โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

"ปลิดชีพวันทอง" ในเสภาขุนช้างขุนแผน ดูหลักฐานแง่พัฒนาการและเทียบสำนวนแต่ละฉบับ

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 11 ต.ค. 2564 เวลา 08.38 น. • เผยแพร่ 11 ต.ค. 2564 เวลา 08.38 น.
“ขุนแผนพานางวันทองลงเล่นน้ำในป่า” จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ที่ระเบียงคดรอบวิหารหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี เขียนโดย เมืองสิงห์ จันทร์ฉาย

…แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเสภานี้ นอกเหนือจากที่ปรากฏในคำนำโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทั้ง 2 บท มีน้อยมาก คำนำเป็นผลงานการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับประวัติของเสภาที่ละเอียดที่สุด

แต่ในเนื้อเรื่องของเสภาเอง ก็มีเค้าลางต่างๆ แอบซ่อนอยู่ ซึ่งนำมาประกอบการวิเคราะห์ได้ เราได้อ่านทั้งฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และฉบับอื่นๆ คือสำนวนที่พิมพ์โดยสมิธ (พ.ศ. 2415/ค.ศ. 1872) และวัดเกาะ (พ.ศ. 2433/ค.ศ. 1890)“สำนวนเก่า” “สำนวนครูแจ้ง” และที่เขียนบนใบลานบางตอนในหอสมุดแห่งชาติ

…เราจะวิเคราะห์ให้เห็นว่าเสภาขุนช้างขุนแผนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีโครงสร้างอย่างไร สำหรับบทความตอนต่อๆ ไป จะพยายามตอบคำถาม เช่น มีพัฒนาการมาเมื่อใด ทำไมจึงต้องฆ่านางวันทอง และบทบาทของตัวละครหญิงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

คลิกอ่านเพิ่มเติม : ทำไมต้องฆ่าวันทอง? วิเคราะห์ “นางวันทองสองใจ” จริงหรือ แล้วผิดข้อหาอะไร

ข้อเสนอของเราในบทความนี้คือ เสภาขุนช้างขุนแผน ประกอบด้วย “เค้าเรื่องเดิม” และ “ภาคพิสดาร 3 ภาค”

“เค้าเรื่องเดิม” เป็นนิทานเรื่องเล่าเกี่ยวกับรักสามเส้าของสามัญชนชาย 2 หญิง 1 ที่สุพรรณฯ ภาคพิสดารทั้ง 3 ภาคเกี่ยวกับผู้คนและขุนนางที่ราชสำนักอยุธยา ความต่างระหว่างเค้าเรื่องเดิม และ “ภาคพิสดาร” สะท้อนชีวประวัติของเสภาที่เริ่มมาจากการขับร้องเพื่อเล่าเรื่องตามประเพณีพื้นบ้าน ต่อมาแพร่เข้าไปในราชสำนักจนเป็นที่นิยมและกลายเป็นวรรณกรรมที่กวีราชสำนักมีบทบาทเสริมแต่ง และชำระ

เสภาเรื่องนี้ถือกำเนิดและพัฒนามาอย่างไร?

ผู้เขียนสันนิษฐานว่ามีพัฒนาการหลายซับหลายซ้อนครอบคลุมระยะเวลาหลายร้อยปี และเกี่ยวโยงกับนักขับเสภาและนักกวีจำนวนนับไม่ถ้วน ที่มาของเค้าเรื่องเดิมไม่ชัดเจน เพราะขาดหลักฐานหรือการจดบันทึก หลักฐานที่มีอยู่ย้อนกลับไปได้ถึงแค่สมัยรัชกาลที่ 3 เท่านั้น อย่างไรก็ตามเนื้อหาในกลอนเสภานั่นเอง มีหลายสิ่งหลายอยางที่ชี้ช่องให้เรานำมาวิเคราะห์และอุปมานความเป็นมา และยังมีหลายสำนวน ที่สามารถนำมาประกอบการพิจารณาศึกษาได้

พัฒนาการของเรื่อง

ฆ่านางวันทอง คือเหตุการณ์ที่ทำให้เสภาเรื่องนี้มีเอกลักษณ์พิเศษ คงจะต้องเป็นจุดประกายของเรื่อง และคงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

