โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ทะลุมิติไปเป็นนักพฤกษาอันดับหนึ่ง

นิยาย Dek-D

อัพเดต 29 เม.ย. 2567 เวลา 04.42 น. • เผยแพร่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 04.42 น. • KIMTAKAI
กำลังตรวจสอบเพื่อหาตัวเลขที่ตกหล่นไปจากบัญชีอยู่ดี ๆ ซุนอี้เหมี่ยว ก็ดันน็อคคาโต๊ะทำงานไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในโลกที่เหมือนกับเกมแฟนตาซี ไหนจะพลังติดตัวอย่าง ตาที่มีลาง ที่เธอมีอยู่นี่

ข้อมูลเบื้องต้น

ทะลุมิติไปเป็นนักพฤกษาอันดับหนึ่ง

กำลังตรวจสอบเพื่อหาตัวเลขที่ตกหล่นไปจากบัญชีอยู่ดี ๆ ซุนอี้เหมี่ยว ก็ดันน็อคคาโต๊ะทำงานไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในโลกที่เหมือนกับเกมแฟนตาซี ไหนจะพลังติดตัวอย่าง ตาที่มีลาง ที่เธอมีอยู่นี่อีก!

ทำงานตรวจบัญชีจนตาแทบจะบอดกันไปข้าง ก็ยังหาตัวเลขที่หายไป 0.01 ไม่ได้ ซุนอี้เหมี่ยวที่ไม่ได้นอนมา 2 วันติดรวมทั้งเครียดเรื่องบัญชีตรงหน้าก็ถึงกับสลบคาโต๊ะทำงานไป ตื่นขึ้นมาอีกทีดันกลายเป็นเด็กสาวอายุ 14 ที่กำลังถูกครองครับส่งตัวออกไปเป็นแรงงานทาส!

เพราะครอบครัวไม่อยากสูญเสียบุตรชายที่ในอนาคตจะกลายเป็นกำลังหลัก เมื่อถูกเรียกร้องให้ส่งตัวคนทำงานไปแทนค่าคุ้มครองทางครอบครัวของเด็กสาวก็ไม่รอช้าเลยที่จะส่งนางไป แม้ซุนอี้เหมี่ยวจะไม่อยากไปแต่ก็ขัดขืนไม่ได้ เมื่อไปถึงที่ปลายทางก็ถูกสั่งให้ทำงานอย่างการค้นหาพืชปราณเพื่อส่งเป็นของบรรณาการแก่ท่านเจ้าเมืองในทุก ๆ เดือน ทว่าสถานที่ที่ต้องเข้าไปค้นหาพืชปราณกลับเป็นสถานที่ที่สุดแสนจะอันตราย!

ซุนอี้เหมี่ยวที่โผล่มาอยู่ที่นี่อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่จะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่กันนะ!

เมืองซีฮัน 8 ตระกูล

1.อี้ 2.เติ้ง 3.สวี 4.หยาง 5.เกา 6.ฟ่าน 7.หวัง 8.เซวีย

พื้นที่เก็บเกี่ยวทั้ง 7

1.ป่าไฉ่หง

2.ป่าเจียลี่

3.ผาจื่อรั่ว

4.ผาลี่ซือ

5.ถ้ำใต้ทะเลมี่ไว่

6.ถ้ำใต้ภูเขาชงหยวน

7.เกาะลอยฟ้าหยางฉาง

ระดับพลังปราณ 7 ขั้น

1.ดิน

2.หิน

3.นที

4.นภา

5.เวหา

6.พิภพ

7.มหาพิภพ

สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน

ประกาศ วางจำหน่าย E BOOK เรื่อง ทะลุมิติไปเป็นนักพฤกษาอันดับหนึ่ง

แล้วค่ะ

ราคาโปรโมชั่น 30 วัน 139 บาท (ราคาเต็ม 199 บาทค่ะ) วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ค่ะ

มีตอนหลักทั้งหมด 70 ตอน + ตอนพิเศษ 3 ตอน

คลิ๊กซื้อตามลิงค์เพื่อเพิ่มค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ไรท์ได้ด้วยน้า (นักอ่านไม่ได้เสียเงินเพิ่มค่ะ ส่วนนี้เมบเป็นคนจ่าย)

ฝากกดลิงค์กันด้วยนะค้า

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjYxNTUxNyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI2MjcxOSI7fQ

ขอบคุณทุกการอุดหนุนและทุกการสนับสนุนค่ะ ขอให้อ่านอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ

ค่าคุ้มครองคือแรงงาน

บทที่ 1 ค่าคุ้มครองคือแรงงาน

“ไปเดี๋ยวนี้ รีบไป!”

หญิงสาวจากโลกอนาคตที่จู่ ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาถูกลากตัวออกมานอกบ้าน ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจว่าผู้หญิงตรงหน้าคือใครก็ถูกอีกฝ่ายชี้นิ้วใส่พร้อมเอ่ยขับไล่อย่างดุดัน

“พวกเราส่งชื่อเจ้าไปแล้ว ไม่ว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่รอด!” ผู้ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้หญิงคนนั้นช่วยพูดอีกแรง

ซุนอี้เหมี่ยว ที่จู่ ๆ ก็ถูกขับไล่โดยคนแปลกหน้าขมวดคิ้วอย่างงุนงง นึกสงสัยว่าเหตุใดยิ่งวันเวลาผ่านไปนานวันเข้าก็เหมือนว่ามนุษย์จะรู้จักคำว่ามารยาทน้อยลงทุกวัน ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากสอน ดวงตาของซุนอี้เหมี่ยวก็เหลือบมองไปยังบ้านซอมซ่อด้านหลังเสียก่อน หากจำไม่ผิดเหมือนว่านางจะถูกดึงตัวออกมาจากบ้านหลังนั้น…?

