โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

รู้จักเหตุการณ์ Plaza Accord ต้นต่อของความมั่งคั่งและวิกฤตการณ์ญี่ปุ่น

BottomLiner - บทสรุปการลงทุน

อัพเดต 12 ก.ค. 2565 เวลา 11.49 น. • เผยแพร่ 12 ก.ค. 2565 เวลา 11.49 น.

#เรียนรู้จากอดีต

รู้จักเหตุการณ์ Plaza Accord ต้นต่อของความมั่งคั่งและวิกฤตการณ์ญี่ปุ่น

.

คนญี่ปุ่นทุกคนเคยรวยขึึ้นเกือบ 1 เท่าตัว ภายใน 10 เดือน และเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยเศรษฐกิจเติบโต

.

วันนี้เราจะมาพูดถึงเหตุการณ์ Plaza Accord หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้คนญี่ปุ่นเคยรวยที่สุดในโลกจากเหตุการณ์ค่าเงินแข็ง ตามมาด้วยการย้ายโรงงานออกนอกประเทศ และเกิดฟองสบู่ในญี่ปุ่น ลากยาวมาเป็นปัญหากับค่าเงินฝืดจนถึงทุกวันนี้

.

ประเทศญี่ปุ่นผู้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเช่น น้ำมัน, เหล็ก, หรือถ่านหิน แต่ญี่ปุ่นสามารถ นำวัตถุดิบ แล้วมาแปรรูปต่างๆ จนก้าวล้ำมาเป็น ผู้ผลิตรถยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าแนวหน้าของโลก ในปี 1985 ประเทศญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าและดุลการชำระเงินกับประเทศคู่ค้าเกือบทั้งโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เสียเปรียบด้านการค้ากับประเทศญี่ปุ่นมาก

.

เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นตีตลาดสหรัฐอเมริกา ทำให้สินค้าญี่ปุ่นขายดีมากในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สินค้าของสหรัฐอเมริกาไม่เป็นที่นิยมและขายในตลาดญี่ปุ่นไม่ได้ เนื่องจากเรื่องราคาและคุณภาพที่ญี่ปุ่นสามารถทำได้ดีกว่า

.

แน่นอนว่า ประเทศสหรัฐผู้ประสบผลขาดดุลถึงร้อยละ 3.5 ของมูลค่าเศรษฐกิจประเทศ เนื่องสินค้าสหรัฐถูกแย่งส่วนแบ่งในตลาดโลก และ ขณะนั้น เงินดอลลาร์แข็ง ทำให้ผู้ส่งออกในสหรัฐไม่สามารถส่งออกสินค้าได้

.

สหรัฐอเมริกาจึงจัดประชุมประเทศ G5 คือ ประเทศที่แข็งแรงและได้เปรียบได้ดุลการค้าสหรัฐ 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันและญี่ปุ่น ที่โรงแรมพลาซ่า กรุงนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1985 ได้มีการลดค่าเงินดอลลาร์ เพื่อช่วยลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐ ทำให้ค่าเงิน YEN แข็ง เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินครั้งใหญ่ของโลก โดยสหรัฐอเมริกาบังคับให้ญี่ปุ่นต้องแข็งค่าเงินจากอัตราแลกเปลี่ยน 250 เยน ต่อ 1 USD ให้แข็งขึ้นเป็น 150 เยน ต่อ 1 USD เท่ากับแข็งค่าขึ้นเกือบ 70 %ภายในเวลาเพียง 10 เดือน ปรากฏการณ์ครั้งนั้นถูกเรียกว่า พลาซ่า แอคคอร์ด (Plaza Accord) ตามชื่อของโรงแรมพลาซ่า

.

จนถึงทุกวันนี้ ค่าเงินที่แข็งขึ้นทำให้ราคาสินค้าญี่ปุ่นในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้นทันทีทันใด 70 % แต่ทว่าผลกระทบยังไม่เกิดขึ้นทันที เพราะสินค้าที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่มีคุณภาพของญี่ปุ่น แม้ราคาจะสูงขึ้นแต่ผู้บริโภคยังคงซื้อต่อ เนื่องจากผู้ซื้อยังหาสินค้าที่ผลิตขึ้นจากประเทศอื่นที่มีคุณภาพอย่างเดียวกันมาทดแทนไม่ได้ ด้วยผลกระทบของ Plaza accord ทำให้ ชาวญี่ปุ่นรวยขึ้นทันที 70 % (เนื่องจากค่าเงินแข็งขึ้น ทำให้ค่าของเงินสูงขึ้นตาม)

.

