม่สูงนักของพวกบริษัทเอไอจีนได้ กระนั้นก็ตาม ในเดือนเมษายน คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังคงออกสั่งระงับไม่ให้ส่งออกชิปเอช20 ให้จีนอยู่ดี จนกระทั่งถึงเดือนที่แล้วอินวิเดียประกาศว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะอนุญาตให้บริษัทกลับไปส่งออกชิปดังกล่าวให้จีนได้อีกครั้ง ซึ่งบริษัทคาดหวังว่า จะเริ่มต้นได้เร็วๆ นี้

เมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า กระทรวงพาณิชย์เริ่มออกใบอนุญาตขายชิปเอช20 ให้จีนแล้ว

ทางด้านอินวิเดีย เมื่อถูกผู้สื่อข่าวสอบถามว่า บริษัทตกลงแบ่งรายได้ 15% จากการขายให้จีน มาจ่ายให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯจริงหรือไม่ โฆษกของบริษัทก็แถลงว่า อินวิเดียปฏิบัติตามกฎที่รัฐบาลกำหนดสำหรับการมีส่วนร่วมในตลาดทั่วโลก และเสริมว่า แม้ไม่ได้จัดส่งชิปเอช20 ให้จีนมานานหลายเดือน แต่บริษัทหวังว่า กฎควบคุมการส่งออกจะปูทางให้อเมริกาเข้าไปแข่งขันในจีนและทั่วโลกได้

สำหรับ เอเอ็มดี ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตลอดจนถึงกระทรวงการต่างประเทศจีน ต่างงดแสดงความคิดเห็นเช่นกัน

ที่ผ่านมา จีนถือเป็นตลาดสำคัญสำหรับทั้งอินวิเดียและเอเอ็มดี โดยอินวิเดียนั้นทำรายได้ในแดนมังกรถึง 17,000 ล้านดอลลาร์ในปีการเงินที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา หรือ 13% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท ส่วนเอเอ็มดีทำรายได้ในจีน 6,200 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา หรือ 24% ของรายได้ทั้งหมด

ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า ผู้ผลิตชิปรายยักษ์ทั้งสองตกลงยินยอมแบ่งรายได้ 15% จากยอดจัดส่งชิปให้จีน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รับใบอนญาตส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ที่รวมถึงเอ็มไอ308 ของเอเอ็มดี อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า คณะบริหารของทรัมป์ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะนำรายได้ส่วนนี้ไปใช้อย่างไร

เจฟฟ์ เกิร์ตซ์ นักวิชาการอาวุโสของเซ็นเตอร์ ฟอร์ นิว อเมริกัน ซีเคียวริตี้ ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองอิสระในวอชิงตัน ดี.ซี. วิจารณ์เรื่องนี้ว่า ประหลาดมาก ทั้งที่วอชิงตันเคยประกาศว่า การขายชิปเอช20 ให้จีนเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ

เช่นเดียวกับ อลาสแดร์ ฟิลิปส์-โรบินส์ อดีตที่ปรึกษากระทรวงพาณิชย์สมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็วิจารณ์ว่า ถ้าข่าวนี้เป็นจริง แปลว่า คณะบริหารกำลังเอาการปกป้องความมั่นคงของชาติมาแลกกับรายได้ของกระทรวงการคลัง

เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เผยว่า มีแผนฟื้นการขายชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ให้จีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้าเพื่อให้ปักกิ่งอนุญาตการส่งออกแร่ธาตุหายากหรือแรร์เอิร์ธ และยังบอกว่า เอช20 เป็นชิปที่ดีที่สุดอันดับ 4 ของอินวิเดีย

ลุตนิกสำทับว่า การที่ยังคงทำให้บริษัทจีนใช้เทคโนโลยีของอเมริกาต่อไปเช่นนี้ จะเป็นเรื่องดีสำหรับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ โดยที่วอชิงตันยังคงสั่งห้ามการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงสุด เนื่องจากจะทำให้จีนยังต้องใช้ชุดเทคโนโลยีของสหรัฐฯในการพัฒนาและรันแอปพลิเคชันต่างๆ ต่อไป

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนเดิมยังบอกกับรอยเตอร์ว่า คณะบริหารของทรัมป์ไม่ได้รู้สึกว่า การขายเอช20 บ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมกับบอกว่า ตนเองไม่รู้ว่า จะมีการดำเนินการข้อตกลงนี้เมื่อใดและอย่างไร แต่ยืนยันว่า คณะบริหารจะปฏิบัติตามกฎหมาย

ในอีกด้านหนึ่ง บัญชีโซเชียลมีเดียที่มีสายสัมพันธ์กับสื่อของทางการปักกิ่ง เผยแพร่บทความลงในแพลตฟอร์มวีแชตว่า เอช20 ของอินวิเดียไม่ได้มีเทคโนโลยีขั้นสูง หรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังอันตรายสำหรับผู้บริโภคและความมั่นคงของจีน

บัญชีที่ใช้ชื่อว่า อีว์เหยียนถันเทียน ที่เกี่ยวข้องกับสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (ซีซีทีวี) ระบุว่า ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จีนจึงไม่มีความจำเป็นต้องซื้อชิปดังกล่าว

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 31 ก.ค. หน่วยงานกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีน เผยว่า ได้เรียกตัวแทนของอินวิเดียเข้าพบเพื่อให้อธิบายว่า ชิปเอช20 มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากแบ็กดอร์หรือไม่ ซึ่งหมายถึงวิธีการในการหลีกเลี่ยงการพิสูจน์ตัวตนปกติหรือมาตรการควบคุมด้านความมั่นคง

ในเวลาต่อมา อินวิเดียแถลงว่า ผลิตภัณฑ์ของตนไม่มี “แบ็กดอร์” ที่เปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงหรือควบคุมระบบฮาร์ดแวร์จากระยะไกล

อินวิเดียยังย้ำเรื่องนี้อีกครั้งในวันอาทิตย์ หลังถูกสอบถามเกี่ยวกับบทความของตันเทียนที่ระบุว่า เอช20 มีแบ็กดอร์

นอกจากนั้นเมื่อต้นเดือนนี้ เหรินหมินรึเป้า หรือ พีเพิลส์ เดลี่ ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยังเรียกร้องให้อินวิเดียแสดงข้อพิสูจน์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือเพื่อขจัดความกังวลของผู้ใช้จีนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากชิปของบริษัท และฟื้นความไว้วางใจของตลาดอีกครั้ง

(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...