“ไปซะ!” ผู้หญิงวัยกลางคนที่เป็นคนลากเธอออกมากล่าวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพากันเดินเข้าบ้านและปิดประตูแน่น ไม่สนใจซุนอี้เหมี่ยวอีกต่อไป

สถานการณ์ที่ดูน่าประหลาดนี้ทำให้ซุนอี้เหมี่ยวยืนเคว้งไปหมด เมื่อหันไปมองรอบด้านก็พบว่าที่หน้าบ้านหลังอื่น ๆ มีคนออกมายืนอยู่หน้าประตูไม่ต่างจากนางสักนิด แต่ละคนหน้าตาเศร้าหมอง ยืนร้องไห้อยู่คนเดียว บางคนก็มีหญิงสาววัยกลางคนยืนกอดปลอบอยู่ ไม่ทันจะได้มองไปมากกว่านั้นก็มีเสียงตึงตังดังเข้ามาใกล้ตัวนาง

ซุนอี้เหมี่ยวหันไปมองหาที่มาของเสียงก่อนจะเบิกตาโตเมื่อเห็นรถม้าคันใหญ่เข้า!

คราแรกที่นางเห็นบ้าน นางก็คิดแล้วว่าบ้านพวกนี้เหมือนกับบ้านในยุคโบราณตามหนังสือประวัติศาสตร์ มาในตอนนี้ยังมีรถม้าอีก!

“ทุกคนขึ้นรถม้าอย่างเป็นระเบียบ! หากขัดขืนจะถูกลงโทษ!”

เสียงอันดังตะโกนก้องมาจากคนที่ขับรถม้าอยู่ บ้านหลังที่อยู่ใกล้รถม้าคันนั้นมากที่สุดมีคนเดินไปขึ้นรถม้าอย่างเชื่อฟังด้วยท่าทางหวาดกลัว รถม้าขยับต่อไปเพื่อให้คนที่ยืนอยู่หน้าบ้านหลังถัดไปได้ขึ้นมา

มีบางคนที่พยายามทุบประตูบ้าน พลางร้องขอให้คนด้านในเปิดประตูให้ ทว่าไม่มีใครเปิดออกมา

เมื่อคนขับรถม้ามาถึงบ้านที่คนผู้นั้นกำลังทุบประตูอยู่ แส้ในมือที่ใช้สำหรับฟาดม้าก็ถูกตวัดไปที่หลังของคนคนนั้นจนเลือดซึมเสื้ออีกฝ่ายออกมา ซุนอี้เหมี่ยวหนังศีรษะชาวาบเมื่อเห็นภาพนั้นอีก ทั้งยังกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

นี่มันอะไร? นางไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลยสักนิด!

แต่เพราะไม่อยากเจ็บตัว เมื่อรถม้าเคลื่อนมาใกล้ตนเองแล้วจอดอยู่เบื้องหน้า ซุนอี้เหมี่ยวก็เดินขึ้นไปบนรถม้าอย่างเชื่อฟัง แม้ไม่รู้ว่าจะถูกพาตัวไปที่ไหน แต่ขัดขืนไปก็เหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น คอยสังเกตสถานการณ์ไปก่อนจะดีกว่า

“ฮึก…ฮือ เหตุใดข้าไม่เกิดมาเป็นชายกันนะ ฮึก!”

เสียงคร่ำครวญของเด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างทำให้ซุนอี้เหมี่ยวหันไปมอง อีกฝ่ายดูโตกว่านางไม่กี่ปีเท่านั้น และกำลังร้องไห้อย่างหนักอีกทั้งยังพยายามทุบตีร่างกายของตัวเอง

ซุนอี้เหมี่ยวที่เห็นภาพเช่นนั้นถอนหายใจออกมา ใช่ว่านางไม่เข้าใจ หากเลือกได้นางก็อยากเป็นผู้ชายเหมือนกัน เผื่อว่าชีวิตและหน้าที่การงานของนางจะรุ่งโรจน์มากกว่านี้ ไม่ต้องคอยพิสูจน์ตนเองอยู่ร่ำไป และไม่ต้องคอยถูกหมางเมินเพราะเป็นผู้หญิงด้วย แต่จะว่าไปแล้ว…เหมือนว่าตอนนี้หน้าที่การงานของนางจะไม่มีแล้ว

สายตากวาดมองไปที่คนอื่น ๆ ในรถม้าที่มีสีหน้าอมทุกข์ไม่ต่างกันนัก มีแค่เพียงซุนอี้เหมี่ยวที่มองทุกคนด้วยความงุนงง จนเมื่อนางหยุดมือของคนที่นั่งด้านข้างซึ่งกำลังทุบตีตัวเองไม่หยุดและเอ่ยถาม ซุนอี้เหมี่ยวก็ได้รู้เรื่องราวเสียที

