โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ยานยนต์

พลิกเกมอุตฯยานยนต์ไทย ‘ผลิต-ส่งออก’ ไม่โตตามเป้า ชงรัฐบาลหา New S-Curve

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 18 มี.ค. เวลา 11.12 น. • เผยแพร่ 19 มี.ค. เวลา 00.09 น.
ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ

“กลุ่มไทยซัมมิท” ยักษ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ส่งสัญญาณโจทย์ท้าทายอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย “ติดกับดัก” ตัวเลขการลงทุน-การผลิต ชี้ต้องยอมรับความจริงดีมานด์ใน ปท.และส่งออกหดตัว หลังโลกเผชิญปัญหาสงครามการค้า ค่ายรถปรับทิศตั้งไลน์ผลิตใกล้ตลาดหลัก ย้ำชัดยอดผลิตรถยนต์ไทยไม่มีโอกาสกลับไปที่ 2 ล้านคันอีกต่อไป เสนอรัฐบาลสร้าง New S-Curve ของอุตฯยานยนต์ ไม่ต้องเน้นส่งเสริมลงทุนค่ายรถ แต่ต้องสร้างอีโคซิสเต็มใหม่ ๆ เพิ่ม ดึงบริษัทเทคต่อยอดยานยนต์ไร้คนขับ จับตาสงครามราคาอีวีจีน-ไฮบริดญี่ปุ่น

อุตฯยานยนต์ฝุ่นเริ่มจาง

นางสาวชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานอาวุโส กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงสถานการณ์และอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญว่า อุตสาหกรรมยานยนต์แม้ว่าฝุ่นยังไม่หายตลบ แต่ก็เริ่มจางลงไป เห็นได้ว่าค่ายรถยนต์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาจำนวนมากในช่วงก่อนหน้านี้ วันนี้ก็เริ่มเห็นมีค่ายรถที่ล้มหายตายจากกลับบ้านไปบ้างแล้ว ส่วนเจ้าที่อยู่ได้ก็มีการขยายกำลังการผลิตบ้าง คำถามคือยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะเดินหน้าต่ออย่างไร

“ขณะที่ปัจจุบันทุกคนพูดว่ายอดการผลิตรถยนต์ ยอดขายไม่ดีเกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี คำถามคือถ้าเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะดีขึ้นหรือไม่”

เพราะปัจจัยแวดล้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ เปลี่ยนไปทั้งสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ต่างปรับตัว ย้ายฐานผลิตไปยังประเทศที่ใกล้กับตลาดหลักของการส่งออกจากประเทศไทย

รวมทั้งพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรสูงวัย ที่มีความต้องการซื้อรถน้อยลง บนพื้นฐานเหล่านี้จึงเป็นคำถามว่ายอดการผลิตรถยนต์ของไทยจะกลับมาเติบโตได้หรือ

ตั้งรับมือส่งออกรถหด

“เมื่อค่ายรถยนต์ขยับไปตั้งฐานการผลิตยังประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักแล้ว อนาคตประเทศไทยยังจำเป็นที่ต่างชาติจะเข้ามาใช้เป็นฐานผลิตเพื่อการส่งออกหรือไม่ ยอดผลิตจะกลับไปเท่าเดิมได้หรือไม่ แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะกลับมาดีแล้วก็ตาม และไทยจะปรับตัวได้อย่างไร”

จากการประเมินคาดว่าปีนี้ยอดผลิตรถยนต์จะอยู่ที่ 1.5 ล้านคันเท่านั้น และจากนี้ไปเชื่อว่ายอดผลิตรถยนต์ไทยจะไม่สามารถกลับไปที่ระดับ 2 ล้านคันต่อปีได้อีก ประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกที่สำคัญแหล่งหนึ่งของโลก มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนี้อย่างไร

ฐานผลิตอีวีจีน-ไทยได้อะไร

แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะมีค่ายรถจากจีนให้ความสนใจเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานผลิตจำนวนมาก แต่สุดท้ายสิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับ คือมีการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น จำนวนค่ายรถยนต์มากขึ้น ขณะที่ต้นทุนคงที่ของผู้ประกอบการยังคงเท่าเดิม หรือเพิ่มมากขึ้น ผู้ผลิตจะต้องปรับตัวไปแข่งที่ต้นทุนการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

