“ปิดช่องคานม้า-ยึดเนิน 225” เผด็จศึกกัมพูชา สถาปนาอำนาจรัฐไทย
นักรบไทยประกาศศักดา ยึดเนิน 225 ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของปราสาทตาควายเรียบร้อยแล้ว แม้ขณะนี้จะยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติการทหารต่อเนื่อง ในการตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุง หากเขมรจะส่งกองกำลังเข้าถึงเนิน 350 และปราสาทตาควาย ควบคู่กับการปิดช่องคานม้า ตัดขาดเส้นทางขึ้นปราสาทพระวิหาร สกัด “กัมพูชา”ภัยคุกคามที่พยายามรุกคืบเบียดบังเข้ายึดแผ่นดินไทย ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หากพลิกแผนที่ 7 จังหวัด สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีษะเกษ อุบลราชธานี สระแก้ว ตราด จันทบุรี 16 แนวรบชายแดนด้านพระวิหารและตาพระยา พื้นที่ปฏิบัติการสามเหล่าทัพ กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ โดยเฉพาะพื้นที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 1 ทหาร ทหารพรานและตชด. สามารถควบได้เกือบเบ็ดเสร็จแล้ว ตั้งแต่ ภูมะเขือ ช่องสายตะกู, ช่องคนา ,ปราสาทตาควาย, ช่องจอม, ช่องระยี ,ช่องสะงำ, ซำแต โดนตรวล, ภูผี-สัตตะโสม ,พนมประสิทธิโส ช่องตาเฒ่า ห้วยตามาเรีย ช่องบกและช่องอานม้า
เช่นเดียวกับเขตชายแดนพื้นที่บ้านคลองแผง อ.ตาพระยา, หนองหญ้าแก้ว-หนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และพื้นที่บ้านชำราก ,บ้านหนองรี จ.ตราด ซึ่งกองทัพภาค 1 และนาวิกโยธิน เข้าร่วมปฏิบัติเชิงลึกจนสามารถยึดคืนพื้นที่อธิปไตยทั้งทางบกและทะเล ตลอดการสู้รบ 18 วัน มีทหารกล้าพลีชีพไปแล้ว 23 นาย เสียขาที่ 9 ในพื้นที่ตาควายวันนี้ ( 25 ธ.ค.) ยังไม่รวมผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งตชด.ทหารและพลเรือนอีกจำนวนไม่น้อย
ส่วนฝั่งข้าศึก นอกจากกำลังพล สรรพกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สูญเสียหนัก และพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ถูกนักรบไทยทวงคืนอธิปไตย ทั้ง ภูมะเขือ ตาควาย ช่องอานม้า แล้ว อาคารกาสิโน6 แห่งตามแนวชายไทยแดน-กัมพูชา อาคารศูนย์สแกมเมอร์ ศูนย์ควบคุมคอลเซ็นเตอร์ ในหลายจุด กองทัพไทยได้เข้าถล่มจนราบคาบ ล่าสุด “สแกม เซ็นเตอร์” (Scam Center) ศูนย์หลอกลวงออนไลน์ขนาดใหญ่ ตรงข้ามช่องตาติ ที่เขมรใช้เป็นที่ตั้งทางทหารและถูกทลายไปเช่นเดียวกัน
แม้ความพยายามกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาสงบศึก-หยุดยิง เคยเกิดขึ้นในสงครามรอบแรก แต่ก็ไม่ได้ข้อยุติ เพราะ “สันติภาพ”ของเขมรไม่เคยมีอยู่จริง จนเข้าสู่รอบเจรจาทวิภาคี (GBC) ในระดับเลขานุการ เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2568 กัมพูชาส่ง พล.ต. แญม โบราเดน รองหัวหน้าสำนักงานรมว.กลาโหมกัมพูชา เข้าพบ พล.อ.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว รองเสนาธิการทหาร ที่ด่านถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี และนัดคุยกันต่อระหว่างวันที่ 25-27 ธ.ค.นี้ เพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหาและยุติสงคราม
มีสัญญานเจรจา แต่ยังไม่มี “สัญญา” หยุดยิง ทำให้ “ยุทธการศตวรรษ”ต้องตอบโต้ต่อเนื่อง หลังช่วงค่ำวันที่ 24 ธ.ค.จนถึงเช้าตรู่วันที่ 25 ธ.ค. กัมพูชา ยังไม่หยุดโจมตีพื้นที่เป้าหมายแนวรบพระวิหาร ทั้งปราสาทตาควายและตาเมือน ส่วนแนวรบตาพระยา ชายแดนสระแก้ว ทหารเขมรใช้จรวด BM-21 ยิงเข้ามาที่บ้านคลองแผง รวม 40 นัด ทำให้บ้านเรือนราษฎรซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหาร ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง ทั้งพื้นที่การเกษตร ระบบสาธารณูปโภค ถนนในหมู่บ้าน
“แสดงให้เห็นว่า กัมพูชาไม่ได้มีเจตนา ที่จะยุติความขัดแย้งนี้ และเจตนาที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างร้ายแรง” เพจกองทัพภาคที่ 1 ระบุ
พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก กล่าวว่า กองทัพยังเดินไปตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งขั้นตอนต่อไปเหลืออีกเพียงบางส่วน ซึ่งในพื้นที่ปฏิบัติการจะดำเนินการให้แล้วเสร็จ เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ขณะนี้ได้ทำลายไปหลายส่วน กำลังที่อยู่บริเวณเขตอธิปไตยของเรา ตอนนี้ทำได้ 90% แต่ในพื้นที่ทางลึก ยุทโธปกรณ์ที่เขามีอยู่ก็ยังมีอีกจำนวนมาก คิดว่าเราทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้เป็นที่น่าพอใจ
ส่วนการที่กัมพูชาสงวนคำพูดหลบเลี่ยง ที่จะประกาศหยุดยิงก่อน โดยใช้วิธีการให้ไทยและกัมพูชา ประกาศหยุดยิงพร้อมกัน พล.อ.ชัยพฤกษ์ เชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาพยายามสื่อสารกับในประเทศเช่นนั้น
“ เราไม่ได้เป็นฝ่ายที่ทำให้สถานการณ์เกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้วเราต้องปกป้องอธิปไตย” พล.อ.ชัยพฤกษ์ ยืนยัน
วันนี้ (25 ธ.ค.68) เพจกองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ข้อความว่า ปฐมเหตุความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา จากกรณีพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรชายแดนปราสาทพระวิหารและดินแดนที่ไทยสูญเสียในอดีต มี 3 ประเด็น คือ1. ปฐมเหตุแห่งข้อพิพาท : คดีเขาพระวิหารข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา มีจุดเริ่มต้นสำคัญจากกรณี ปราสาทพระวิหาร เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ฝ่ายไทยในขณะนั้นเข้าร่วมกระบวนการด้วยความเชื่อว่า เป็นศาลแห่งความยุติธรรม แต่ผลลัพธ์กลับสะท้อนความเป็น “ศาลการเมืองระหว่างประเทศ” มากกว่าการพิจารณาตามภูมิประเทศจริง
คำพิพากษา ปี พ.ศ. 2505 มี 3 ประเด็นหลักคือ
1. ตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา
2. ไทยต้องถอนกำลังออกจากบริเวณตัวปราสาท
3. ไทยต้องคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปหลังปี 2497
ข้อสำคัญ “ศาล” ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน และ ไม่เคยระบุพื้นที่รอบปราสาท
2. พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็น ช่องว่างของคำพิพากษา
คณะรัฐมนตรีไทยในปี 2505 ตีความว่ากัมพูชามีสิทธิ เฉพาะตัวปราสาท ไทยจึงล้อมลวดหนามรอบปราสาทอย่างแคบที่สุด แต่กัมพูชากลับใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นฐานอ้างสิทธิ
