“เบทาโกร”กำไรสุทธิ 5,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 281.5% ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่กระทบการผลิต
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี2569เบทาโกรมีแผนรุกขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารในระดับภูมิภาค ภายหลังประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการบริษัท Eggriculture Foods Limited ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรรายใหญ่ในสิงคโปร์ และมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้บริษัทจะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อตอบสนองโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจของเบทาโกร โดย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1. กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ (Animal Nutrition and New Ventures) 2. กลุ่มธุรกิจอาหารประเทศไทย (Thailand Food Business) และ 3. กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ (International Business)
“การจัดทัพใหม่ครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของผลประกอบการทางการเงินในระยะยาว โดยในงวด 9เดือนแรกของปี 2568 เบทาโกรสามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมด้วยกำไรสุทธิ 5,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 281.5% จาก 1,483 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะเผชิญกับราคาหมูที่ลดลง เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศอย่างกะทันหันจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้โรงงานแปรรูปและโรงเชือดหมูต้องชะลอการผลิตชั่วคราว แต่บริษัทสามารถบริหารจัดการแรงงานมาทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้โดยไม่หยุดชะงัก และมองว่าในปีหน้าผลการดำเนินงานน่าจะยังคงมีแนวโน้มที่ดี ด้วยราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับไม่สูง ซึ่งเอื้อต่อการบริหารต้นทุน”
นอกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งแล้ว บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ด้วยการยกระดับการทำงานทั้งหมด โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับทุกภาคส่วนขององค์กร (Transformation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และแม่นยำ รวมถึงการทำงานที่ยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้จนได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากองค์กรชั้นนำ ผลสำเร็จที่ผ่านมาคือการยกระดับมาตรฐานโรงงานผลิตอาหารสัตว์เข้าสู่ Industry 4.0+ และการได้รับรางวัลผลการประเมินการกำกับกิจการระดับ 5 ดาว หรือดีเลิศ ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อนจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และรางวัล Highly Commended Sustainability Awards จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ยกย่องบริษัทจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน