Meta เปิดยุคใหม่ ‘AI ปลอดภัย’ ดันไทยนำร่อง Meta AI ก่อนทั่วโลก
ในช่วงที่ผู้ใช้ทั่วโลกกำลังตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของปัญญาประดิษฐ์อย่างเข้มข้น ตั้งแต่การใช้ข้อมูลส่วนตัว แชทสนทนา ไปจนถึงภาพที่สร้างขึ้นโดย AI แพลตฟอร์มโซเชียลระดับโลกต่างถูกจับตาว่า ระบบของตน “ปลอดภัยพอหรือไม่?” และโปร่งใสเพียงใด การเปิดงาน “A Weekend with Meta AI x Song Wat” โดย Meta ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และสมาคมเมดอินทรงวาด เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ที่ลาน Vintage Vespa Thailand ถนนทรงวาด จึงเป็นโอกาสที่ Meta ให้คำตอบเรื่องความปลอดภัย ก่อนพาผู้ใช้เข้าสู่โลกของฟีเจอร์ AI อย่างเต็มรูปแบบ
แพร ดำรงค์มงคลกุล Country Director ของ Meta Thailand อธิบายว่า “ในเรื่องของ Data Privacy หรือว่า Safety เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับบริษัท Meta มาโดยตลอด โดยเฉพาะในการพัฒนาเกี่ยวกับ AI ข้อมูลต่างๆ ที่นำมาใช้เรียกว่าข้อมูลที่เป็น Public ทั้งหมด ไม่ได้มีการใช้ Private Information ในการที่มาใช้ในการเทรน AI”
คำอธิบายนี้สะท้อนทิศทางหลักของ Meta AI ที่ต้องการวางเส้นแบ่งชัดเจนระหว่าง “ข้อมูลสาธารณะ” และ “ข้อมูลส่วนตัว” ซึ่งเป็นความกังวลของผู้ใช้จำนวนมาก เมื่อมีคำถามว่าการสนทนาของผู้ใช้อาจถูกนำไปฝึกโมเดลหรือใช้เพื่อโฆษณาหรือไม่ ผู้บริหาร Meta Thailand ชี้แจงว่า “ในการแชท Context ที่ใช้ก็จะใช้กับแชทของเรา คือเขาจะเข้าใจเรามากขึ้นว่า ชอบอะไร แต่ว่าไม่ได้ใช้ข้อมูลตรงนั้นไปในการเก็บโฆษณา”
กล่าวคือ ข้อมูลที่พูดคุยกับ Meta AI ถูกใช้เพื่อให้คำตอบในขณะนั้นแม่นยำขึ้น แต่ไม่ถูกโยงกลับไปสู่ระบบโฆษณา ไม่ถูกนำไปฝึกโมเดลใหม่ และไม่ถูกนำไปผูกกับข้อมูลส่วนตัวรูปแบบอื่นของผู้ใช้
ระบบความปลอดภัยหลายชั้น ‘ตรวจจับ–คัดกรอง–ทดสอบช่องโหว่’
ความปลอดภัยไม่ได้จบแค่ข้อมูลที่ใช้เทรนโมเดล Meta ยังต้องรับผิดชอบต่อ “ผลลัพธ์ที่ AI สร้าง” ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อผู้ใช้ เธออธิบายว่า “Meta มีทั้ง Technology และ Expert ทำงานร่วมมือกับ Stakeholder อื่น ๆ ด้วยในการป้องกันสคริปท์คอนเทนต์ต่าง ๆ ที่อาจจะไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย จะมี System Detect ตลอดเวลาว่า คอนเทนต์ที่ Generate ด้วย AI ถ้าเกิดว่า ไม่เหมาะสม ผิด Community Standard อันนั้นก็จะถูกนำออก ไม่ได้ให้อยู่ในนั้น”
ควบคู่กัน Meta ทำ Red Teaming โดยผู้เชี่ยวชาญภายนอก เพื่อจำลองสถานการณ์โจมตีและทดสอบช่องโหว่ของ AI อย่างต่อเนื่อง
“เรามีทีมทำงานกับผู้เชี่ยวชาญข้างนอกด้วย เราเรียกว่าเป็น Red Teaming ก็คือมาใช้คล้าย ๆ Stress Test Meta AI (ทดสอบความทนทานและความปลอดภัยของระบบ AI) ของเราเลยว่ามีช่องโหว่ตรงไหนหรือเปล่าเพื่อที่เราจะทำระบบป้องกันให้ปลอดภัยมากขึ้น” แพรกล่าว
อีกประเด็นหนึ่งคือความปลอดภัยสำหรับเยาวชน แม้ Meta AI จะฝังอยู่ในแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้เป็นประจำ แต่ Meta ยังคงยึดเกณฑ์อายุขั้นต่ำ 13 ปี ระบบจะใช้ข้อมูลอายุจากบัญชีเดิมเป็นตัวกำกับฟีเจอร์ที่แสดงผล รวมถึงการคัดกรองคำถามที่อาจเสี่ยง แพรอธิบายว่า
“อย่างเช่นถ้าเกิดว่ามีคนถามคำถามที่มีความเสี่ยง ตัว Meta AI เค้าจะต้องดูคำถามนั้นแล้ว ถามแบบนี้ไม่ตอบซึ่งจะอยู่ใน Community Standard เราเรียกว่า Governance Flow” แพรอธิบาย
