เตือน‘สายตี้’โดนหนัก สกัดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่
เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 คุมเข้ม 7 วันทั่วประเทศ “ขับขี่ปลอดภัย ลดความเร็ว ลดอุบัติเหตุ” โฆษกศาลยุติธรรมเตือนสายปาร์ตี้ ระวังโดนคดี “เมา-เสพขับ” โทษหนัก
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง เป็นประธานเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 โดยระบุว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ได้กำหนดช่วงเวลาควบคุมเข้มข้นระหว่างวันที่ 30 ธ.ค. 2568 - 5 ม.ค. 2569 รวม 7 วัน ภายใต้ชื่อการรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย ลดความเร็ว ลดอุบัติเหตุ” และจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ระดับส่วนกลาง ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนกับระดับพื้นที่ สร้างความเข้าใจกับประชาชนในบทลงโทษทางกฎหมาย การลดจุดเสี่ยงอันตรายในชุมชน รวมถึงการตัดตอนห่วงโซ่เหตุการณ์
ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำสถิติการเกิดอุบัติเหตุมาวางแผนแก้ปัญหาจราจร พร้อมกับการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและเพิ่มกำลังพลกวดขันวินัยจราจรในการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก และตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจจับความเร็ว วัดปริมาณแอลกอฮอล์ เพื่อให้ทุกเส้นทางการสัญจรมีความปลอดภัยมากขึ้น ส่วนการรับภารกิจหลังเกิดเหตุ กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน เพื่อเชื่อมการทำงานระหว่างจังหวัด อำเภอ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล โดยเตรียมบุคลากรทางการแพทย์หมุนเวียนตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เตรียมคู่สาย 1669 ครอบคลุมทุกจังหวัด และหน่วยปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อรองรับอุบัติเหตุหรือภาวะฉุกเฉินที่ซับซ้อนเข้าถึงยาก นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังได้จัดชุดบริการความสะดวก ในการเดินทางในพื้นที่ต่างๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าไปรับบริการได้
นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า วันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกๆ ปี จะมีสถิติของการกระทำความผิดที่ถูกฟ้องต่อศาลเป็นจำนวนมาก คือความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยเฉพาะเมาแล้วขับ ตามมาตรา 43(2) ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ซึ่งมีบทลงโทษอยู่ในมาตรา 160 ตรี ว่าต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ แต่ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องรับโทษเพิ่มขึ้นคือจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปีและปรับตั้งแต่ 60,000 -200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
อีกข้อหาหนึ่งที่ถูกฟ้องมามาก คือขับรถและเสพยาเสพติด ซึ่งมาตรา 43 ทวิ บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่
เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดยมีการกำหนดโทษไว้ในมาตรา 157/1 วรรคสอง ว่าต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษและกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอีกหนึ่งในสาม และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งสัดส่วนโทษที่เป็นฐานที่ศาลจะลงโทษผู้เสพยาเสพติดขณะขับขี่ คือจากที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดมาตรา 162 ให้ระวางโทษผู้เสพยาเสพติดให้โทษ จําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ดังนั้นเมื่อต้องพิจารณาเพิ่มโทษหนึ่งในสาม ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดจะมีโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี 4 เดือน หรือปรับไม่เกิน 26,666.66 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.