นางนึกโล่งใจที่ตัวเองไม่ได้จะถูกส่งไปลานประหารที่ไหน ทว่าจุดหมายปลายทางที่จะไปก็ไม่ใคร่จะดีเท่าใดนัก เพราะว่านางกำลังจะเดินทางไปเป็นแรงงานทาสที่ต้องทำงานไปตลอดชีวิตนั่นเอง

“ข้า ฮึก อายุ 16 ปีแล้ว แต่ว่าท่านแม่และท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าแต่งงาน พวกเขาบอกว่ายังหาคนดี ๆ ให้ข้าไม่ได้ ที่ไหนได้ ที่เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานก็เพื่อที่จะส่งข้าไปเป็นแรงงานตลอดชีวิตแทนน้องชายของข้า ฮือออออ”

เมื่อได้รู้เหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายร้องไห้อย่างหนัก ซุนอี้เหมี่ยวก็ถอนหายใจออกมา ก่อนที่นางจะหันไปมองเด็กหนุ่มที่รุ่นราวไล่เลี่ยกับตัวเองซึ่งอยู่บนรถม้าคันนี้ด้วย อีกฝ่ายที่เห็นสายตามีคำถามของซุนอี้เหมี่ยวก็ตอบออกมาด้วยท่าทางเศร้า ๆ

“ข้าเป็นลูกคนกลาง ตอนนี้พี่ชายเป็นกำลังหลักของครอบครัว ส่วนน้องชายก็ยังเล็กนัก ข้าจึงเป็นผู้ที่ท่านพ่อและท่านแม่ส่งมา”

เมื่อได้ฟังซุนอี้เหมี่ยวก็ถอนหายใจออกมา แต่ละคนก็มีเหตุผลของแต่ละคน แต่ที่นางแน่ใจเป็นอย่างมากในตอนนี้เลยก็คือ ทุกคนในนี้ล้วนมีชะตาชีวิตที่น่าสงสารและไม่มีทางเลือกเลย

“ว่าแต่พวกเราจะไปที่ไหนกันหรือ งานที่พวกเราต้องไปทำหนักมากเลยงั้นหรือ”

คนในรถม้าต่างทำหน้างุนงงใส่ซุนอี้เหมี่ยวทันทีที่นางถามคำถามนั้นออกมา ส่วนซุนอี้เหมี่ยวก็เริ่มร้อนตัวขึ้นมา นางทำตัวมีพิรุธมากจริง ๆ แต่ถ้าหากนางไม่ถามนางก็จะไม่รู้น่ะสิ จะเอาอย่างไรต่อไปดี…

“พ่อกับแม่ของเจ้าน่าจะบอกแล้วนี่ว่าเราจะถูกส่งไปเป็นคนสวนที่เมืองซีฮัน”

คนสวน? งั้นก็ไม่ควรเป็นงานที่ทำให้คนร้องไห้เช่นนี้สิ

“งานคนสวนที่นั่นหนักมากเลยงั้นหรือ” ซุนอี้เหมี่ยวถามเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้น

คนในรถม้าต่างพากันก้มหน้าอย่างอมทุกข์ มีคนผู้หนึ่งพยักหน้า “หนักสิ หมู่บ้านของพวกเราส่งคนไปให้เมืองซีฮันมาหลายรอบแล้ว แต่ละรอบล้วนไม่มีใครได้กลับไปที่บ้านเลยแม้แต่คนเดียว”

“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านของเรา หมู่บ้านรอบข้างก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน รถม้าที่พวกเรานั่งอยู่นี้ไม่ต่างจากรถม้าไปปรโลก เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราทั้งหมดกำลังจะไปตายยังไงล่ะ”

!!!

งานทำสวนอะไรกันที่ทำให้คนถึงตาย! ซุนอี้เหมี่ยวเริ่มจิตตกตามคนอื่น ๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว นางยกมือกุมศีรษะด้วยความสับสน มึนงงและเศร้าสร้อย

ทำไมแค่นอนหลับคาโต๊ะทำงาน นางถึงได้มาโผล่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ และกำลังจะไปตายที่ไหนก็ไม่รู้อีกเนี่ย!

แม้ว่าอยากจะกรีดร้องสักแค่ไหน แต่ซุนอี้เหมี่ยวก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา เพราะว่าคนรอบข้างได้ร้องไห้แทนนางไปหมดแล้ว ทำเอาความเศร้าของนางดูเล็กน้อยไปเลย เอาน่า ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องตาย จะตายช้าตายเร็วก็ต้องตาย ปล่อยวางเถิด ปล่อยวางเถิด…

ขณะที่กำลังขับกล่อมตนเองให้ยอมรับชะตากรรมอยู่นั้น จู่ ๆ ดวงตาของนางก็เกิดความผิดปกติขึ้นมา จากเดิมที่คนรอบตัวยังดูปกติทั่วไป แต่หลังจากนางกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้ง นางก็เกิดมองเห็นแสงสีเงินจาง ๆ ลอยออกมาจากทุกคนที่นั่งอยู่ในรถม้าคันนี้

รวมถึงตัวนางด้วย!

ดวงตาวิเศษ

บทที่ 2 ดวงตาวิเศษ

ในตอนนี้อารมณ์เศร้าโศกและอารมณ์ปล่อยวางของซุนอี้เหมี่ยวได้กระเจิงหายไปจนหมดแล้ว ตอนนี้นางกำลังอยู่ในความงุนงงอีกครั้ง เมื่อลองขยี้ตาดูก็พลันพบว่าตนเองยังมองเห็นแสงของคนรอบตัวอยู่ จุดที่ให้กำเนิดแสงของทุกคนนั้นอยู่บริเวณใต้สะดือ เป็นแสงจุดเล็ก ๆ เหมือนกับเมล็ดฟักทอง แต่ว่าเป็นแสงที่เห็นชัดเจนมาก

“ลงไปได้แล้ว! จากนี้ไปพวกเจ้าต้องไปรายงานตัวแล้วรับป้ายชื่อตนเอง”

เสียงตะคอกของคนขับรถม้าทำให้คนทั้งหมดที่กำลังเศร้าโศกต่างพากันเดินคอตกลงจากรถ ทว่าเมื่อลงไปยืนที่พื้นด้านล่างก็พลันตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่เว้นแม้แต่ซุนอี้เหมี่ยวเช่นกัน

หน้าประตูใหญ่และกำแพงที่ดูแข็งแกร่งหนาแน่น มีถนนสายใหญ่และบุรุษท่าทางแข็งแรงยืนเฝ้าอยู่ทั้งหน้าประตูและบนกำแพง ที่หน้าประตูยังมีสตรีนางหนึ่งยืนถือกระดาษแผ่นใหญ่ ๆ ยืนมองมาทางพวกนาง

ภาพตรงหน้านี้ช่างต่างจากภาพหมู่บ้านที่นางจากมาราวฟ้ากับเหว ที่นี่เจริญหูเจริญตาและดูโออ่าเป็นอย่างมาก!

แต่ก่อนที่ความสนใจจะไปอยู่ที่สิ่งก่อสร้างใหญ่โตตรงหน้า ซุนอี้เหมี่ยวก็พลันเห็นว่าในร่างของคนขับรถม้าที่ดูป่าเถื่อนก็มีจุดเปล่งแสงที่หน้าท้องของเขาเช่นกัน แต่ว่าจุดตรงนั้นของเขาใหญ่กว่าของนางและคนอื่น ๆ ในรถม้าเพียงเล็กน้อย หากจุดเปล่งแสงที่ตัวนางมีขนาดเท่าเมล็ดฟักทอง ของอีกฝ่ายก็มีขนาดประมาณเมล็ดทานตะวันที่ใหญ่ประมาณนิ้วโป้งเท้ามนุษย์ นอกเหนือจากนั้นจุดเปล่งแสงของบุรุษที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าก็มีขนาดใหญ่กว่าคนขับรถม้าเพียงเล็กน้อย แต่ก็ใกล้เคียงจนแทบจะไม่ต่างกัน

สรุปก็คือทุกคนมีจุดเปล่งแสงทั้งหมดในร่างกายของตนเอง

“เข้าแถวแล้วข้าจะตรวจระดับลมปราณในตัวของพวกเจ้า”

คำร้องบอกของสตรีที่กำลังถือแผ่นกระดาษอยู่ทำให้ทุกคนเริ่มจัดระเบียบแถวอย่างเชื่อฟัง ซุนอี้เหมี่ยวเองก็พยายามสอดส่องและฟังจับใจความทั้งหมดให้ได้มากที่สุด จุดเปล่งแสงของอีกฝ่ายนั้นมีขนาดไม่ต่างจากนางและคนในรถม้าคนอื่น ๆ แต่เท่าที่มองดูแล้วเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้รับความเคารพจากบุรุษรอบข้างอยู่มาก

“จำเป็นต้องตรวจด้วยหรือ หมู่บ้านของคนพวกนี้ไม่มีปัญญาเข้าป่าไฉ่หงด้วยซ้ำ ตรวจไปก็ไม่วายเจอแต่พวกชั้นต่ำระดับดิน” หนึ่งในคนที่เฝ้าประตูทางเข้าเอ่ยออกมาพลางมองมาที่กลุ่มของซุนอี้เหมี่ยวด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม แต่หลังจากเขากล่าวจบเขาก็ต้องสะดุ้งแล้วหันไปมองสตรีด้านข้างที่มองมาด้วยสายตาไม่พอใจ “ขออภัยขอรับ ท่านแตกต่างจากพวกเขานะขอรับ ถึงจะเป็นระดับดิน แต่ก็เป็นผู้มีพลังวิเศษติดตัวด้วย…”

“พอได้แล้ว ข้าจะทำงาน” สตรีนางนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะหันมาสนใจกลุ่มคนตรงหน้า “บอกชื่อแล้วยื่นแขนของพวกเจ้ามาให้ข้า”

เมื่อถูกออกคำสั่งแต่ละคนก็เรียงแถวกันเข้าไปให้อีกฝ่ายตรวจสอบ จากคำพูดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้ซุนอี้เหมี่ยวพอจะคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว และได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาเมื่อสตรีนางนั้นตรวจชีพจรของทุกคนแล้วกล่าวออกมาว่าเป็นปราณระดับดิน ซึ่งเป็นปราณที่มีระดับต่ำที่สุดในบรรดาปราณทั้งหมด 7 ขั้น

ซุนอี้เหมี่ยวมีความตื่นเต้นเล็กน้อย ปราณงั้นหรือ? แบบนี้นางก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ใช่หรือไม่!

นอกจากตรวจสอบปราณแล้วซุนอี้เหมี่ยวยังตาดีมองเห็นว่าในกระดาษบนโต๊ะเขียนว่าอะไรอีกบ้าง ทั้งที่ไม่เคยเรียนภาษาของที่นี่แต่นางกลับเข้าใจเสียได้ นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำได้อย่างไร ในกระดาษแผ่นนั้นบางชื่อยังมีเขียนต่อด้านหลังระดับปราณไปอีกว่ามีพลังพิเศษ ซึ่งชื่อของนางก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทว่าไม่มีระบุว่าเป็นพลังพิเศษแบบใด

“เจ้าอ่านหนังสือออกหรือ” เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าซุนอี้เหมี่ยวเอาแต่มองกระดาษบนโต๊ะ นางจึงเอ่ยถามขึ้นมา

ซุนอี้เหมี่ยวตกใจเล็กน้อย พลางจ้องมองท่าทีของอีกฝ่าย สายตาของอีกฝ่ายมีแววดูถูกและไม่เชื่อสักนิดหากนางตอบออกไปว่าใช่ ซุนอี้เหมี่ยวรีบสำรวมท่าทีแล้วส่ายหน้าตอบกลับไป

“ข้าเห็นว่านี่เป็นลายเส้นที่สวยดีเจ้าค่ะ” นางให้เหตุผลที่ตัวเองจ้องมองไปก่อนอีกฝ่ายจะหรี่ตาใส่แล้วเลิกสนใจนาง

เมื่อซุนอี้เหมี่ยวหันไปมองคนที่เดินทางร่วมกันมาคนอื่น ๆ ก็พบว่าไม่มีใครสนใจตัวอักษรในกระดาษสักนิด หรือจะพูดอีกอย่างก็คือพวกเขาอ่านหนังสือไม่ออกก็เลยไม่ได้สนใจยังไงล่ะ เกรงว่าที่หมู่บ้านของนางจะไม่มีใครอ่านออกเขียนได้เลยกระมัง

นี่มันยุคไหนกันเนี่ย!

หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วกลุ่มของซุนอี้เหมี่ยวก็ถูกนำทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ละคนถูกแบ่งตัวให้แยกออกไปอยู่กันคนละหมู่บ้าน บ้างก็หมู่บ้านละ 3 คน บ้างก็หมู่บ้านละ 5 คน แล้วแต่ว่าจะถูกจัดแบ่งออกไปอย่างไร เมื่อซุนอี้เหมี่ยวเข้าไปในหมู่บ้านที่ตัวเองถูกจัดสรรแล้ว ก็ต้องพบกับสายตาที่จดจ้องมายังตนเองอย่างไม่ใคร่จะยินดียินร้ายเท่าใดนัก

“นี่คือบ้านพักของพวกเจ้า มีคนอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว 5 คน อยู่กันให้ดี อย่าให้มีปัญหาเล่า” ตัวแทนของหมู่บ้านที่ทำหน้าที่จัดสรรที่พักให้นำทางซุนอี้เหมี่ยวและคนในหมู่บ้านอีก 2 คนไปยังบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ภายนอกดูทรุดโทรมและซอมซ่อ ส่วนภายในนั้นมีกลิ่นที่ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิดลอยออกมาจนนางเบ้หน้า

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร! เจ้าอยากตายรึ!”

เพียงเบ้หน้าเล็กน้อยก็ถูกคนที่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านเอ่ยตะคอกออกมาพลางชี้หน้า ซุนอี้เหมี่ยวหน้าตาตื่นด้วยความงุนงงก่อนจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงนาง “ถุย! นอนไม่ได้ก็ไปนอนกลางลานโน่น ที่นี่ไม่มีพ่อแม่ของพวกเจ้าคอยตามใจแล้ว!”

อีกฝ่ายพ่นน้ำลายมาทางซุนอี้เหมี่ยว ทำเอานางแทบจะเก็บสีหน้ารังเกียจเอาไว้ไม่มิด แต่เพราะไม่อยากถูกตะคอกด่าว่าอีกนางจึงเก็บสีหน้าและก้มหน้าก้มตามองพื้นเสีย

ที่นี่อย่าเรียกว่าบ้านพักเลย! เรียกว่าห้องน้ำสาธารณะจะดีกว่า! สกปรกเกินไปแล้ว!

และวันแรกในการนอนพักในที่พักแห่งนี้ ซุนอี้เหมี่ยวก็ต้องห่อเหี่ยวเพราะถูกถีบส่งให้ไปนอนที่ห้องครัว การกระทำของผู้ที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วชัดเจนมากว่าไม่ชอบหน้านางเท่าใดนัก และเห็นได้ชัดว่านางจะต้องถูกรังแกอย่างแน่นอน เหมือนว่านางจะต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก ๆ เสียแล้ว

หนึ่งคืนผ่านไป ซุนอี้เหมี่ยวยังไม่ทันได้โอดครวญกับสภาพความเป็นอยู่ ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อทุกคนเดินออกไปตามที่มาของเสียงก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีคนแขวนคออยู่ในบ้านพักหลังหนึ่ง ซุนอี้เหมี่ยวตกใจกับภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก และตกใจยิ่งกว่าก็คือคนที่นี่ไม่มีใครมีสีหน้าตกใจหรือแปลกใจแม้แต่น้อย

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ฝีมือของพวกนั้นช่างเก่งกาจนัก ข้ายังสู้พวกมันไม่ได้สักนิด!” ผู้เป็นเจ้าบ้านที่ซุนอี้เหมี่ยวพักอยู่นั้นหัวเราะออกมา พลางมองดูศพด้วยสายตาพึงพอใจ ก่อนที่สายตาของอีกฝ่ายจะมองมายังซุนอี้เหมี่ยวแล้วยิ้มร้ายออกมา “แล้วเจ้าล่ะ อยากเป็นคนถัดไปหรือไม่? ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”

เสียงหัวเราะที่แฝงแววโหดเหี้ยมและน่าขนลุกทำเอาซุนอี้เหมี่ยวยืนตัวเกร็ง นางไม่ได้กลัวสักนิดหากจะถูกอีกฝ่ายทุบตี เพราะนางไม่มีทางให้อีกฝ่ายเข้ามาทุบตีตัวเองฝ่ายเดียวแน่ แต่นี่อีกฝ่ายถึงกับคิดจะทำร้ายให้ตายกันไปข้าง ลำพังสู้ตัวต่อตัวนางไม่กลัวนัก แต่อีกฝ่ายดันมีพรรคพวกอยู่แล้วอีก 4 คนนี่สิ หากถูกรุมขึ้นมาแน่นอนว่ายากจะขัดขืนได้แน่!

ที่นี่มันอะไรกันเนี่ย คราแรกนางนึกว่าจะต้องเป็นทาสและทำงานหนักจนตาย แต่ดูเหมือนว่าสาเหตุการตายจะไม่ได้มาจากการทำงานหนักเนี่ยสิ!

นางจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่นะ!

หมู่บ้านเซวีย

บทที่ 3 หมู่บ้านเซวีย

หมู่บ้านที่ซุนอี้เหมี่ยวได้เข้าพักอยู่นั้นคือหมู่บ้านที่มีตระกูลเซวียปกครองอยู่

ตอนที่เดินผ่านทางเข้านั้นซุนอี้เหมี่ยวมองเห็นเรือนใหญ่โตมากมาย แต่พอเดินมาถึงด้านหลังกลับพบที่อยู่ที่ดูโสโครกเหมือนกับห้องสุขา กลิ่นเหม็นตลบอบอวลแทบจะทำให้เสียสติ ความต่างของด้านหน้ากับด้านหลังเหมือนกับอยู่คนละมิติกัน

ที่อยู่อาศัยน่าขยะแขยงก็แล้วไปเถิด แต่นิสัยคนของที่นี่กลับน่าขยะแขยงเสียยิ่งกว่า มาอยู่วันแรกก็มีข่าวคนมาใหม่แขวนคอตายเสียแล้ว!

คนมาใหม่ที่ถูกส่งตัวมาจากหมู่บ้านอื่นซึ่งตายจากไปนั้นเป็นเหมือนกับภาพในอนาคตของซุนอี้เหมี่ยวหากว่านางไม่ระวังตัวให้ดียามอยู่ที่นี่

เพราะเจ้าบ้านหลังที่นางพักอาศัยอยู่นั้นได้หมายหัวนางเอาไว้แล้วอย่างไม่มีเหตุผล ส่วนเพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันอีก 2 คนก็พากันถอยหนีออกห่างจากนาง

เอาเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่ได้รู้จักและสนิทกัน อีกทั้งฝ่ายนั้นยังมีกันตั้ง 5 คน

หลังจากเหตุการณ์น่าตกใจเกิดขึ้นในตอนเช้าก็ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อคนที่นี่มากนัก

หม้ออาหารขนาดใหญ่ถูกตั้งเพื่อเคี่ยวอาหารแจกจ่ายให้คนท้ายหมู่บ้านได้กิน น้ำต้มกับเศษเนื้อและเกลืออีกเล็กน้อยถูกต้มอยู่ในหม้อใบใหญ่ นั่นคืออาหารของคนงานทุกคนที่นี่ก่อนที่จะออกไปทำงานกัน

ซุนอี้เหมี่ยวมองน้ำแกงที่ไร้เนื้อสักชิ้นของตนเองด้วยความจนใจ แบบนี้นางไม่หมดแรงก่อนจะไปถึงที่ทำงานหรอกหรือ พอหันไปมองเจ้าบ้านและพรรคพวกของนาง ซุนอี้เหมี่ยวก็พบว่าคนพวกนั้นได้เนื้อต้มจนพูนถ้วย

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าคนงานเก่ากำลังหาเรื่องบีบนางให้อยู่ที่นี่ไม่ได้ ซุนอี้เหมี่ยวถอนหายใจอย่างจนใจ จะให้ไปตักกินเองก็คงจะไม่ได้ เพราะมีบุรุษหน้าตาน่ากลัวยืนถือแส้อยู่ข้าง ๆ หม้ออาหาร

แม้จะเห็นว่ามีคนที่ได้รับอาหารอย่างไม่ยุติธรรมแต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

เป็นสังคมที่น่าหนักใจจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่คนเมื่อเช้าถึงตัดสินใจจากไป หากโดนรังแกเช่นนี้เข้าหลายวันคงสติแตกแน่ ๆ

หลังจากมื้ออาหารเช้าจบลงคนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้านก็ถูกพาตัวขึ้นรถม้าเพื่อไปทำงาน รถม้าไร้ที่กำบังด้านบนถูกใช้ขนคนจำนวนมากแล้วเคลื่อนที่ออกไปอย่างไม่รอช้า