ณ จุดเริ่มต้น เรื่องเล่ารักสามเส้าที่จบลงด้วยความตายของนางวันทอง คงจะเป็นการขับเสภาซึ่งจบในคราวเดียว ต่อมานักขับค่อยๆ ขยายให้ยาวขึ้นเพราะคนนิยมและอยากฟังเพิ่มอีก จากการเปรียบเทียบสามสำนวนของเสภาตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างทำให้สามารถมองเห็นได้ว่านักขับเสภาและกวีได้ขยายเรื่องราวให้ยาวขึ้นอย่างไร

สำนวนที่เราคุ้นเคยคือฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ[1] หรือฉบับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2459 และ พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1916 และ ค.ศ. 1917) ซึ่งเป็นตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างที่ยาวที่สุด ค่อนข้างจะแน่นอนว่ารัชกาลที่ 2 ทรงแต่ง จะเรียกฉบับนี้ว่าสำนวนที่ 3

อีก 2 สำนวนรู้จักกันในนาม “สำนวนเก่า” น่าจะแต่งก่อนสมัยรัชกาลที่ 2 แยกเป็นสำนวนที่ 1 และสำนวนที่ 2[2] ทั้งสองสำนวนในฉบับพิมพ์ที่ตกทอดมาไม่สมบูรณ์ ผู้เขียนสันนิษฐานว่า สำนวนที่ 1 เป็นต้นแบบของสำนวนที่ 2 และสำนวนที่ 2 เป็นต้นแบบของสำนวนที่ 3

สำนวนที่ 1 เล่าเรื่องแบบง่ายๆ ขุนแผนคิดถึงนางวันทอง ขี่ม้าไปบ้านขุนช้าง กระโจนขึ้นเรือน พบนางแก้วกิริยานอนหลับ เข้าโอ้โลม นางแก้วกิริยาเบี่ยงบ่ายแต่พองาม มีการบรรยายบทอัศจรรย์ ขุนแผนอำลานางแก้วกิริยาแล้วเดินไปหาห้องนางวันทอง พบม่านวันทองม่านแรก สำนวนนี้ไม่สมบูรณ์จึงจบลงตรงนี้

สำนวนที่ 2 ซึ่งไม่สมบูรณ์เช่นกัน เล่าเรื่องเดียวกัน แต่แตกต่าง 3 ประการ คือ

1. เมื่อขุนแผนขี่ม้าใกล้ถึงรั้วบ้านขุนช้าง พบกับนางพรายที่ขุนช้างเลี้ยงไว้ และพูดเล่นเจรจากับนางพรายอยู่สักพัก

2. เมื่อขึ้นบ้านขุนช้างแล้ว ขุนแผนเห็นกระถางต้นไม้และอ่างปลาบนชานเรือน จึงบรรยายสิ่งที่พบเห็น และเมื่อเข้าห้องนางแก้วกิริยา ขุนแผนก็บรรยายรูปลักษณ์ของนางและของแต่งห้องโดยละเอียด

3. บทโอ้โลมนางแก้วกิริยายาวกว่าในสำนวนที่ 1 และบทอัศจรรย์ก็ยาวกว่า เพราะว่านางไม่ยอมให้ขุนแผนผละไปได้ง่ายๆ

โดยย่อ สำนวนที่ 2 นี้ กวีใช้แกนเรื่องเดียวกัน แต่เพิ่มบทสนทนา (กับนางพรายกับนางแก้วกิริยา) และมีบทบรรยายชมต้นไม้บนชานเรือน ชมนางและเครื่องแต่งห้องอย่างละเอียด ดังนั้นสำนวนเก่า 2 จึงยาวกว่าสำนวนเก่า 1 ประมาณ 3 เท่า

สำหรับสำนวนที่ 3 ก็ต่างไปอีก ไม่มีพล็อตเรื่องใหม่ และโดยรวมก็สั้นกว่า ที่ต่างมากๆ คือ การใช้ภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบรรยายกระถางต้นไม้ ดอกไม้ และอ่างปลา ในสำนวนเก่า[2] ถูกแทนที่ด้วยบทที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งขึ้นต้นด้วยกลอน “โจนลงกลางชานร้านดอกไม้…” (ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ เล่ม 2 ตอนที่ 17 น. 33)

