โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เตือน‘สายตี้’โดนหนัก สกัดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่

ไทยโพสต์

อัพเดต 30 ธันวาคม 2568 เวลา 7.03 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 คุมเข้ม 7 วันทั่วประเทศ “ขับขี่ปลอดภัย ลดความเร็ว ลดอุบัติเหตุ” โฆษกศาลยุติธรรมเตือนสายปาร์ตี้ ระวังโดนคดี “เมา-เสพขับ” โทษหนัก

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง เป็นประธานเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 โดยระบุว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ได้กำหนดช่วงเวลาควบคุมเข้มข้นระหว่างวันที่ 30 ธ.ค. 2568 - 5 ม.ค. 2569 รวม 7 วัน ภายใต้ชื่อการรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย ลดความเร็ว ลดอุบัติเหตุ” และจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ระดับส่วนกลาง ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนกับระดับพื้นที่ สร้างความเข้าใจกับประชาชนในบทลงโทษทางกฎหมาย การลดจุดเสี่ยงอันตรายในชุมชน รวมถึงการตัดตอนห่วงโซ่เหตุการณ์

ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำสถิติการเกิดอุบัติเหตุมาวางแผนแก้ปัญหาจราจร พร้อมกับการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและเพิ่มกำลังพลกวดขันวินัยจราจรในการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก และตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจจับความเร็ว วัดปริมาณแอลกอฮอล์ เพื่อให้ทุกเส้นทางการสัญจรมีความปลอดภัยมากขึ้น ส่วนการรับภารกิจหลังเกิดเหตุ กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน เพื่อเชื่อมการทำงานระหว่างจังหวัด อำเภอ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล โดยเตรียมบุคลากรทางการแพทย์หมุนเวียนตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เตรียมคู่สาย 1669 ครอบคลุมทุกจังหวัด และหน่วยปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อรองรับอุบัติเหตุหรือภาวะฉุกเฉินที่ซับซ้อนเข้าถึงยาก นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังได้จัดชุดบริการความสะดวก ในการเดินทางในพื้นที่ต่างๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าไปรับบริการได้

นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า วันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกๆ ปี จะมีสถิติของการกระทำความผิดที่ถูกฟ้องต่อศาลเป็นจำนวนมาก คือความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยเฉพาะเมาแล้วขับ ตามมาตรา 43(2) ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ซึ่งมีบทลงโทษอยู่ในมาตรา 160 ตรี ว่าต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ แต่ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องรับโทษเพิ่มขึ้นคือจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปีและปรับตั้งแต่ 60,000 -200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

อีกข้อหาหนึ่งที่ถูกฟ้องมามาก คือขับรถและเสพยาเสพติด ซึ่งมาตรา 43 ทวิ บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่
เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดยมีการกำหนดโทษไว้ในมาตรา 157/1 วรรคสอง ว่าต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษและกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอีกหนึ่งในสาม และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งสัดส่วนโทษที่เป็นฐานที่ศาลจะลงโทษผู้เสพยาเสพติดขณะขับขี่ คือจากที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดมาตรา 162 ให้ระวางโทษผู้เสพยาเสพติดให้โทษ จําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ดังนั้นเมื่อต้องพิจารณาเพิ่มโทษหนึ่งในสาม ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดจะมีโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...