โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ไทยปัดข่าว ‘ทรัมป์’ ขู่ขึ้นภาษี ‘สีหศักดิ์’ ร้อง ‘OHCHR’ ชี้กัมพูชายิงจรวดโจมตีพลเรือน

เดลินิวส์

อัพเดต 16 ธันวาคม 2568 เวลา 1.34 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เดลินิวส์
กต.ปัดข่าว ‘ทรัมป์’ขู่ขึ้นภาษีต่อไทย ‘สีหศักดิ์’ร้อง ‘สิทธิมนุษยชนยูเอ็น’ ชี้กัมพูชาไร้มนุษยธรรม เมินก.ม.ระหว่างประเทศยิง BM-21 โจมตีพลเรือนไทย-รพ.-โรงเรียน ยันเขมรใช้ปราสาทตาควายเป็นฐานซุ่มโจมตี ละเมิดอนุสัญญากรุงเฮก

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยิงโจมตีด้วยจรวด BM-21 อย่างไม่เลือกเป้าหมาย ใส่บ้านเรือนของประชาชนใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้พลเรือนไทยผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับการสูญเสียดังกล่าว และขอให้ผู้บาดเจ็บฟื้นตัวโดยเร็ว สำหรับเหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ไทยจึงขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกัมพูชาที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย แต่ยังเป็นการละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการคุ้มครองพลเรือน และหลักการจำแนกเป้าหมายทางการทหารและเป้าหมายพลเรือน ซึ่งเป็นพันธกรณีที่ทุกประเทศจะต้องยึดถือ

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ดังนั้น ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการใช้กำลังต่อพลเรือนทันที เคารพต่อพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ และแสดงความรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ขณะเดียวกัน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ได้มีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Human Rights - OHCHR) เพื่อแจ้งข้อห่วงกังวลต่อการละเมิดเหล่านี้ ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีสาระสำคัญหลายประการ อาทิ กรณีที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีไทยก่อน และได้โจมตีพื้นที่พลเรือน ซึ่งทำให้ทหารไทยและพลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งทำให้สถานพยาบาลและโรงเรียน รวมกว่า 600 แห่ง ต้องปิดทำการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย การโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง ไทยจึงจำเป็นต้องสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาเฉพาะเป้าหมายทางการทหาร

นายนิกรเดช กล่าวว่า นอกจากนี้ ไทยขอให้ OHCHR เรียกร้องให้กัมพูชาชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความรับผิดชอบและยุติการยั่วยุ รวมทั้งการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งไทยพร้อมทำงานร่วมกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น OHCHR และ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) เพื่อหาทางออกของสถานการณ์นี้อย่างสันติ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องชีวิต ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของประชาชนไทย รวมถึงขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันกดดันกัมพูชาให้เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม รวมถึงแสดงความจริงใจในการลดความตึงเครียดของสถานการณ์ ด้วยการกระทำที่สุจริตใจ ไม่ใช่แค่คำพูด หรือ เศษกระดาษเท่านั้น

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้างว่าการปฏิบัติการทางทหารของไทยทำให้โบราณสถานต่างๆ ตามแนวชายแดนเกิดความเสียหายนั้น ขอชี้แจงว่าฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจนว่ากองทัพกัมพูชาใช้ปราสาทต่างๆ ตามแนวชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นที่เก็บสะสมอาวุธและจุดซุ่มโจมตีฝ่ายไทย ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา กองทัพกัมพูชายังเสริมกำลังและโจมตีไทยด้วยปืนใหญ่ ปืนครก และจรวด BM-21 ในหลายพื้นที่ปราสาทสำคัญ อาทิ ปราสาทคนา ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์ การกระทำดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเพื่อป้องกันทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในสถานการณ์ขัดกันทางอาวุธ ค.ศ.1954 หรืออนุสัญญากรุงเฮก และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ค.ศ.1972 ที่กำหนดพันธกรณีให้ทั้งไทยและกัมพูชาในฐานะภาคีอนุสัญญาต้องปกป้อง และไม่ใช้โบราณสถานหรือทรัพย์สินทางวัฒนธรรมใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร

“ไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่นและมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติการทางทหารเพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่อาจบานปลาย และยับยั้งการใช้โบราณสถานเพื่อประโยชน์ทางการทหารของกัมพูชา มิฉะนั้นจะยิ่งส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อชุมชนตามแนวชายแดนอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวของฝ่ายไทยไม่ได้ขัดต่ออนุสัญญากรุงเฮก ที่ได้กำหนดข้อยกเว้นในกรณีเช่นนี้” นายนิกรเดช กล่าว

นายนิกรเดช กล่าวว่า สำหรับกรณีที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาร่วมกันปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรมตามแนวชายแดนนั้น เราพบว่าฝ่ายกัมพูชาตั้งใจบิดเบือนข้อมูล เพื่อชี้นำให้ประชาคมระหว่างประเทศมุ่งเป้ามาที่ประเทศไทย ไทยจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการใช้พื้นที่โบราณสถาน เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารและยุติการบิดเบือนข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังเผยแพร่ข่าวปลอมอย่างเป็นกระบวนการ เช่น กรณีที่กระทรวงมหาดไทยกัมพูชานำวิดีโอบันทึกภาพทหารไทยฉีดพ่นยาไล่ยุง มาเผยแพร่แล้วบิดเบือนข้อมูลว่าเป็นการพ่นก๊าซพิษซึ่งทำให้พลเรือนชาวกัมพูชาเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งสื่อมวลชนของกัมพูชาที่ดูแลโดยรัฐบาล ใช้รูปที่สร้างจากเทคโนโลยีเอไอ ไปเผยแพร่ข้อมูลเท็จว่าโรงพยาบาลใน จ.สุรินทร์ ไม่สามารถรองรับทหารไทยที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บกว่าพันรายได้ จนต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพของหน่วยงานรัฐกัมพูชา และยังจงใจหลอกลวงประชาชน ซึ่งแสดงถึงความไม่เคารพและดูถูกวิจารณญาณของประชาชน

เมื่อถามถึงกรณีที่มาเลเซียระบุว่าจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ แต่ล่าสุดเลื่อนไปเป็นวันที่ 22 ธ.ค.นี้ นายนิกรเดช กล่าวว่า มาเลเซียเป็นฝ่ายยื่นขอให้จัดการประชุมดังกล่าวในวันที่ 16 ธ.ค. ซึ่งไทยต้องการให้เป็นการประชุมแบบที่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมด้วยตัวเอง ไม่ใช่การประชุมแบบออนไลน์ จึงจำเป็นต้องหาวันที่สะดวกสำหรับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทุกคน และฝ่ายมาเลเซียจึงเสนอเป็นวันที่ 22 ธ.ค. ทั้งนี้ไทยอยากให้มีการประชุมดังกล่าวเร็วที่สุด เพื่อจะได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนต่อสมาชิกอาเซียนให้ได้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ข่มขู่ว่าจะขึ้นภาษีต่อไทยและกัมพูชา เพื่อเป็นเงื่อนไขให้ทั้ง 2 ประเทศยุติความขัดแย้ง นายนิกรเดช กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขณะนี้ รัฐบาลไทยยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆจากฝ่ายสหรัฐ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...