"คำนูณ" ชี้ JS 2568 ผูกมัด MOU 2543 แน่นขึ้น ไทยได้เปรียบสนามรบ แต่เส้นเขตแดนยังไม่จบ
"คำนูณ" ชี้ JS 2568 ผูกมัด MOU 2543 แน่นขึ้น ไทยได้เปรียบสนามรบ แต่เส้นเขตแดนยังไม่จบ
วันที่ 28 ธ.ค. 2568 นายคำนูณ สิทธิสมาน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า JS 2568 ตัวช่วย MOU 2543 !
แถลงการณ์ร่วมฯไทย-กัมพูชาหรือ JS 2568 ข้อ 2 แม้สำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าหรือสำคัญที่สุดคือข้อ 3
ข้อ 2 กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายวางกำลังทหารไว้ ณ จุดที่ตั้งในปัจจุบัน ไม่ต้องถอย เพียงแต่จะต้องไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม และจะต้องไม่มีการเคลื่อนกำลังทหารใด ๆ รวมถึงการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย แน่นอนว่าไทยได้เปรียบ เพราะยึดครองเป้าหมายตามเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 (ซึ่งหมายถึงแผนที่อัตราส่วน 1:50,000 ที่สหรัฐฯจัดทำขึ้นใช้ในข่วงสงครามเย็นและไทยใช้อยู่) ได้ทั้งหมดหรือเกือบหมด และมีที่เลยไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อเสริมความมั่นคงด้วย
แต่ขอให้โฟกัสไปที่ข้อ 3 เพราะเป็นหัวใจของทิศทางที่จะเดินหน้าต่อไป
เพราะการดำเนินการทั้งหมดที่ระบุไว้ใน JS 2568 รวมทั้งข้อ 2 จะต้องไม่กระทบต่อกระบวนการตามที่ข้อ 3 กำหนดไว้ คือการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก หรือ Demarcation
การจัดทำหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินไปตามกลไกของคณะกรรมการเขตแดนร่วมฯ หรือ JBC และกรอบข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชา แม้จะไม่ได้ระบุชื่อไว้แต่ก็เข้าใจได้ว่าคือ MOU 2543 ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติในรายละเอียดคือ TOR 2546 ด้วย
“…in accordance with existing agreements between the two countries…” = MOU 2543 !
สิ้นเสียงปืนปุ๊บ MOU 2543 และแผนที่ 1:200,000 ก็กลับมาปั๊บ และเป็นการกลับมาอย่างมั่นคงกว่าเดิม
เพราะถูกผูกไว้กับ JS 2568 ข้อ 3 อย่างแน่นหนา !
โดยฝ่ายไทยที่ได้เปรียบในสนามรบยินยอมพร้อมใจที่จะเข้าสู่สนามเจรจาตามกรอบเดิม
ฝ่ายกัมพูชาเสียหายในสนามรบมาก ประเทศบอบช้ำมาก ต้องเดินข้ามแดนด้วยสีหน้าบอกไม่ถูกมาเจรจาและลงนามในข้อตกลงที่ดูเหมือนเป็นผู้แพ้ รีบมารีบกลับ ไม่พูดจาใด ๆ แต่การได้สารัตถะในข้อ 3 (รวมถึงข้อ 4 ที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้) ของข้อตกลง ทำให้พวกเขาไม่ใช่ผู้แพ้
พื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 ที่ไทยยึดไว้ และ JS 2568 ข้อ 2 บอกไว้ว่าไม่ต้องถอยก็จริง แต่พึงระลึกไว้ว่านั่นยังไม่ใช่เขตแดนไทยเต็ม 100 หากเป็นเขตที่ต้องสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามข้อ 3 ภายใต้กรอบการเจรจา MOU 2543 (และขั้นตอนปฏิบัติ TOR 2546) เดิมที่ยอมรับแต่แผนที่ 1:200,000 ไม่มีระบุแผนที่อื่นใดรวมทั้งแผนที่ 1:50,000 ไว้ ทำให้ไม่รู้ว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นฉันใด
ไม่ปฏิเสธละว่า MOU 2543 และ TOR 2546 กำหนดให้มีการจัดทำแผนที่ใหม่
ไม่ปฏิเสธเช่นกันว่า JBC ตกลงล่าสุดให้นำเทคโนโลยีใหม่ LiDAR มาใช้เพื่อหาสันปันน้ำที่แท้จริงมาทำแผนที่ใหม่
แต่ก็ยังสงสัยว่าในท้ายสุดผลจะเป็นอย่างไร และเมื่อไร หรือว่าจะตกลงกันได้หรือไม่
เขตแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นไปตามพื้นที่ที่ไทยยึดครองไว้ ณ วันนี้หรือไม่
เพราะมันมีปัญหาสำคัญคาอยู่ !
