”จักรภพ“ เผย 3 ข้อสันนิษฐาน ปม ‘ฮุน เซน’ ปล่อยคลิปเสียง
นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวสำนักข่าววันนิวส์ ภายหลังเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกรณีปัญหาไทย-กัมพูชา ว่า ในการเข้าพบครั้งนี้มีโอกาสได้พูดคุยกับนายทักษิณนานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งในส่วนคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่ถูกปล่อยออกมานั้น นายทักษิณได้แต่พูดว่า เสียดายความสัมพันธ์ และรู้สึกแปลกใจที่นายฮุนเซนมีอะไรในใจทำไมถึงไม่กระซิบบอกกันก่อน ทำให้ไม่เคยล่วงรู้เลยว่า จุดแตกหัก ที่ทำให้นายฮุนเซนระเบิดออกมาครั้งนี้เกิดจากอะไร ซึ่งหากระเบิดใส่ตัวบุคคลก็คงไม่มีปัญหา แต่นี่เป็นเรื่องประเทศชาติ ส่งผลให้เกิดการกระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดน มีทหาร พลเรือน และประชาชนต้องเสี่ยงชีวิตจากความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้น จึงได้แต่พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว รวมถึงสันนิษฐานถึงสาเหตุไปต่าง ๆ นานาตามทฤษฎี ได้แก่
- ผู้นำทั้ง2 ประเทศเกิดความเข้าใจผิด พูดเรื่องปิดด่านไม่ตรงกัน เนื่องจากในการสนทนา 3 ฝ่าย คือ นางสาวแพทองธาร นายฮุนเซน และนายฮวดที่ทำหน้าที่เป็นล่ามนั้น เป็นการอยู่กันคนละที่อยู่กันแตกกันอยู่ 3 ประเทศ แต่เปิดลำโพงโทรศัพท์คุยกัน ทำให้อาจมีการแปลข้อความไม่ครบถ้วน แต่คงไม่ใช่เจตนาของล่ามที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด
- ทางฝั่งกัมพูชามีปัญหาในประเทศ ทำให้ ฮุน เซน จึงต้องสร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนและเพิ่มความนิยมให้ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
- เรื่องร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ฯ ซึ่งเป็นการไปทุบหม้อข้าวกัมพูชา ทำให้โกรธ
แต่ย้ำว่าทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานตามทฤษฎี ยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนได้
ส่วนหลังจากนี้ นายทักษิณ ก็คงไม่มีการเข้าพูดคุยอะไรกับ ฮุน เซนแล้ว เพราะถือว่าไม่ใช่เวลาแล้ว และเท่าที่อ่านใจนายทักษิณ มองว่า ตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนแล้ว แม้ที่ผ่านมาจะรักและมีความผูกพันกันก็ตาม เพราะ ฮุน เซน เลือกที่จะยกระดับความขัดแย้งที่ในทางการเมืองเรียกว่า เผาผีกันไม่ได้
รวมถึงในอนาคตก็ยังไม่มีแผนว่า จะต่อความสัมพันธ์กันอีกหรือไม่ แต่กรณีที่มีกระแสข่าวว่านายทักษิณไม่พอใจนางสาวแพทองธารที่โทรศัพท์ไปเจรจากับ ฮุน เซน โดยไม่ปรึกษาก่อนนั้น นายจักรภพ ระบุว่า เป็นเพียงนิยายไร้สาระ แต่ในส่วนที่นายทักษิณไม่ทราบว่า นางสาวแพทองธารโทรศัพท์ไปพูดคุยกับนายฮุนเซนนั้น ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้อยู่แล้ว เพราะธรรมชาติลูกก็ไม่ได้เล่าเรื่องในที่ทำงานทุกเรื่องให้กับพ่อฟัง และต่อให้มารู้ที่หลังก็ยังพอที่จะค่อย ๆ ให้คำแนะนำได้
โดยในส่วนภารกิจทางทหารนั้น ทหารรู้ล่วงหน้ามาแล้ว แต่พยายามใช้ความอดทนอดกลั้น เพราะไม่อยากให้ลุกลามมากขึ้นจนเกิดเป็นความขัดแย้ง และเมื่อตอนนี้ทหารเริ่มปฎิบัติการในพื้นที่แล้ว รัฐบาลเองก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง เพียงทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น แต่ควรปล่อยให้ผู้ปฏิบัติงานได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และหลังจากนี้ก็ต้องไม่นำเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเป็นเรื่องหลักในการเจรจาแต่จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นายจักรภพ ยังบอกอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมานายทักษิณจงใจที่จะหายตัวไปจากหน้าสื่อ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล และหากเกิดอะไรขึ้น ก็อาจถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุได้ แต่ในทางปัจเจกบุคคลนั้น นายทักษิณยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เช่น ไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น ไปร่วมงานแต่งงานหรืองานศพ เพียงแต่ไม่ได้แจ้งให้สื่อทราบเท่านั้น
นายจักรภพ ยังบอกอีกว่า แม้ยุทธวิธีของนายฮุนเซนจะส่งผลกระทบให้เกิดกระแสกดดันนางสาวแพทองธาร ลาออกจากตำแหน่งหรือยุบสภา แต่ส่วนตัวมองว่าอนาคตทางการเมืองของนางสาวแพทองธาร และรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร จะยังคงเดินหน้าต่อไปจบครบวาระแน่นอน เพราะรัฐบาลในระบบรัฐสภาใช้วิธีนับเก้าอี้
ส่วนในกรณีที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะเมื่ออยู่ต่อกันไม่ได้ก็ควรแยกย้าย ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นการจากกันด้วยดี ไม่เหมือนในประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมา ที่มักจะเป็นการแยกย้ายในลักษณะขุดรากถอนโคน ซึ่งเมื่อพรรคภูมิใจไทยตัดสินใจถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรีก็ได้มีการเชิญพรรคร่วมอื่น ๆ มาพูดคุย ซึ่งทุกพรรคยืนยันว่าจะอยู่ต่อ เพราะในทางการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลสามารถแยกแยะได้ระหว่าง เรื่องความพยายามโค่นล้มรัฐบาล กับ เรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา แต่ยอมรับว่า การทำงานของรัฐบาลหลังจากนี้จะเหนื่อยมากขึ้น เพราะพรรคภูมิใจไทยถือว่าเป็นพรรคที่มีเสียงในสภาค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามมั่นใจว่า ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในวาระ 2 และวาระ 3 รัฐบาลก็จะผ่านพ้นและอยู่ต่อได้แน่นอน ไม่มีทั้งการยุบสภาหรือการลาออก มีเพียงแต่การเตรียมการไปสู่รัฐบาลช่วงต่อไป ภายใต้การนำของนางสาวแพรทองทา แต่อาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีบ้างซึ่งรายละเอียดยังไม่ทราบชัดเจนได้ว่าใครจะเป็นผู้เข้ามาทำหน้าที่
ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้ดูแค่เสียงในรัฐสภา แต่ยังดูเรื่องของความรู้สึกของประชาชนด้วย ฉากทัศน์ต่อไปจึงต้องเร่งทำผลงานให้เข้าหูเข้าตาประชาชนมากกว่าเดิม ซึ่งโดยส่วนตัวนายจักรภพ ยังเชื่อมั่นว่า ประชาชนไม่ได้หมดความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีไปทั้งหมด ขณะนี้จึงรัฐบาลจึงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้กลับคืนมา ด้วยการออกมาสื่อสารทำความเข้าใจ ชี้แจงข้อเท็จจริงกับประชาชนให้มากขึ้น