ส่วนที่ค่ายรถจีนเข้ามาตั้งโรงงานฐานผลิตในไทยจำนวนมาก ก็ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดโอเวอร์ซัพพลายในช่วงแรก แต่ก็เชื่อว่าสุดท้ายจะมีการปรับสมดุล สุดท้ายแต่ละค่ายก็ต้องพยายามผลิตให้เพียงพอต่อการขาย โดยไม่มีสต๊อกมากเกินไป

หากมองในแง่ของภูมิรัฐศาสตร์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยยังมีโอกาสการเป็นซัพพลายเชนสำหรับรถอีวีจีนแต่ประเด็นคือ การซื้อชิ้นส่วนของจีนไม่ได้มองค่าว่าราคาถูก แต่เขามองว่าเทคโนโลยีของไทยเทียบกับเทคโนโลยีของผู้ผลิตจีนหรือไม่ ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยมีเวลาเหลือน้อย ถ้าปรับตัวได้ก็ไปต่อได้

“ต้องให้ความยุติธรรมกับจีนด้วยว่า ไม่ใช่เขาไม่เลือกเราเพราะว่าแพง หรือจะเลือกแต่ชิ้นส่วนจีน แต่ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีการผลิตของไทย สู้ผู้ผลิตชิ้นส่วนของจีนไม่ได้”

เวลาการปรับตัวน้อยลง

ไม่เฉพาะผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น ด้านผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ก็ต้องปรับตัวหนัก เนื่องจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าทำให้ระยะเวลาเพื่อตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงสั้นลง จากเดิมมีเวลา 8 ปี กับการเปลี่ยนรถยนต์ 2 โมเดล แต่ปัจจุบันเวลาสั้นลงเหลือ 3-4 ปีเท่านั้น เวลาการปรับตัวของทุกคนน้อยลงไปทุกที

โดยการปรับตัวในเชิงการดิสรัปชั่นมี 2 อย่าง คือ Product Disruption หรือชิ้นส่วนที่หายไป ผู้ผลิตต้องไปหาอย่างอื่นทำ และ Process Disruption คือชิ้นส่วนยังอยู่ แต่ผู้ผลิตต้องปรับตัวว่าจะเป็นผู้นำในเรื่องของเทคโนโลยี หรือการลดต้นทุน

ดังนั้น ผู้ผลิตชิ้นส่วนต้องตั้งรับ และหาโอกาสที่เหมาะสมกับตัวเอง ทั้งใช้เดินหน้าพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีที่มีอยู่เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ถูกที่สุด หรือจะมองหาการผลิตสินค้าอื่น ๆ ทดแทนผู้ประกอบการไทยต้องพยายามช่วยเหลือตัวเอง เพื่อให้สามารถอยู่รอดและแข่งขันต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมี “ตัวช่วย” มาตรการส่งเสริมต่าง ๆ จากภาครัฐเข้ามาสนับสนุน เพิ่มความแข็งแกร่ง และโอกาสทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทย

“ติดกับดัก” ตัวเลขลงทุน

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาจะเห็นว่าประเทศไทยยังชื่นชอบกับการออกมาประกาศความสำเร็จในแง่ของมูลค่าการลงทุน ตัวเลขยอดผลิต ที่ผู้ประกอบการได้ลงทุนในแต่ละปี แต่ลืมคิดไปว่ามูลค่าการลงทุนมหาศาลที่หลายฝ่ายออกมาประกาศนั้น มูลค่าสุดท้ายที่คงเหลือจากการลงทุนสามารถก่อให้เกิดประโยชน์และเกิดเงินหมุนเวียนกับประเทศไทยมากน้อยเพียงใด เพราะสุดท้ายเม็ดเงินถูกส่งคืนออกไปนอกประเทศ “คือประเทศไทยยังคงติดกับดักการลงทุน และการผลิต”

การส่งเสริมจากภาครัฐจะทำอย่างไรต้องไม่ติดกับดักตัวเลขการลงทุน เพราะยอดการผลิตรถยนต์คงไปไม่ถึง ดังนั้นการขับเคลื่อนต้องมองเรื่องอีโคซิสเต็ม คือทั้งระบบนิเวศของผู้ลงทุนในอุตสาหกรรม และระบบนิเวศของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะผู้ใช้รถอีวียังมีความกังวล ปัญหาเดิม ๆ คืออินฟราสตรักเจอร์ต่าง ๆ