โดยเฉพาะในส่วน 195 กิโลเมตรจากช่องบกถึงช่องสะงำที่ไม่เคยมีการจัดทำหลักเขตแดนมาก่อน และมีข้อถกเถียงว่าการปักปันเขตแดนเมื่อกว่า 100 ปีก่อนนั้นจริงหรือไม่คณะกรรมการผสมสยาม-ฝั่งเศสเขาตกลงกันว่าในเมื่อมีหน้าผาสูงของพนมดงรักปรากฎชัดก็ให้ยึดตามขอบหน้าผานั้นไปเลย ไม่ต้องสำรวจหาสันปันน้ำที่แท้จริงให้เกิดผลที่ยากปฏิบัติกันอีก แต่แผนที่ 1:200,000 ระวางดงรักกลับเขียนผิดเพี้ยนจนปรากฎชัดว่าล้ำเลยเข้ามาเกินขอบหน้าผาถึง 4.6 ตารางกิโลเมตร และกัมพูชาพยายามมาหลายสิบปีที่จะให้เส้นเขตแดนเป็นไปตามเส้นในแผนที่
ซึ่งความจริงแล้ว ฝ่ายไทยสามารถเขียน JS 2568 ข้อ 3 ให้ดีกว่านี้ได้มาก
การคงหลักการตามข้อตกลงที่มีอยู่เดิมไว้ เรื่องนี้ไม่ว่ากัน เพราะเท่ากับจำกัดปัญหาให้อยู่ในระดับทวิภาคี แต่ในขณะที่ผลในสนามรบเราได้เปรียบ จะเป็นจะตายกันเชียวหรือถ้าจะเขียนเพิ่มอีกสักประโยคสองประโยคประมาณว่าหากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเดิมที่มีอยู่ก็ให้เป็นไปตามความยินยอมของสองประเทศคู่สัญญา ไม่ได้เรียกร้องต้องการถึงขั้นระบุไว้ว่าจะแก้ไขยังไงหรอก ขอเพียงแค่เปิดช่องไว้เท่านั้น ไม่ใช่ปิดตายประตูตายเสียเองอยู่อย่างที่ปรากฎ
แต่ในเมื่อผู้รับผิดชอบในการจัดทำ JS 2568 คือกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ผู้จัดทำและปกป้อง MOU 2543 มาโดยตลอด ความพยายามที่จะเปิดช่องจึงไม่เกิดขึ้น
ในขณะที่ฝ่ายทหารเองก็เพ่งสมาธิไปที่การผลักดันให้เกิดเนื้อหาในข้อ 2 ให้เป็นจริงเป็นดัานหลัก
ส่วนฝ่ายการเมืองนั้น ในเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาจากอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเสียแล้ว คำตอบก็ชัดอยู่ว่าการจะเป็นเช่นใด
โอกาสดีที่สุดที่จะยกเลิกหรือแม้แต่แก้ไขเพิ่มเติม MOU 2543 ผ่านไปแล้ว
ประชามติก็ไม่มีแล้ว
MOU 2543 ไม่ได้ยืนอยู่โดด ๆ แล้ว แต่มี JS 2568 ข้อ 3 รับรองและรองรับไว้เต็ม ๆ และไปผูกมัดกับข้อ 2 อีกต่างหาก
รัฐบาลไทยรอบคอบกับการลงนามใน JS 2568 มาก นายกรัฐมนตรีแถลงเองหลังการประชุมสมช.เมื่อเย็นวันที่ 26 ธันวาคม 2568 ว่ามติที่เห็นชอบให้รัฐมนตรีกลาโหมไปประขุม GBC และลงนามในข้อตกลงในวันรุ่งขึ้นนั้นไม่ใช่เป็นเพียงมติสมช.เท่านั้นหากแต่เป็นมติคณะรัฐมนตรีไปพร้อมกันด้วย เพราะมีรัฐมนตรีร่วมประชุมอยู่ด้วยหลายคน การประชุมวันนั้นถือเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย จากการตรวจสอบข้อกฎหมายพบว่าเป็นไปตามพระราขกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4(7) และมาตรา 8
ความจริงวันนี้จึงคือ JS 2568 ที่มีความชอบด้วยกฎหมายชัดเจนมาเป็นตัวช่วย MOU 2543 อึกแรงหนึ่ง
คำนูณ สิทธิสมาน
28 ธันวาคม 2568
#MOU2543 #ตัวช่วยMOU2543