โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

10 ข่าวร้าย – ข่าวดีความยั่งยืนปี 68 ผ่านอะไรร้าย ๆ มาบ้าง ปี 69 จะดีขึ้นหรือไม่?

เดลินิวส์

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เดลินิวส์
ค่ำคืนอันมืดมิด ที่มีเพียงผม และเสียงแป้นพิมพ์ดีดเรมิงตันเคาะเป็นระยะ คละเคล้ากับเสียงปืน และระเบิดที่ดังอยู่ไม่ขาด ในใจคิดว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” ที่ 365 วันของปีมีแต่ข่าวร้าย ข่าวร้ายกว่า และข่าวร้ายที่สุด ปี 2568 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป เราพบวิกฤติการณ์สุดขั้วทุกด้าน เหตุการณ์ทั่วโลกร้ายแรงแบบที่ “ไม่เคยเจอมาก่อน” ทุบทุกสถิติที่เคยมีมา

ข่าวร้าย 10 อันดับ ที่ทำลายล้างมวลมนุษยชาติ มีอะไรบ้าง

อันดับ 1 วิกฤติโลกเดือดรุนแรงขึ้นขั้นวิกฤติ (SDG 13)

ร้อนหนาวสุดขั้ว และระเบิดฝนกระหน่ำหนัก ความล้มเหลวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้โลกประสบกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีรายงานว่าอุณหภูมิโลกเฉลี่ยได้พุ่งเกิน 1.5 องศาไปแล้ว มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อน ความหนาวเย็นสุดขั้ว และภัยพิบัติต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

อันดับ 2 ความหิวโหยและความไม่มั่นคงทางอาหารเพิ่มขึ้น (SDG 2)

ความอดอยากกลับสู่จุดเดิม ตัวเลขผู้ประสบภาวะขาดแคลนอาหารเพิ่มขึ้น มีสาเหตุหลักจากความขัดแย้งและสงครามในหลายพื้นที่ ภัยพิบัติทางภูมิอากาศสุดขั้วทั้งน้ำมาก น้ำแล้ง สารเคมีตกค้างใต้ดิน และวิกฤติพลาสติกปนเปื้อน ทำให้ความไม่มั่นคงทางอาหารกลับไปสู่วิกฤติอีกครั้ง

อันดับ 3 ความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมมีมากขึ้น (SDG 10)

พลังของประเทศมหาอำนาจ มีอิทธิพลเหนือประเทศขนาดเล็กที่กำลังพัฒนา ทำให้ประเทศเล็กยากจนลง ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่ที่ได้เปรียบร่ำรวยขึ้น ในแต่ละประเทศผู้มีอำนาจ มีอิทธิพล มีเงินต่างร่ำรวยขึ้น คนยากจนยากลำบากยากจนลง ถ่างช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน จนประชาชนทนไม่ไหวลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงการปกครองในหลายประเทศ

อันดับ 4 วิกฤติหนี้สิน และแหล่งทุนสีเขียวโตไม่ทัน (SDG 17)

ประเทศกำลังพัฒนากำลังเผชิญกับภาระหนี้สินที่สูงลิ่ว ทำให้ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ แทนที่จะนำไปลงทุนในโครงการสำคัญด้านการศึกษา สุขภาพ และการรับมือกับการเปลี่ยน
แปลงสภาพภูมิอากาศ แหล่งทุนสีเขียวมีน้อยเกินไป

อันดับ 5 การทำลายล้างระบบนิเวศทั้งบนบก และในทะเลขยายวงอย่างรวดเร็ว (SDG 14 & SDG 15)

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ป่าไม้ ใต้ทะเลถูกทำลาย เป็นปัญหาใหญ่ ดัชนีความเสี่ยงของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ยังคงชี้ไปในทิศทางที่ถดถอย ขณะที่สุขภาพของมหาสมุทรเลวร้ายลงเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลายลงมามากขึ้น กระแสน้ำอุ่นน้ำเย็นผิดปกติ มลพิษปนเปื้อนในน้ำ และขยะพลาสติก รวมถึงการประมงเกินขนาด

อันดับ 6 การเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขาภิบาลที่ไม่ดีพอ (SDG 6)

ประชากรโลกหลายพันล้านคนยังไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มสะอาด และระบบสุขาภิบาล รวมถึงแหล่งน้ำทั่วโลกสกปรกมากขึ้น ด้วยของเสียจากอุตสาหกรรม สารเคมีจากเกษตรกรรม และขยะพลาสติกปนเปื้อน แถมปีนี้ AI ยังมาแย่งน้ำอีกด้วย

อันดับ 7 การชะงักงันและผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก (SDG 8)