หากยึดตามนั้น ไทยจะสูญเสียดินแดนจำนวนมาก รวมถึงรวมถึงภูมะเขือ -พลาญอินทรี- ช่องคานม้า-โบราณสถานตลอดแนวชายแดน และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในอ่าวไทย เพื่อให้เกิด “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร”
3.การใช้มรดกโลกเป็น “เครื่องมือทางการเมือง”
ช่วงปี 2549–2551 กัมพูชาพยายามนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยรวมพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แม้ไทยจะยืนยันให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะ “ตัวปราสาท”
วันที่ 7 ก.ค. 2551 UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนได้เริ่มปะทุแล้ว
4. ความรุนแรงและการรุกคืบ (2551–2554)
• ต.ค. 2551 – ปะทะบริเวณห้วยตานี–ภูมะเขือ
• เม.ย. 2552 – ภูมะเขือ–ผามออีแดง
• ก.พ. 2554 – สงคราม 4 วัน ใกล้ปราสาทพระวิหาร
• เม.ย.–พ.ค. 2554 – ปราสาทตาควาย–ตาเมือนธม
กัมพูชาดำเนินการ รุกคืบเชิงพื้นที่ อย่างเป็นระบบ สร้างชุมชน สร้างถนนคอนกรีต สร้างวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ รวมทั้งเชื่อมเส้นทางขึ้นช่องคานม้า–พลาญอินทรี–ตัวปราสาท ทั้งหมดเป็นการ ละเมิด MOU43 อย่างชัดเจน
5. คำพิพากษาตีความ ปี 2556 ไม่ได้ให้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. กับฝ่ายกัมพูชา
กัมพูชายื่นคำร้องให้ ICJ ตีความใหม่ โดยศาลโลกมีคำตัดสินว่า ไม่ยกพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชา, ภูมะเขือไม่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร แต่เห็นว่าไทยล้อมพื้นที่ชิดตัวปราสาท “แคบเกินไป”
ทั้ง นี้ศาลไม่ระบุแนวเขตที่ชัดเจนและโยนภาระให้สองประเทศเจรจาเอง
และ 6. ความจริงเชิงยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน ตลอดมา กัมพูชาใช้ทุกวิธีทั้งการแทรกซึม การตั้งฐานทหาร อ้างการลาดตระเวนร่วม ค่อยๆ ขยายพื้นที่ทีละนิด พื้นที่สำคัญที่ถูกคุกคาม คือ พลาญอินทรี, ช่องคานม้า, ห้วยตามาเรีย, ภูมะเขือด้านหน้าผา, ช่องโดนเอาว์, พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน
ฐานยิงและอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งเขาพระวิหาร ถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อกำลังพลไทย ดังนั้นภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense) และ ทำลายภัยคุกคามที่คุกคามกำลังพลและอธิปไตย และเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน คือ สถาปนาอำนาจรัฐไทยตามแผนที่ 1:50,000 ปิดช่องคานม้าตัดเส้นทางลำเลียงขึ้นปราสาทจากฝั่งกัมพูชา
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่อง “อดีต” แต่คือ สมรภูมิแห่งความทรงจำ อธิปไตย และศักดิ์ศรีของชาติ แผ่นดินที่เสียไปในอดีตไม่ได้แปลว่า เราต้องยอมเสียในปัจจุบัน
อ่านข่าว
กดดัน "ฝ่ายตรงข้าม" ให้เข้าสู่กระบวนการสันติภาพ "กลยุทธ์" กองทัพเรือ
ทวงคืน “มาตุภูมิ” ลิดรอนฤทธิ์ “ตระกูลฮุน” ภัยคุกคามความมั่นคง
“ปิดช่องคานม้า-ยึดเนิน 225” เผด็จศึกกัมพูชา สถาปนาอำนาจรัฐไทย