โอกาสไทยในอุตฯอีวี

ส่วนที่ยากคือระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ทั้งหมด เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีไม่ว่าอุตสาหกรรมไหนในช่วงเริ่มต้นก็จะช้า แต่เมื่อเครื่องจุดติด การพัฒนาก็จะไปเร็ว เหมือนเทคโนโลยีสมาร์ทโฟน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะพัฒนาเทคโนโลยี ไฮบริด ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ไฮโดรเจน อีวี ทุกอย่างช่วงเริ่มต้นจะช้า แต่เมื่อผ่านจุดหนึ่งไปแล้วก็จะเดินหน้าพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เทรนด์ของรถอีวีจะมุ่งไปสู่การพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle) สิ่งที่เราพูดถึงยานยนต์ไร้คนขับ ยังมีส่วนประกอบต่าง ๆ อีกมากมายที่ต้องมาลงทุนและขับเคลื่อน ดังนั้น สิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ต้องการในอนาคตคือระบบอินฟราสตรักเจอร์ที่ดีมารองรับ และตรงนี้ประเทศไทยควรจะมองหาโอกาส เพื่อเตรียมพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงและเทรนด์ที่เกิดขึ้น

แนะสร้างระบบนิเวศใหม่

“ถึงเวลาที่รัฐบาลไทยจะต้องสร้าง New S-Curve ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในวันที่ยอดผลิตรถยนต์จะไม่กลับไปเติบโตเท่าเดิม”

ทิศทางการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์จะไม่ได้มุ่งไปที่เรื่องของยอดการผลิต เพราะไทยทำตรงนี้ได้ดีอยู่แล้ว มีกำลังผลิตเหลือเฟือ แต่การลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องมุ่งไปสู่ระบบนิเวศใหม่ ไปสู่ยานยนต์ไร้คนขับ และรถประเภทนี้ต้องพัฒนามาจากรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นรัฐบาลไทยจะขับเคลื่อนและส่งเสริมการลงทุนตรงนี้อย่างไร ผู้ประกอบการยังรอคำตอบ

ประเทศไทยจะต้องพัฒนาในทุกด้านไม่ใช่เพียงแต่ค่ายรถยนต์แต่จะต้องพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นที่มาสนับสนุนส่งเสริมกัน เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ปัจจุบันมีส่วนสำคัญและมีส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาระบบต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว

รถยนต์คือ “ไข่แดง”

รองประธานอาวุโสฉายภาพว่า อุตสาหกรรมยานยนต์อาจไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมการลงทุนจำนวนมากอีกต่อไป เนื่องจากปริมาณการผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้นอีกต่อไป แต่ทำอย่างไรที่ประเทศไทยจะรักษาช่องว่างของมูลค่าเพิ่ม การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไว้ต่อไปได้ รัฐบาลอาจจะต้องมองหามาตรการการส่งเสริม สนับสนุนบริษัทเทคให้เข้ามาลงทุนต่อยอดในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

“รถยนต์คือไข่แดง ที่ประเทศไทยพยายามส่งเสริมมันจบลงแล้ว แต่จากนี้ไปเราต้องส่งเสริมในส่วนของวงที่เป็นไข่ขาว ให้สามารถกระจายออกไปหลาย ๆ ชั้นให้ได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง รัฐบาลไทยต้องคิดและเข้าไปส่งเสริมตรงนั้นมากกว่า”

ทั้งเรื่องการอำนวยความสะดวก รวดเร็ว ให้กับบริษัทเทคในการเข้ามาตั้งบริษัทในประเทศไทย ข้อกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ว่าสามารถดึงดูดได้เพียงพอ และตรงกับความต้องการของบริษัทเหล่านั้น ซึ่งรัฐบาลไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องฟังเสียงความต้องการของผู้ประกอบการ และเชื่อว่าประเทศไทยยังพอมีเวลาสำหรับการสร้าง New S-Curve ในอุตฯยานยนต์