ตลาดแรงงานเปราะบาง การจ้างงานทั่วโลกแปรผันตามเศรษฐกิจ และการเข้ามาแทนที่ของ AI ทำให้ผู้คนตกงานจำนวนมาก ผนวกกับการผันผวนของระบบภาษีทรัมป์ ทำให้ธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กกำลังล่มสลาย สวนทางกับธุรกิจสีเทา

อันดับ 8 ความขัดแย้ง และภัยสงครามระอุทั่วโลก (SDG 16)

สงครามที่ยืดเยื้อ ความเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งเป็นอุปสรรคให้หลายประเทศไม่สามารถมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ เสรีภาพสื่อมวลชนเสื่อมถอย สะท้อนถึงการขาดความโปร่งใสและธรรมาภิบาล รวมทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน และอิทธิพลของธุรกิจสีเทาขยายวงขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่สื่อที่เคยเป็นกลาง หลายสำนักก็เปลี่ยนไปตามอำนาจเงิน

อันดับ 9 การถดถอยของคุณภาพการศึกษา (SDG 4)

การเรียนรู้เรื่องความยั่งยืนยังไม่อยู่ในกระแสหลัก หลักสูตรที่เกี่ยวกับ SDG ที่สร้างคนให้เป็นประชากรโลกในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องเข้าใจเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอน การใช้ชีวิตคาร์บอนต่ำไม่เกิน 2 ตันต่อคนต่อปี และความสำคัญของ SDG ทั้ง 17 ข้อยังไม่ได้บูรณาการเข้าไปในสถานศึกษา และบางทีการใช้ AI ก็ทำให้เราไม่ต้องคิด และในระยะยาวอาจจะทำให้เราโง่ลง

อันดับ 10 พลาสติกสร้างปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ (SDG 12 )

พลาสติกยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของโลก แม้จะมีนวัตกรรมต่าง ๆ และขบวนการ reuse recycle ที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ทันการ แถมผู้บริโภคยังไม่ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พลาสติกจะใช้เวลาในการย่อยสลายหลายร้อยปี และผิวอนูที่หลุดออกไปเป็นไมโครพลาสติกจะกลับเข้าสู่วงจรชีวิต วงจรอาหาร กลับมาทำร้ายเรา ก่อให้เกิดโรคร้ายใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยเจอ

ในประเทศไทย ข่าวร้าย5 เรื่องใหญ่ ที่เป็นวิกฤติของประเทศ ได้แก่ 1. ภัยพิบัติที่เกิดจากภาวะโลกเดือด ทำลายล้างชุมชนทั่วประเทศ 2. ความเสื่อมถอยของระบบธรรมาภิบาล ทุกอย่างเป็นสีเทา และเทาเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ขบวนการยุติธรรมเสื่อมถอยสองมาตรฐาน ผนวกกับวิกฤติทุจริต ประพฤติมิชอบขยายวงทุกวงการ 3. การไม่เอาจริงกับการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรายังคงปล่อยให้ทุกคน ทุกองค์กรปล่อยคาร์บอนกันอย่างเสรี ไม่เอาจริง ไม่มีมาตรการเด็ดขาด ไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ 4. เศรษฐกิจตกต่ำ หนี้สินครัวเรือนที่พุ่งสูง ซ้ำเติมด้วยภัยพิบัติ สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้นในสังคม เพิ่มความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ 5. วิกฤติภาวะผู้นำด้านความยั่งยืน ถึงแม้เราเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศบ่อยครั้ง แต่แทบไม่มีผู้นำคนใดประกาศเอาจริงเรื่องความยั่งยืนเลยสักคน ทำให้เหล่าข้าราชการไม่เอาจริงตามไปด้วย แม้ผู้นำภาคธุรกิจจะพยายามเพียงใดก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ในสังคม เรายังคงรอผู้นำ ที่ประกาศเอาจริงกับความยั่งยืน

โดยสรุปแล้วเราถูกถาโถมด้วยข่าวร้ายตลอดทั้งปี แม้จะมีความพยายามเพียงใดในปีที่ผ่านมา แต่โลกของเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกำลังห่างไกลจากเส้นชัยปี 2030 อย่างน่าเป็นห่วง

เราฟังแต่ข่าวร้ายซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งปี 68 ในข่าวร้ายก็ยังมีข่าวดี

นี่คือ 10 ข่าวดี ที่เสียงไม่ดัง ด้านยั่งยืนในปี 2568

1. ไฟฟ้าเปลี่ยนไป สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ (SDG 7) กว่า 90% ของประชากรโลก สามารถเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าได้แล้ว ที่สำคัญพลังงานที่เกิดขึ้นใหม่ในปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก ถือเป็นเทรนด์ใหม่

