โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“พาณิชย์” เปิดผลงาน Quick Big Win 7 ด้าน คาดสร้างมูลค่าศก.ปี 69 กว่า 9.2 หมื่นล้านบาท

The Better

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • THE BETTER
“พาณิชย์” เปิดผลงาน  Quick Big Win 7 ด้าน ช่วง 2 เดือนแรก ลุย 20 โครงการ 80 กิจกรรม คาดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจปี 69 ให้ประเทศกว่า 92,000 ล้านบาท พร้อมช่วยเหลือ-เยียวยา-ฟื้นฟู น้ำท่วมใต้

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงส่งท้ายปีว่า ขณะนี้กระทรวงฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับภารกิจในการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระดมส่งถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นกว่า 5,000 ชุด ลงพื้นที่ทันที ระยะเยียวยา (ธ.ค. 68 - ม.ค. 69) ที่ผนึกกำลังผู้ประกอบการลดราคาสินค้า สินค้าวัสดุก่อสร้างลดสูงสุด 88% สินค้าอุปโภคบริโภคลดสูงสุด 50% และค่าซ่อมแซมยานพาหนะลดสูงสุด 18% และระยะฟื้นฟู ที่มุ่งสร้างอาชีพ ส่งเสริมโอกาสทางการค้าผ่านแฟรนไชส์ราคาประหยัด ให้คำปรึกษาและช่วยเข้าถึงเงินทุน และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) พร้อมเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้า และจัดงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้เศรษฐกิจในพื้นที่กลับมาเข้มแข็งโดยเร็วที่สุด

ในขณะที่เราทุ่มเทดูแลทุกข์สุขของพี่น้องผู้ประสบภัยอุทกภัยภาคใต้ ภารกิจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศก็ต้องเดินหน้าควบคู่กันไป ภายใต้ 7 นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ ให้กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว สร้างรากฐานให้ประเทศ ซึ่งสอดรับกับ 5 เสาหลักทางเศรษฐกิจของรัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กระทรวงพาณิชย์มีผลการดำเนินงานในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 1 ต.ค. 68) ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้กว่า 6 ล้านครัวเรือน และเสริมแกร่งผู้ประกอบการไปแล้วกว่า 32,000 ราย ให้ยืนหยัดได้ท่ามกลางความท้าทาย

สำหรับผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในรอบ 2 เดือน ของ 7 นโยบาย Quick Big Win มีดังนี้

นโยบายที่ 1 ดูแลค่าครองชีพประชาชนดำเนินการเชิงรุกผ่านโครงการร้านยา “สุขกาย สบายกระเป๋า” ร่วมกับ รพ.เอกชนและร้านขายยารวมกว่า 3,890 แห่ง เปิดเผยราคายาเพื่อทางเลือกที่คุ้มค่าแก่ประชาชน ลดค่าครองชีพกว่า 5,400 ล้านบาท คาดตลอดโครงการช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนกว่า 33,500 ล้านบาท การจัดมหกรรม “ธงฟ้าราคาประหยัด” ลดสูงสุด 40% จัดแล้ว 102 ครั้งทั่วประเทศ “มหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด” ลดค่าครองชีพ 750 ล้านบาท เปิดตัวแบรนด์ “ข้าวโอชา” ข้าวสารราคาถูก และจัดงาน “รวมพลังห้างท้องถิ่น ลดยิ่งใหญ่ ไทยช่วยไทย” (Local Low Cost) ให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่งพลัส และประชาชนทั่วไป ซื้อสินค้าราคาพิเศษลดสูงสุด 60% ได้ที่ห้างค้าส่ง-ค้าปลีกท้องถิ่นทั่วประเทศ 101 แห่ง 800 สาขา ทั่ว 77 จังหวัด นโยบายการดูแลค่าครองชีพ ตลอดระยะเวลา 2 เดือน ช่วยลดค่าครองชีพรวมมากกว่า 6,150 ล้านบาท
นโยบายที่ 2 รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ขับเคลื่อนกลยุทธ์ “ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้” จัดงานธงเขียวราคาประหยัด “ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว” 10 จังหวัด ลดต้นทุนเกษตรกรไปแล้วกว่า 21 ล้านบาท พร้อมออกมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งสินเชื่อชะลอการขาย ชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อก ส่งเสริมการผลิตและแปรรูป และเพิ่มช่องทางการตลาด ตลอดจนเร่งเจรจาขายข้าวผ่านการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) กับสิงคโปร์ 1 แสนตัน เป็นจุดเริ่มต้น Food Security Hub และเร่งส่งมอบข้าว G to G กับจีน 5 แสนตัน รวมถึงรักษาตลาดข้าวไทยที่เป็นอันดับ 1 ในฮ่องกง พร้อมบุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ทั้งซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ล่าสุดมีออเดอร์มันสำปะหลังอัดเม็ด 30,000 ตัน จากบริษัท ARASCO ของซาอุฯ และอาจสั่งอีก 100,000 ตันในปีหน้า พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร นำร่องเศรษฐกิจข้าวยุคใหม่ “New Rice Economy” จับมือทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน เกษตรกร TDeD Rice Hub มุ่งสู่ “ข้าวประณีต” ขับเคลื่อนข้าวไทยสู่ตลาดเฉพาะทาง เพิ่มมูลค่าแทนการแข่งขันด้านราคา และให้เกษตรกรปลูกพืชเกษตรศักยภาพอื่น ในลักษณะให้ริเริ่มทดแทนบางส่วนตามความพร้อมซึ่งมีตลาดรองรับ