เมื่อคำนวณมูลค่าเงิน YEN เป็นเงิน USD จะเพิ่มขึ้น 70 %คือ รวยขึ้น 70 % และคนญี่ปุ่นจะใช้เงินซื้อสินค้าที่นำเข้าจากประเทศอื่นได้ในราคาถูกกว่าเดิม 70 %หรือคนญี่ปุ่นไปท่องเที่ยวต่างประเทศจะพักโรงแรม ซื้อข้าวของได้ถูกลง 70 % เพราะค่าเงินแข็งขึ้น เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่น จึงติดใจในการทำให้ค่าเงินแข็งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 – 1990 ค่าเงินญี่ปุ่นจึงแข็งขึ้นทุกปี จนกระทั่ง 1 USD เท่ากับ 75 เยน ซึ่งหมายถึง แข็งค่าจาก 250 เยนต่อ 1 USD มาเป็น 75 เยนต่อ 1 USD คือ แข็งค่าขึ้นประมาณ 300 %

.

ในช่วงปี1986-1991 คนญี่ปุ่นหลงมีความสุขกับค่าเงินที่แข็งขึ้นทั้งประเทศ เศรษฐีญี่ปุ่นกลายเป็นเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก มีการลงทุนในประเทศและนอกประเทศ มีการออกเงินกู้เป็นจำนวนมหาศาลธนาคารญี่ปุ่นก็กลายเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะทรัพย์สินมีราคาเพิ่มขึ้น 3 เท่า บริษัทของคนญี่ปุ่นมีเงินไปซื้อตึกเอ็มไพร์สเตทในสหรัฐอเมริกา ที่เป็นตึกสูงที่สุดในโลกขณะนั้น บริษัท Sony ไปซื้อกิจการสร้างภาพยนตร์ใน Hollywood เปลี่ยนชื่อเป็น Sony Entertainment มาจนถึงทุกวันนี้

.

มหาเศรษฐีญี่ปุ่นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงเป็นจำนวนมาก จนตลาดหุ้นพุ่งสูง ในปี 1989

พอ 10 ปีผ่านไปใน -ปี ค.ศ.1995 เป็นต้นมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ทรุดตัว สินค้าทุกอย่างที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นขายในส่วนแบ่งตลาดโลกไม่ได้เนื่องจากราคาที่สูง สินค้าทุกอย่างที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะถือว่าเป็นของราคาแพง นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นลดลงมาก ทำให้ญี่ปุ่นมีงบขาดดุลถึง56% จากรายได้ภาษีที่เก็บมา

.

ดัชนีNIKKEI 225 เคยทำสถิติสูงถึง38,957.44 กลับลงมาอยู่ที่ 12000

ขณะที่โรงงานผลิตสินค้าต้องย้ายฐานการผลิตไปผลิตที่ประเทศอื่น อย่างประเทศไทย หรือประเทศเวียดนาม ที่มีแรงงานราคาถูกในการผลิตสินค้า

แรงงานในประเทศญี่ปุ่นเริ่มจะตกงาน บริษัทญี่ปุ่นระดับโลกไม่ว่าจะเป็นบริษัทรถยนต์ผู้นำโลกต่างๆ และ บริษัทเทคโนโลยีที่โด่งดัง หลายบริษัทต้องปลดคนงานญี่ปุ่นลงจำนวนมากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่น

.

บริษัทภาคการผลิตจริง (Real Sector) เริ่มขาดทุน โดยเฉพาะธุรกิจผลิตสินค้าภายในประเทศ และส่งออกขาดทุนหมด ธนาคารญี่ปุ่นไม่สามารถปล่อยกู้กับธุรกิจส่งออก และธุรกิจผลิตสินค้าขายให้คนญี่ปุ่นกินและใช้ในประเทศได้ ธนาคารญี่ปุ่นหันมาปล่อยกู้กับธุรกิจเก็งกำไร (Speculation) อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และธุรกิจเก็งกำไรในตลาดหุ้น

.

คนญี่ปุ่นและบริษัทธุรกิจหันมาเล่นหุ้นลงทุนทำธุรกิจเก็งกำไรที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ บ้านในชนบท คอนโด ตึกสูงในเมืองได้กำไรดีกว่าเร็วกว่าจนขยายตัวราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาบ้าน ราคาที่ดิน และราคาหุ้นในตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นมาก เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วประเทศ ฟองสบู่ญี่ปุ่นก็แตกเหมือนประเทศอื่นๆ ราคาหุ้น ราคาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ตกอย่างรุนแรง เศรษฐกิจและธุรกิจญี่ปุ่นขาดทุนล้มละลาย ซบเซาและถดถอยเป็นเวลายาวนานมากติดต่อกันถึง 20 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 – 2010 ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันในนาม “The Lost 2 Decades” หรือ “2 ทศวรรษที่หายไป” ของญี่ปุ่น

.

ระหว่างปี ค.ศ.1995 – 2007 12 ปีแห่งความย่ำแย่

GDP ของญี่ปุ่นได้ลดลงอย่างมหาศาลจาก 5.33 ล้านล้าน USD เหลือแค่ 4.36 ล้านล้าน USD เท่ากับลดลง 18.2 % ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศลดลง เกิดภาวะเงินฝืด เศรษฐกิจถอดถอยเรื้อรังมาเป็นเวลานานติดต่อกันถึง 20 ปี

.

เมื่อประชาชนญี่ปุ่นมีรายได้ลดลง การจับจ่ายใช้สอยก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้บริษัทต่างๆ มียอดขายลดลง จำเป็นต้องไล่พนักงานออกและปรับราคาสินค้าลง Sony และ Toyota ลดพนักงานประจำลง หันมาจ้างพนักงาน Part Time แทน เมื่อประชาชนญี่ปุ่นคาดว่าระดับราคาสินค้ามีแนวโน้มจะลดลง ถูกลงในอนาคต ประชากรญี่ปุ่นขาดความมั่นใจในอนาคตโดยเลือกที่จะเก็บออมมากขึ้นแทนการจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นนับวันยิ่งถอถอย ยิ่งไปกว่านั้น ปี2020 ประเทศญี่ปุ่นวางแผนที่จะใช้การแข่งขันโอลิมปิคปี2020 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ทว่าการระบาดของโรคโควิด19 ทำให้ไม่สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวรับชมการแข่งขันได้ คาดการณ์ว่าประเทศญี่ปุ่นขาดทุนจากการจัดงานโอลิมปิกปี2020 ประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

.

BottomLiner

บทสรุปการลงทุน

#การเงิน#ประวัติศาสตร์#ญี่ปุ่น#การเงิน#เศรษฐกิจ

#เรียนรู้จากอดีต

รู้จักเหตุการณ์ Plaza Accord ต้นต่อของความมั่งคั่งและวิกฤตการณ์ญี่ปุ่น

.

คนญี่ปุ่นทุกคนเคยรวยขึึ้นเกือบ 1 เท่าตัว ภายใน 10 เดือน และเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยเศรษฐกิจเติบโต

.

วันนี้เราจะมาพูดถึงเหตุการณ์ Plaza Accord หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้คนญี่ปุ่นเคยรวยที่สุดในโลกจากเหตุการณ์ค่าเงินแข็ง ตามมาด้วยการย้ายโรงงานออกนอกประเทศ และเกิดฟองสบู่ในญี่ปุ่น ลากยาวมาเป็นปัญหากับค่าเงินฝืดจนถึงทุกวันนี้

.

ประเทศญี่ปุ่นผู้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเช่น น้ำมัน, เหล็ก, หรือถ่านหิน แต่ญี่ปุ่นสามารถ นำวัตถุดิบ แล้วมาแปรรูปต่างๆ จนก้าวล้ำมาเป็น ผู้ผลิตรถยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าแนวหน้าของโลก ในปี 1985 ประเทศญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าและดุลการชำระเงินกับประเทศคู่ค้าเกือบทั้งโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เสียเปรียบด้านการค้ากับประเทศญี่ปุ่นมาก

.

เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นตีตลาดสหรัฐอเมริกา ทำให้สินค้าญี่ปุ่นขายดีมากในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สินค้าของสหรัฐอเมริกาไม่เป็นที่นิยมและขายในตลาดญี่ปุ่นไม่ได้ เนื่องจากเรื่องราคาและคุณภาพที่ญี่ปุ่นสามารถทำได้ดีกว่า

.

แน่นอนว่า ประเทศสหรัฐผู้ประสบผลขาดดุลถึงร้อยละ 3.5 ของมูลค่าเศรษฐกิจประเทศ เนื่องสินค้าสหรัฐถูกแย่งส่วนแบ่งในตลาดโลก และ ขณะนั้น เงินดอลลาร์แข็ง ทำให้ผู้ส่งออกในสหรัฐไม่สามารถส่งออกสินค้าได้

.

สหรัฐอเมริกาจึงจัดประชุมประเทศ G5 คือ ประเทศที่แข็งแรงและได้เปรียบได้ดุลการค้าสหรัฐ 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันและญี่ปุ่น ที่โรงแรมพลาซ่า กรุงนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1985 ได้มีการลดค่าเงินดอลลาร์ เพื่อช่วยลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐ ทำให้ค่าเงิน YEN แข็ง เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินครั้งใหญ่ของโลก โดยสหรัฐอเมริกาบังคับให้ญี่ปุ่นต้องแข็งค่าเงินจากอัตราแลกเปลี่ยน 250 เยน ต่อ 1 USD ให้แข็งขึ้นเป็น 150 เยน ต่อ 1 USD เท่ากับแข็งค่าขึ้นเกือบ 70 %ภายในเวลาเพียง 10 เดือน ปรากฏการณ์ครั้งนั้นถูกเรียกว่า พลาซ่า แอคคอร์ด (Plaza Accord) ตามชื่อของโรงแรมพลาซ่า

.

จนถึงทุกวันนี้ ค่าเงินที่แข็งขึ้นทำให้ราคาสินค้าญี่ปุ่นในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้นทันทีทันใด 70 % แต่ทว่าผลกระทบยังไม่เกิดขึ้นทันที เพราะสินค้าที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่มีคุณภาพของญี่ปุ่น แม้ราคาจะสูงขึ้นแต่ผู้บริโภคยังคงซื้อต่อ เนื่องจากผู้ซื้อยังหาสินค้าที่ผลิตขึ้นจากประเทศอื่นที่มีคุณภาพอย่างเดียวกันมาทดแทนไม่ได้ ด้วยผลกระทบของ Plaza accord ทำให้ ชาวญี่ปุ่นรวยขึ้นทันที 70 % (เนื่องจากค่าเงินแข็งขึ้น ทำให้ค่าของเงินสูงขึ้นตาม)

.

เมื่อคำนวณมูลค่าเงิน YEN เป็นเงิน USD จะเพิ่มขึ้น 70 %คือ รวยขึ้น 70 % และคนญี่ปุ่นจะใช้เงินซื้อสินค้าที่นำเข้าจากประเทศอื่นได้ในราคาถูกกว่าเดิม 70 %หรือคนญี่ปุ่นไปท่องเที่ยวต่างประเทศจะพักโรงแรม ซื้อข้าวของได้ถูกลง 70 % เพราะค่าเงินแข็งขึ้น เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่น จึงติดใจในการทำให้ค่าเงินแข็งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 – 1990 ค่าเงินญี่ปุ่นจึงแข็งขึ้นทุกปี จนกระทั่ง 1 USD เท่ากับ 75 เยน ซึ่งหมายถึง แข็งค่าจาก 250 เยนต่อ 1 USD มาเป็น 75 เยนต่อ 1 USD คือ แข็งค่าขึ้นประมาณ 300 %

.

ในช่วงปี1986-1991 คนญี่ปุ่นหลงมีความสุขกับค่าเงินที่แข็งขึ้นทั้งประเทศ เศรษฐีญี่ปุ่นกลายเป็นเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก มีการลงทุนในประเทศและนอกประเทศ มีการออกเงินกู้เป็นจำนวนมหาศาลธนาคารญี่ปุ่นก็กลายเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะทรัพย์สินมีราคาเพิ่มขึ้น 3 เท่า บริษัทของคนญี่ปุ่นมีเงินไปซื้อตึกเอ็มไพร์สเตทในสหรัฐอเมริกา ที่เป็นตึกสูงที่สุดในโลกขณะนั้น บริษัท Sony ไปซื้อกิจการสร้างภาพยนตร์ใน Hollywood เปลี่ยนชื่อเป็น Sony Entertainment มาจนถึงทุกวันนี้

.

มหาเศรษฐีญี่ปุ่นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงเป็นจำนวนมาก จนตลาดหุ้นพุ่งสูง ในปี 1989

พอ 10 ปีผ่านไปใน -ปี ค.ศ.1995 เป็นต้นมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ทรุดตัว สินค้าทุกอย่างที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นขายในส่วนแบ่งตลาดโลกไม่ได้เนื่องจากราคาที่สูง สินค้าทุกอย่างที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะถือว่าเป็นของราคาแพง นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นลดลงมาก ทำให้ญี่ปุ่นมีงบขาดดุลถึง56% จากรายได้ภาษีที่เก็บมา

.