หรือประเทศไทยจะลองเข้าไปยังอุตสาหกรรมต้นน้ำของรถอีวี คือ การหาแร่ธาตุมาใช้สำหรับผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งไทยมีแร่นี้ แต่เราจะเข้าไปร่วมหาโอกาสตรงนี้หรือไม่

ลดความซ้ำซ้อน BOI-EEC

เมื่อเห็นทิศทางของการลงทุนในอนาคต ที่จะมุ่งไปสู่บริษัทเทคเป็นส่วนใหญ่แล้ว ดังนั้น ประเทศไทยต้องปรับตัวเพื่อตั้งรับให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่ถั่งโถมอย่างรุนแรงและรวดเร็ว มาตรการส่งเสริมสิทธิประโยชน์การลงทุนต้องมีการปรับให้ทันสมัย เหมาะสม และตรงกับความต้องการของลักษณะการดำเนินงานของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไป

ดังนั้น BOI และ EEC ที่เป็นหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย คำถามคือทั้ง 2 หน่วยงานปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกันอยู่หรือไม่ การประสานงานกับหน่วยงานสนับสนุนเกี่ยวข้องต่าง ๆ สามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการได้อย่างรวดเร็ว เป็น “วันสต็อปเซอร์วิส” ได้หรือไม่ และถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะต้องมาบูรณาการ และเตรียมมองหาโซลูชั่นที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปในทิศทางใด

สงครามอีวีจีน-ไฮบริดญี่ปุ่น

นางสาวชนาพรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยถือเป็นประเทศเดียวที่รถอีวีราคาถูกกว่ารถยนต์สันดาป เนื่องจากข้อตกลงเอฟทีเอไทยจีน ทำให้ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนรถอีวีในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ทำให้โครงสร้างราคารถยนต์ในประเทศไทยบิดเบี้ยว ทำให้รถอีวีถูกกว่ารถสันดาป ซึ่งถ้าหมดมาตรการส่งเสริมแล้ว ราคาก็จะสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ในส่วนของค่ายรถญี่ปุ่นก็สู้ในเวทีที่เป็นแต้มต่อคือรถยนต์ไฮบริด ซึ่งกำลังเข้ามาเป็นตัวเชื่อมที่ดีก่อนไปสู่รถอีวี ค่ายญี่ปุ่นก็ต้องพยายามใช้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ได้ไปก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นกระสุนในการต่อสู้กับสงครามราคาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็ทำให้มีแรงต่อสู้มากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเทใจมาให้ได้มากขึ้น

ลุ้นมอเตอร์โชว์ดันยอดขาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในช่วงชะลอตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 6 แสนคัน เนื่องจากปัญหากำลังซื้อในประเทศที่ซบเซาและความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยในช่วงวันที่ 26 มี.ค.-6 เม.ย. 2568 จะมีการจัดงาน “มอเตอร์โชว์ 2025” ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งถือเป็นหนึ่งงานหลักที่ค่ายรถหวังช่วยกระตุ้นยอดขาย

โดยนายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ในฐานะรองประธานจัดงาน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ปีนี้มีค่ายรถยนต์จักรยานยนต์ และอุปกรณ์ประดับยนต์ ให้ความสนใจเข้าร่วมจับจองพื้นที่จัดงานอย่างล้นหลาม มีค่ายรถยนต์ใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมงานมาจัดแสดงด้วยอย่างน้อย 3-5 แบรนด์ และเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอีกไม่น้อยกว่า 10 รุ่น

เบื้องต้นผู้จัดตั้งเป้าว่ายอดจองรถยนต์ในงานไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว คือประมาณ 50,000 คัน แต่ทั้งนี้ ต้องรอดูมาตรการการผ่อนคลายความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ว่าจะช่วยผลักดันตลาดได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งต้องรอดูปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถด้วย อย่างไรก็ตาม หวังว่างาน มอเตอร์โชว์ 2025 จะมีส่วนสำคัญในการผลักดันและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ผ่านสถานการณ์ความลำบากนี้ไปได้

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : พลิกเกมอุตฯยานยนต์ไทย ‘ผลิต-ส่งออก’ ไม่โตตามเป้า ชงรัฐบาลหา New S-Curve

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...