นโยบายที่ 3 เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs มุ่งแก้ Pain Point ธุรกิจ เรื่องทุน ช่องทางตลาด และทักษะดิจิทัล ผนึกกำลัง SME D Bank สร้างมาตรฐานให้แฟรนไชส์และปล่อยสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์นำร่อง 8 แบรนด์ วงเงินกว่า 439 ล้านบาท พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าชุมชนด้วยการขึ้นทะเบียน GI ใหม่ 4 รายการ ได้แก่ ทุเรียนชุมพร กกเหล่าพัฒนา (นครพนม) ไก่เบตงยะลา และผ้าทอนาหมื่นศรี (ตรัง) ส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านโครงการ SMEs Pro-active สร้างมูลค่าการค้ากว่า 179 ล้านบาท ส่งเสริมสินค้าอัญมณีผ่านงาน “Bangkok Jewelry Week 2025” และงาน“เทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2025” คาดสร้างรายได้รวมกว่า 150 ล้านบาท รวมทั้งเปิดจุดจำหน่ายสินค้าโดยพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน นอกจากนี้ ยังเร่ง “Upskill Reskill” ผู้ประกอบการยุคดิจิทัล พัฒนาผู้ประกอบการค้าออนไลน์ร่วมกับพันธมิตร (เช่น META Facebook และ Line) DBD Academy อบรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา และอบรม AI โดยได้อบรมผู้ประกอบการแล้วรวมกว่า 32,000 ราย

นโยบายที่ 4 ดูแลเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทันทีผ่านงาน “ธงฟ้าชายแดน” ช่วยลดค่าครองชีพและเยียวยาประชาชนในจังหวัดชายแดนไปแล้วกว่า 24 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว “ชิม ช้อป เชียร์ by MOC” ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำสินค้าจาก 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด) มาจำหน่ายช่วงมหกรรมซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ ควบคู่กับการทำ E-Catalog ประชาสัมพันธ์สินค้าเด่น 7 จังหวัดชายแดน และดำเนินโครงการ “ไปรษณีย์ ขนส่งฟรี” สนับสนุนค่าขนส่งให้ผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดน ช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์และกระตุ้นการค้าขายชายแดน