มาตรการเหล่านี้ทำให้ Meta ส่งสัญญาณชัดว่า AI ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อความสะดวกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสอดคล้องกับกรอบจริยธรรม ความปลอดภัย และความโปร่งใสต่อผู้ใช้
ไทยเป็นประเทศนำร่อง เพราะ “ทดลองเร็ว–สร้างสรรค์สูง–ใช้วิดีโอหนักที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก”
เมื่อระบบด้านความปลอดภัยถูกวางครบ Meta จึงเปิดประตูให้ผู้ใช้ไทยสัมผัสประสบการณ์จริง ผ่านงาน “A Weekend with Meta AI x Song Wat” ซึ่งจัดร่วมกับกรุงเทพมหานครและสมาคมเมดอินทรงวาด เปลี่ยนย่านเก่าให้เป็นพื้นที่ทดลองการใช้ AI ในชีวิตประจำวัน
แพรให้เหตุผลว่าทำไมไทยจึงถูกเลือกเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกว่า “คนไทย เราจะเป็นกลุ่มที่ Adopt Digital เร็วมาก ฟีเจอร์ภาษาไทยจะเกิดก่อนภาษาอื่น ๆ เป็นภาษาแรก ๆ ที่ได้รับการเลือกพัฒนา”
พฤติกรรมผู้ใช้ไทยโดดเด่นในสามด้านสำคัญ ได้แก่
- 1) ใช้ AI บน Social จริง – ใช้ในแชท วางแผนทริป หาข้อมูลแบบเรียลไทม์ Meta พบว่าคนไทยใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการสนทนา เช่น วางแผนทริปใน Messenger หรือใช้ให้ช่วยค้นข้อมูลในกลุ่มเพื่อน ซึ่งต่างจากหลายประเทศที่มักใช้ AI แบบตัวต่อตัว สำหรับธุรกิจ SME AI ถูกใช้เพื่อสร้างภาพสินค้า ปรับพื้นหลัง หรือแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอ ลดต้นทุนการผลิตคอนเทนต์โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง
- 2) ไทยเป็นตลาดวิดีโออันดับต้นของโลก ฟีเจอร์ Vibe และ Reels ถูกใช้มากผิดปกติ โดยเฉพาะการสร้างวิดีโอด้วยเพลงไทยและเพลงลูกทุ่ง ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้ไทย
- 3) ความสร้างสรรค์สูงและใช้ฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร คนไทยทดลองฟีเจอร์ใหม่เร็ว และใช้ในแบบที่ Meta เองก็คาดไม่ถึง จนหลายฟีเจอร์ถูกปล่อยในไทยก่อนตลาดอื่น
ด้วยเหตุนี้ แม้ Meta จะไม่เปิดเผยตัวเลขรายประเทศ แต่ไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการใช้งาน Meta AI ต่อเนื่องจากฐานผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน จากผู้ใช้ทั้งหมดราว 3.5 พันล้านคน
มีคำถามว่าธุรกิจจะยิงโฆษณาผ่าน Meta AI ได้เมื่อใด แพรตอบตรงว่า “ในเรื่องของการโฆษณายังไม่มี Intent คือให้มี Accessibility มากที่สุดก่อน” สะท้อนว่า Meta ต้องการให้ผู้ใช้จำนวนมากพอเข้าใจประโยชน์ของ AI ก่อนเดินไปสู่โมเดลสร้างรายได้
‘Song Wat’ เมื่อย่านเก่ากลายเป็นสนามทดลอง AI ของเมือง
ความร่วมมือระหว่าง Meta–กทม.–สมาคมเมดอินทรงวาด ทำให้งานครั้งนี้ไม่ใช่แค่โชว์เทคโนโลยี แต่คือการทำให้ “พื้นที่เมือง” กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ AI
งานเริ่มต้นด้วย Meta AI Song Wat Fun Run ระยะทาง 3 กิโลเมตร ที่ AI ออกแบบเส้นทางให้ผู้เข้าร่วมค้นพบเสน่ห์ของย่านเก่าในมุมใหม่ ก่อนต่อด้วยโซนสร้างสรรค์อย่าง Meta AI Playground, Lipsyncing Booth, Interactive Zone และมุมโปสการ์ด Meta AI x Sahred Toy ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า AI สามารถอยู่ร่วมกับกิจกรรมในเมืองได้จริง ไม่ใช่แค่ในหน้าจอ
แพรกล่าวถึงเป้าหมายของงานว่า “Meta มีจุดประสงค์ว่าอยากที่จะ Bring Meta AI มาเป็น real life ให้ทุกคนได้พบเจอ ได้สัมผัส ได้ลองใช้