เมื่อรถม้าเริ่มเข้าไปในป่ารกทึบ ซุนอี้เหมี่ยวที่นั่งอยู่ท้ายสุดเกือบจะตกรถม้าทั้งจากการออกตัวและจากการเบียดของคนพวกนั้น แต่นางก็ฝืนใช้แรงมือจับขอบเอาไว้สุดแรง หนำซ้ำยังแอบเตะขาไปที่หน้าแข้งของคนที่พยายามจะดันตัวนางออกจนอีกฝ่ายแทบจะปล่อยมือออกจากที่จับเพราะความเจ็บ

“นังนี่!” พรรคพวกของเจ้าบ้านหันมาถลึงตาใส่ พลางทำท่าจะกระโจนเข้ามาผลักให้นางตกรถม้า

ซุนอี้เหมี่ยวที่คอยท่าอยู่แล้วจึงใช้สองนิ้วจิ้มตาแล้วตบหน้าไปฉาดใหญ่ นอกจากนั้นยังกระชากหัวดึงอีกฝ่ายข้ามตัวเองให้ตกลงจากรถม้าไปเสียงดังตุ้บ!

อยากให้นางตกจากรถม้านักก็ลองไปลิ้มรสดูก่อนเถิด!

“กล้าดียังไง! อยากตายงั้นหรือ” แน่นอนว่าทางฝ่ายนั้นไม่มีทางยอมอยู่เฉยเมื่อเห็นการกระทำของนาง แต่ว่าพื้นที่บนรถม้าไม่เอื้ออำนวยให้คนที่มีพรรคพวกมากกว่าลงมือ ซุนอี้เหมี่ยวกระชากแขนคนที่ยื่นมาเพื่อจะข่วนหน้านางแล้วออกแรงเหวี่ยงให้ตกรถม้าไปตามคนก่อนหน้านี้

ถึงนางจะโตขึ้น มีการมีงานที่ดีทำแล้ว แต่ตอนที่เรียนอยู่นางก็ไม่ใช่ย่อย การกลั่นแกล้งในโรงเรียนไม่เคยเกิดขึ้นกับนางเพราะว่านางพร้อมท้าชนมันทุกคนที่เข้ามารังแก ถึงขนาดถูกเรียกว่ามือตบที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยทั้งที่นางไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อนแท้ ๆ

“นังนี่! จับมันโยนลงไป!”

เจ้าบ้านที่ซุนอี้เหมี่ยวอาศัยอยู่นั้นออกคำสั่งกับพรรคพวกของตนเองก่อนจะพากันเขยิบตัวมาทางนางเพื่อจะช่วยกันโยนนางลงไป

ซุนอี้เหมี่ยวยืนขึ้นโดยใช้มือจับขอบรถม้าเพื่อพยุงตัว เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นไปถีบหน้าคนทั้งสามที่พยายามกระเถิบตัวเข้ามาใกล้ จงใจเล็งส้นเท้าไปที่ปลายจมูกคนพวกนั้น ทำให้พวกนางมึนงง เมื่อสบโอกาสก็ยื่นมือไปคว้าคอเสื้อแล้วออกแรงเหวี่ยงลงไปจากรถอีกคน

คนที่ถูกโยนลงจากรถม้าพยายามวิ่งตามรถม้าอย่างสุดชีวิตด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ทว่าคนขับรถม้ากลับไม่ได้สนใจทั้งที่เสียงต่อสู้ออกจะดังมากถึงเพียงนี้

แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่าจะมีใครหายไประหว่างทาง แม้ว่า 3 คนที่ตกลงไปจะพยายามร้องเรียก แต่คนขับรถม้าก็เมินเสียงร้องนั้นทั้งหมด

ซุนอี้เหมี่ยวเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะกำจัดตัวปัญหาและขึ้นเป็นเจ้าบ้านเสียเอง นางจึงจัดการโยนคนที่เหลืออีก 2 คนลงไป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าบ้านอยู่ด้วย

ก่อนโยนลงไปนางยังใช้หมัดชกไปที่หน้าอีกหลายทีจนอีกฝ่ายหมดแรง ทั้งที่กินเนื้อมามากกว่านางและควรจะมีแรงมากกว่าแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับสู้นางไม่ได้สักนิด เพราะว่านางเล่นงานที่จุดอ่อนของมนุษย์อย่างต่อยตรงตับเสียก่อน แค่นี้อีกฝ่ายก็ทรุดลงแล้ว หลังจากต่อยจนพอใจก็จับเหวี่ยงลงไปอีกคน

เส้นทางที่รถม้าวิ่งผ่านนั้นมีหญ้าขึ้นสูงเทียบเท่าหัวเข่าของนาง ดังนั้นล้อรถม้าจึงมีขนาดใหญ่และสูงมากเพื่อให้เหยียบย่ำได้โดยไม่ถูกหญ้าพันล้อเข้าเสียก่อน

และเพราะหญ้าสูงนี้เองคนที่ถูกโยนลงไปจึงไม่มีทีท่าว่าจะวิ่งตามรถม้าคันนี้ทันสักคน ซุนอี้เหมี่ยวกำลังจะยกยิ้มมองคนทั้ง 5 อย่างสะใจเพราะพวกนั้นมีใบหน้าตื่นกลัวมาก แต่ซุนอี้เหมี่ยวกลับต้องหน้าเสีย

“พี่! หยุดรถให้ข้า!”