เมื่อเปรียบเทียบสามสำนวนดังที่บรรยายมาทำให้เห็นว่า นักขับเสภาและนักกวีค่อยๆ ทำให้เสภาขุนช้างขุนแผนยาวขึ้นได้อย่างไร? ขณะที่เก็บแกนของเรื่องไว้คงเดิม โดยนักขับเสภาคนหนึ่งเพิ่มพล็อต อีกคนเติมบทสนทนา อีกคนเพิ่มคำบรรยายให้วิจิตรบรรจงขึ้น อีกคนปรับปรุงภาษาให้สละสลวย

ผู้เขียนคาดเดาว่าบทเสภาที่ขับจบในคราวเดียวมีองค์ประกอบสำคัญที่เป็นแกนของเรื่องคือ พลายแก้วพบนางพิมพ์ ไร่ฝ้าย พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ บทหึง พาวันทองหนี อยู่ป่า คดีความ ฆ่านางวันทอง

ต่อมานักเสภา นักกวี ขยายแต่ละตอนออกไปเมื่อพบว่าคนนิยมฟัง คล้ายกับที่ทำกับละครทีวีขณะนี้ (สิงหาคม 2561 – กองบก.ออนไลน์) ละครที่มีผู้นิยมมากได้รับการสร้างใหม่หลายครั้ง (เช่น ดาวพระศุกร์ บ้านทรายทอง ฯลฯ) ผู้สร้างใหม่คงไม่อาจทำให้เหมือนเดิมเต็มที่ต้องปรับเปลี่ยนบ้างให้ถูกใจคนดู แม้จะคงแกนเรื่องเดิมเอาไว้

แน่นอนว่า นักเสภามีหลายคน หลายคณะ แต่ละเจ้าก็ปรับปรุงสำนวนของตัวให้แตกต่าง ดังนั้นจึงมีหลายสำนวนเป็นคู่ขนานกันไป ผลคือเราอาจจะจินตนาการถึงวิธีการเพิ่มเรื่องให้ยาวขึ้นอีกแบบหนึ่ง ตัวอย่างคือ ตอนที่ 14 ขุนแผนบอกกล่าว เริ่มแรกตอนนี้น่าจะเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของ ตอนที่ 17 และ 18 ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง และขุนแผนพานางวันทองหนี จุดเริ่มคล้ายกัน คือ ขุนแผนคิดถึงนางวันทอง ขี่ม้าไปเรือนขุนช้าง และกระโจนขึ้นบนชานเรือน แต่ตอนที่ 14 นี้จบแปลกไม่สมเหตุสมผล หลังจากที่ขุนแผนแกล้งขุนช้าง วันทอง และข่มขู่มารดาของทั้งสอง ก็ผลุนผลันออกไปจากบ้านขุนช้างกลับไปกาญจนบุรีเสียเฉยๆ เป็นไปได้ว่าอาจจะเคยมีสำนวนที่กวีเล่าเรื่องต่อไปจนถึงพานางวันทองหนี

ทั้งนี้พบว่า บทตัดพ้อระหว่างขุนแผนกับวันทองในตอนท้ายของตอนบทที่ 14 คล้ายๆ กับบทตัดพ้อก่อนบังคับให้วันทองหนีตามไปด้วยในตอนบทที่ 17 เป็นไปได้ว่านักกวีเล่าเรื่องตอนพานางวันทองหนีเป็นสองสำนวนขนานกันไปหรือมากกว่านั้น คนฟังชอบสำนวนที่มีแก้วกิริยา แต่อีกสำนวนก็น่าฟังตรงที่มีเรื่องชวนหัวเมื่อขุนแผนแกล้งขุนช้าง และมารดาทั้งสอง นักเสภาจึงเก็บไว้ทั้งสองสำนวน โดยตัดส่วนหลัง (พาหนี) ออกไป แล้วย้ายที่เหลือเอาไปไว้ก่อนหน้า

ด้วยกระบวนการต่างๆ ดังที่บรรยายมา การขับเสภาเล่าเรื่องซึ่งเริ่มแรกคงจะขับจนจบในคราวเดียว ก็ขยายเป็นหลายตอน แต่ละตอนสามารถขับเป็นเสภาได้แยกเป็นอิสระจากกัน เพราะว่าคนทั่วไปรู้เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบอยู่แล้ว…

“เค้าเรื่องเดิม” คืออะไร?