2. เทคโนโลยี และ AI สร้างความก้าวหน้าให้ SDG (SDG 9) ปีนี้ AI มาแรง ผู้คนทั่วโลกใช้งานได้อย่างก้าวกระโดดช่วยงาน SDG ทุกข้อ เชื่อมโยงผู้คนหลายพันล้านคนเข้ากับโอกาสทางการศึกษา การทำงาน และเศรษฐกิจดิจิทัล

3. เด็กอัลฟา และเบต้า มีการศึกษาดีขึ้น (SDG 4) เด็กด้อยโอกาสได้เข้าสู่ระบบโรงเรียนมากขึ้น และอัตราการเรียนจบในทุกระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเหลื่อมล้ำทางเพศในการศึกษา เด็กผู้หญิงได้เรียนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

4.สตรีมีบทบาทด้านการพัฒนาเพิ่มขึ้น (SDG 5) ปัจจุบันสตรีครองที่นั่งในรัฐสภาทั่วโลก 27% เป็นสัญญาณบวกของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ยั่งยืนและการตัดสินใจทางการเมือง รวมถึง CEO หญิงในภาคธุรกิจก็มีมากขึ้นเช่นกัน

5.ระบบสาธารณสุขทั่วโลกดีขึ้นแบบก้าวกระโดด (SDG 3) อัตราการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดลดลงมาก สุขภาวะของแม่และเด็กดีขึ้น การติดเชื้อ HIV รายใหม่ลดลงมาก การป้องกันมาลาเรียมีประสิทธิภาพ โรคอุบัติใหม่มีวัคซีนควบคุมได้รวดเร็วขึ้น และผู้คนทั่วโลกมีคุณภาพชีวิต และสุขภาวะดีขึ้น

6.Gen Z ชุดแรกเริ่มเข้าสู่ระบบแรงงานเต็มรูปแบบ (SDG 8) คนเจนนี้แม้จะสร้างความปวดหัวให้เหล่า HR แต่พวกเขากำลังช่วยองค์กรต่าง ๆ เร่งเครื่องความยั่งยืน เพราะมันกระทบอนาคตของพวกเขารวมถึงน้องอัลฟา เบต้าที่จะตามมา

7.ความร่วมมือระดับโลกที่เข้มแข็งในการขับเคลื่อน SDGs (SDG 17) 190 ใน 193 ประเทศสมาชิก UN ได้นำเสนอแผนปฏิบัติการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Voluntary National Review - VNR) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นระดับนโยบายของรัฐบาลทั่วโลก

8.ข้อตกลงเพื่อคุ้มครองความหลากหลายทางทะเลที่มีผลบังคับใช้ (SDG 14) มีการให้สัตยาบัน ข้อตกลงว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตอำนาจศาลแห่งชาติ (BBNJ Agreement) ในปี 2025 เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้รัฐสามารถปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลได้อย่างยั่งยืน และอนุรักษ์แหล่งอาหารที่สำคัญที่สุดของมนุษย์

9.คุณภาพข้อมูลเพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้น (SDG 17) ระบบข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับ SDG มีคุณภาพแม่นยำ ทำให้ประเทศต่าง ๆ สามารถร่วมมือทำงาน ติดตาม วัดผลความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ

10.การเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืน (SDG 12) ธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ใส่ความยั่งยืน ESG เข้าไปเป็นมาตรฐานการดำเนินธุรกิจแล้ว ไม่ทำไม่ได้ มีกฎระเบียบและกลไกคอยตรวจสอบดูแล ปีที่ผ่านมา บริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก SME ที่เป็น Supply Chain ของบริษัทใหญ่ ๆ ต้องปรับตัวให้ได้มาตรฐานเดียวกัน การปรับตัวขององค์กรธุรกิจทั่วโลกน่าจะเป็นข่าวดีที่สุดที่จะทำให้โลกของเราดีขึ้น เราจะมีสินค้า และบริการให้คนหลายพันล้านคนใช้ โดยไม่ทำร้ายโลก เราจะใช้ทรัพยากรน้อยลง ใช้แบบหมุนเวียน เพื่อเหลือไว้ให้ลูกหลานของเรามีใช้ในอนาคต และหวังว่าภาคธุรกิจจะเร่งการปลดปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ในเร็ววัน

ข่าวดีเหล่านี้ โดนข่าวร้ายกลบไปตลอดปี แต่เรายังมีความหวัง ในปี 2569 เราต้องคิดบวก รีบทำสิ่งดี ๆ เพื่อรักษาโลกใบนี้ไว้.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...