นโยบายที่ 5 รับมือภาษีสหรัฐฯ และการเบี่ยงเบนทางการค้าจากประเทศอื่นๆ โดยเดินหน้าเจรจาความตกลง Reciprocal Trade กับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง นัดหมายจับคู่กิจกรรม Online Business Matching แล้ว 45 คู่ คาดสร้างมูลค่าการค้า 360 ล้านบาท เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ จากความได้เปรียบของอัตราภาษี Reciprocal Tariff และเพิ่ม Local Content ไทย สร้างโอกาสใหม่ในตลาดสหรัฐฯ (RVC-UP) โดยพัฒนาระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้านำ AI มาช่วยตรวจสอบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งอบรมผู้ประกอบการให้เพิ่มการใช้ Local Content หรือวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศไทย และกวาดล้างธุรกิจนอมินี ประสาน ปปง. สตช. DSI ลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจเป้าหมายและดำเนินการกับผู้กระทำความผิด และเตรียมให้ของขวัญปีใหม่มิจฉาชีพ 4 คำสั่ง 2 ประกาศ เพื่อสร้างมาตรฐานการค้าที่โปร่งใสและเป็นธรรม ป้องกันปราบปรามบัญชีม้า
นโยบายที่ 6 การเจรจา FTA และบุกตลาดใหม่ กระทรวงพาณิชย์ “เร่งเครื่อง” เปิดประตูการค้าโลกเต็มสูบ ผลักดันการบังคับใช้ FTA ไทย-เอฟตา ภายในครึ่งปีแรกของปี 69 เป็นบันไดขั้นสำคัญในการเข้าอียู พร้อมเร่งเจรจา FTA ไทย-อียู ให้คืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสแรกของปี 69 และเดินหน้าเจรจา CEPA ไทย-เกาหลีใต้ รวมทั้งเร่งจัดสัมมนาผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์ FTA ให้แก่ผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังดำเนินโครงการ “Special Task Force” บุก 4 ตลาดศักยภาพใหม่ (ซาอุดีอาระเบีย เวียดนาม อินเดีย จีน) คาดสร้างมูลค่าการค้า 350 ล้านบาท ล่าสุด ได้สั่งการทูตพาณิชย์ 9 แห่งในจีน ให้เร่งเจาะ 5 กลุ่มสินค้าสำคัญ (สินค้าเกษตรและอาหารสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม สินค้ารักษ์โลก และสินค้านวัตกรรมและดิจิทัลคอนเทนต์) เพื่อรองรับกำลังซื้อจากชนชั้นกลางจีนที่กำลังขยายตัวจาก 400 เป็น 800 ล้านคน พร้อมกันนั้น ยังเร่งรัดจัดกิจกรรม Trade Promotion ในต่างประเทศ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ทั่วโลก สร้างมูลค่าการค้าแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท

นโยบายที่ 7 พัฒนาเทคโนโลยีการให้บริการ ปรับปรุงกฎระเบียบ และลดขั้นตอนราชการ โดยยกระดับการให้บริการดิจิทัล อาทิ Dashboard ข้าว Early Warning ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปี เพื่อประเมินความเสี่ยงผลผลิตล้นตลาด ปัจจุบันพร้อมใช้งานแล้ว และจะใช้กับพืชเกษตรอื่นต่อไป พัฒนาระบบให้บริการ “MOC Plus” ใช้ AI เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะให้คำปรึกษาและบริการออนไลน์ ภายใน พ.ค.69 พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับออกใบอนุญาตสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items: DUI) เชื่อมโยง e-Service กับแอปทางรัฐ (อาทิ บริการขออนุญาตประกอบการค้าข้าว) ภายใน ธ.ค.68 พัฒนาระบบการส่งข้อมูลแบบบูรณาการ e-One Report ร่วมกับ ก.ล.ต. และ SET เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการนำส่งเอกสาร พร้อมเร่งปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อดูแลประชาชน และอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้คล่องตัวเช่น กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืนฯ ของบริษัทมหาชนจำกัด กฎกระทรวงการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศ และออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า(EV Charger) ให้ถูกต้องเที่ยงตรง เป็นต้น

“จากความสำเร็จในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์พร้อมเดินหน้า Next Step ต่อเนื่องทันที โดยในช่วง 2 เดือนข้างหน้า (ธ.ค. 68 - ม.ค. 69) จะจัดมหกรรมลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ข้ามปี 1 เดือนเต็ม และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจชายแดน จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และเจรจาตลาดใหม่ อาทิ อินเดีย รัสเซีย แคนาดา เข้าร่วม WEF (The World Economic Forum) 2026 พบปะภาครัฐและเอกชนชั้นนำของโลก เร่งเครื่องกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศรวมมากกว่า 20 กิจกรรม” นางศุภจี กล่าว

รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า การทำงานตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังวางรากฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยกระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า มาตรการต่าง ๆ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3.5 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.18% ของ GDP และในปี 2569 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.46% ของ GDP เป็นความตั้งใจของกระทรวงที่จะผลักดันให้ได้ ซึ่งจะเร่งดำเนินนโยบายให้มีความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ มีเป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...