เราคิดว่าคือตอนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครเอก 3 ตัว ขุนช้าง ขุนแผน นางวันทอง สถานที่คือสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี บทอวสานคือฆ่านางวันทอง เรามีข้อสันนิษฐานว่า แก่นของเค้าเรื่องเดิมไม่มีเรื่องราวของลูกขุนแผน คือไม่มีเรื่องพระไวย พลายชุมพล และไม่มีเรื่องศึกเชียงไหม่ ในฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ “เค้าเรื่องเดิม” นี้คือ ตอนที่ 1-23 และตอนที่ 35-36 ส่วนอื่นๆ เข้าใจว่าเป็นภาคพิสดารทั้งหมด…

สรุป

เสภาขุนช้างขุนแผนได้รับการชำระ จัดพิมพ์เป็นหนังสือรวมเป็นเรื่องเดียวกันมานานกว่า 100 ปี เราจึงมีภาพว่าขุนช้างขุนแผนก็เหมือนกับหนังสือเล่มอื่นๆ ตรงที่มีเนื้อหาที่ตายตัวและชัดเจน เปลี่ยนไม่ได้ แต่ช่วงหลายร้อยปีแรกของชีวประวัติ ขุนช้างขุนแผนเป็นเสภาที่มีความยืดหยุ่น มีพลวัตประหนึ่งต้นไม้ที่งอกจากเมล็ด เริ่มผลิใบเป็นต้นอ่อนแล้วค่อยๆ เจริญขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ฉันใดก็ฉันนั้น

เท่าที่ผ่านมา ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเสภาขุนช้างขุนแผน มักมองงานทั้งหมดเป็นองค์รวมหนึ่งเดียว แต่ผู้เขียนคิดว่าเราจะเข้าใจวรรณกรรมนี้ได้ง่ายขึ้น หากเราแยกองค์ประกอบของการเรียบเรียง และวิเคราะห์ด้วยความตระหนักถึงว่าในช่วงชีวิตที่ยาวนานของเสภานี้ นักเสภาและนักกวีหลายคนได้มีส่วนปรับเปลี่ยนวรรณกรรมไปอย่างไร? และภายใต้กระบวนการเช่นไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตระหนักว่าเสภาขุนช้างขุนแผนมีชีวิตในวัยเด็กเกี่ยวโยงกับนักขับร้องเรื่องเล่าพื้นบ้านให้ชาวบ้านฟัง และเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ได้ไปเกี่ยวโยงกับประเพณีของการละครการอ่านในราชสำนัก จนทำให้กลายเป็นงานวรรณกรรมที่ซับซ้อนขึ้น

 

หมายเหตุ: คัดเลือกเนื้อหามาบางส่วนจากบทความเดิมที่ใช้ชื่อ “ชีวประวัติของเสภาขุนช้างขุนแผน (๑) พัฒนาการของเรื่อง” โดย คริส เบเคอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร (chrispasuk@gmail.com) เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนสิงหาคม 2561

เชิงอรรถ

[1] คือเสภาขุนช้าง-ขุนแผน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ เล่ม 1 ถึง 3 หนังสือชุดภาษาไทยของคุรุสภา พิมพ์หลายครั้ง ฉบับที่ใช้ในบทความนี้ คือ พ.ศ. 2546

[2] ทั้งสองสำนวนเก่านี้พิมพ์อยู่ในเล่มเดียวกัน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2468 (1928) และพิมพ์ใหม่อีก 2 ครั้ง ใน พ.ศ. 2533 (1990) และ 2541 (1998) ดู โชติช่วง นาดอน และครูเสภานิรนาม ขุนช้าง-ขุนแผน ฉบับย้อนตำนาน สำนักพิมพ์พลอยตะวัน

[3] พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเล, ห.จ.ก. สามลดา, 2545, น. 68-72.

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไน์ครั้งแรกเมื่อ 21 เมษายน 2564

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...