เจ้าบ้านของซุนอี้เหมี่ยวส่งเสียงหวีดแหลมร้องบอกคนขับรถม้าเสียงดัง คราแรกซุนอี้เหมี่ยวคิดว่าจะไม่เป็นผล แต่แค่คำเรียกขานของนางก็ต่างจากอีก 4 คนแล้ว เพราะพวกนั้นเรียกคนขับรถม้าว่าหัวหน้า ไม่ใช่ พี่ เหมือนคนผู้นี้

รถม้าที่เคยวิ่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเริ่มชะลอความเร็วลงก่อนที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่นานคนทั้ง 5 ที่วิ่งตามรถม้าหน้าตาตื่นก็วิ่งมาถึง พวกนั้นพยายามจะดึงตัวซุนอี้เหมี่ยวลงไปแต่ถูกซุนอี้เหมี่ยวตบเสยจมูกไปคนละทีจนหมดฤทธิ์ แต่เรื่องกลับไม่จบแค่นั้น

ผัวะ!

“หยุดสร้างปัญหา อย่าทำให้ข้าต้องฆ่าเจ้า!” ซุนอี้เหมี่ยวที่ตบเสยจมูกคนทั้ง 5 ไปเพื่อป้องกันตัวถูกคนขับรถม้าตบเข้าที่ด้านหลังศีรษะอย่างแรงจนมึนงง นางหันไปจ้องเขาด้วยสายตาเดือดดาล หากไม่ติดที่ว่าจุดพลังปราณของเขาใหญ่กว่านาง ป่านนี้นางคงขอท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าเฮงซวยนี่แล้ว “ยังจะจ้องตาข้าอีก! ก้มหน้าลงไป!”

เมื่อถูกตะคอกใส่ ซุนอี้เหมี่ยวก็หันไปมองทางอื่น เมื่อคนทั้ง 5 ที่มึนงงไปก่อนหน้านี้เริ่มได้สติพวกนางก็รีบขึ้นมาบนรถม้าก่อนที่จะถูกทิ้งอีกครั้ง แต่ครานี้ไม่ได้หมายมาดจะเข้ามาผลักตัวนางอีก

พอเจ้าบ้านของซุนอี้เหมี่ยวขึ้นรถม้ามาแล้ว อีกฝ่ายก็รีบเดินเข้าไปด้านในสุดซึ่งเป็นที่นั่งก่อนหน้านี้แล้วซบใบหน้าลงไปบนแขนของคนขับรถม้าคนนั้น เท่านี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสองคนนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ตอนแรกที่รถม้าขับออกจากหมู่บ้านนั้นมีรถม้าเช่นคันของนางอีก 5 คันจากทั้งหมด 5 บ้าน แต่ละคันล้วนมีจำนวนคนไล่เลี่ยกันอยู่ที่ประมาน 7-8 คน แต่บัดนี้รถม้าอีก 5 คันนั้นกำลังวิ่งนำไปไกลเสียจนแทบจะมองไม่เห็นเงา

รถม้าคันของซุนอี้เหมี่ยวจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าตามไปให้ทัน ทำเอาคนขับรถม้าอารมณ์เสียไม่น้อย แล้วสะบัดตัวเจ้าบ้านที่เข้าไปคลอเคลียตนเองอย่างไม่สบอารมณ์

สถานการณ์ดูสงบลงเมื่อคนขับรถม้าเริ่มโมโห คนด้านหลังทั้งหมดจึงไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาอีก ซุนอี้เหมี่ยวเองก็จ้องคนทั้ง 5 เขม็งอย่างไม่เกรงกลัว สู้ 5 ต่อ 1 ในพื้นที่แคบ ๆ เช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง เพราะพวกนั้นเข้ามาได้ทีละ 1 คน เต็มที่เข้ามาได้ไม่เกิน 2 คน นางรับมือได้อยู่แล้ว น่าคิดหนักก็ตอนที่กลับไปถึงบ้านนั่นล่ะ

รอบด้านที่รถม้ามุ่งหน้าเข้ามานี้มีแต่ป่ารถทึบและต้นไม้เต็มไปหมด นี่เป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับซุนอี้เหมี่ยวอีกเรื่องเพราะว่านางมองเห็นต้นไม้มีแสงเปล่งประกายออกมาแตกต่างกัน และความรู้สึกต่อพืชพรรณพวกนั้นก็แตกต่างกัน

แม้ว่านางอยากจะมองดูและศึกษาให้มากกว่านี้แต่ว่าอันตรายยังอยู่ข้างหน้านาง นางจึงละสมาธิไปทางอื่นมากไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าหากใครตกลงไปแล้วจะไม่มีวันได้ขึ้นรถม้ากลับมาอีกครั้ง และดูจากสีหน้าหวาดกลัวที่พยายามจะวิ่งตามรถม้าของคนพวกนั้นแล้ว ซุนอี้เหมี่ยวคาดเดาได้เลยว่าป่าแห่งนี้จะต้องน่ากลัวมากแน่ ๆ และหากใครถูกทิ้งเอาไว้ก็เกรงว่าคงไม่มีทางเอาชีวิตรอดกลับมาได้ ไม่อย่างนั้นพวกนั้นจะพยายามผลักนางให้ตกลงไปทำไมกัน

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...