ดัชนีNIKKEI 225 เคยทำสถิติสูงถึง38,957.44 กลับลงมาอยู่ที่ 12000

ขณะที่โรงงานผลิตสินค้าต้องย้ายฐานการผลิตไปผลิตที่ประเทศอื่น อย่างประเทศไทย หรือประเทศเวียดนาม ที่มีแรงงานราคาถูกในการผลิตสินค้า

แรงงานในประเทศญี่ปุ่นเริ่มจะตกงาน บริษัทญี่ปุ่นระดับโลกไม่ว่าจะเป็นบริษัทรถยนต์ผู้นำโลกต่างๆ และ บริษัทเทคโนโลยีที่โด่งดัง หลายบริษัทต้องปลดคนงานญี่ปุ่นลงจำนวนมากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่น

.

บริษัทภาคการผลิตจริง (Real Sector) เริ่มขาดทุน โดยเฉพาะธุรกิจผลิตสินค้าภายในประเทศ และส่งออกขาดทุนหมด ธนาคารญี่ปุ่นไม่สามารถปล่อยกู้กับธุรกิจส่งออก และธุรกิจผลิตสินค้าขายให้คนญี่ปุ่นกินและใช้ในประเทศได้ ธนาคารญี่ปุ่นหันมาปล่อยกู้กับธุรกิจเก็งกำไร (Speculation) อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และธุรกิจเก็งกำไรในตลาดหุ้น

.

คนญี่ปุ่นและบริษัทธุรกิจหันมาเล่นหุ้นลงทุนทำธุรกิจเก็งกำไรที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ บ้านในชนบท คอนโด ตึกสูงในเมืองได้กำไรดีกว่าเร็วกว่าจนขยายตัวราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาบ้าน ราคาที่ดิน และราคาหุ้นในตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นมาก เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วประเทศ ฟองสบู่ญี่ปุ่นก็แตกเหมือนประเทศอื่นๆ ราคาหุ้น ราคาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ตกอย่างรุนแรง เศรษฐกิจและธุรกิจญี่ปุ่นขาดทุนล้มละลาย ซบเซาและถดถอยเป็นเวลายาวนานมากติดต่อกันถึง 20 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 – 2010 ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันในนาม “The Lost 2 Decades” หรือ “2 ทศวรรษที่หายไป” ของญี่ปุ่น

.

ระหว่างปี ค.ศ.1995 – 2007 12 ปีแห่งความย่ำแย่

GDP ของญี่ปุ่นได้ลดลงอย่างมหาศาลจาก 5.33 ล้านล้าน USD เหลือแค่ 4.36 ล้านล้าน USD เท่ากับลดลง 18.2 % ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศลดลง เกิดภาวะเงินฝืด เศรษฐกิจถอดถอยเรื้อรังมาเป็นเวลานานติดต่อกันถึง 20 ปี

.

เมื่อประชาชนญี่ปุ่นมีรายได้ลดลง การจับจ่ายใช้สอยก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้บริษัทต่างๆ มียอดขายลดลง จำเป็นต้องไล่พนักงานออกและปรับราคาสินค้าลง Sony และ Toyota ลดพนักงานประจำลง หันมาจ้างพนักงาน Part Time แทน เมื่อประชาชนญี่ปุ่นคาดว่าระดับราคาสินค้ามีแนวโน้มจะลดลง ถูกลงในอนาคต ประชากรญี่ปุ่นขาดความมั่นใจในอนาคตโดยเลือกที่จะเก็บออมมากขึ้นแทนการจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นนับวันยิ่งถอถอย ยิ่งไปกว่านั้น ปี2020 ประเทศญี่ปุ่นวางแผนที่จะใช้การแข่งขันโอลิมปิคปี2020 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ทว่าการระบาดของโรคโควิด19 ทำให้ไม่สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวรับชมการแข่งขันได้ คาดการณ์ว่าประเทศญี่ปุ่นขาดทุนจากการจัดงานโอลิมปิกปี2020 ประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

.

BottomLiner

บทสรุปการลงทุน

#การเงิน#ประวัติศาสตร์#ญี่ปุ่น#การเงิน#เศรษฐกิจ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...