เราไม่อาจทนกับคนนอกใจ หรือเราแค่สาแก่ใจเมื่อได้เห็นคนดังมีเรื่องด่างพร้อย? กรณี ลำไย ไหทองคำ เลิกแฟน
ไม่ว่าจะข่าวการส่งชาวกุยอูร์กลับประเทศ หรือความเกรี้ยวกราดของทรัมป์ขณะคุยกับเซเลนสกี หรือเรื่องราวพีคๆ ใดๆ ในช่วงนี้ ก็ไม่อาจทำให้ชาวไทยจำนวนมากตื่นตัวได้เท่ากับเรื่องการเลิกรากับแฟนหนุ่มของ ‘ลำไย ไหทองคำ’ ซึ่งหลายคนกำลังจับจ้องประเด็นที่ว่าเธอเคยนอกใจแฟน หรือเคยเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์คนอื่นอย่างไรบ้าง ทั้งที่ฝ่ายลำไยและแฟนหนุ่มอย่าง ปุ้ย Lกฮ. ก็ได้ออกมาอธิบายแล้วว่าทั้งสองฝ่ายเลิกรากันอย่างด้วยความเข้าใจ และระหว่างที่ลำไยลองพูดคุยกับแดนเซอร์ชายในวง ก็เป็นช่วงที่ทั้งลำไยและปุ้ยตัดสินใจห่างกัน ส่วนฝั่งแดนเซอร์ชายก็บอกกับเธอว่าเลิกกับแฟนแล้ว และถึงที่สุด เรื่องนี้ก็ได้จบลงไปแล้ว โดยมีข้อมูลว่าค่ายของลำไยชดใช้ค่าเสียใจให้อดีตแฟนของแดนเซอร์ชายด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเพจต่างๆ ออกมาแฉข้อมูลหรือเขียนโพสต์แซวจนกลายเป็นกระแส ทำให้คนยิ่งอยากขุดคุ้ยต่อและวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุดหย่อน
โอกาสนี้เราจึงอยากชวนมาดูกันว่า อะไรที่ทำให้ข่าวรักๆ ใคร่ๆ ทำนองนี้ ชวนให้คนเสพมากกว่าข่าวสำคัญที่อาจส่งผลกับชีวิตผู้คนมากกว่า มันมีอะไรที่ลึกลงไปกว่าแค่เรื่องความ ‘เสพง่าย ไม่เครียด’ หรือเปล่า?
อย่างแรก อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของคนดังที่เราติดตาม มักถูกคาดหวังให้สอดคล้องกับความคาดหวังเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเราเอง
กล่าวคือ หลายๆ คนมักอินกับความรักที่เต็มไปด้วยภาพแบบอุดมคติ เช่นกรณีของลำไย ไหทองคำ ที่คบกับแฟนหนุ่มมาอย่างยาวนานกว่า 9 ปี โดยที่ฝั่งลำไยมีชื่อเสียงมากมายในฐานะศิลปินลูกทุ่งเบอร์ต้นๆ ของประเทศ ส่วนปุ้ยเองก็เป็นที่รู้จักด้วยภาพของแฟนหนุ่มที่จริงใจและถ่อมตน ดังนั้นการที่ทั้งสองคนเลิกกันก็หมายถึงภาพอุดมคติของรักแท้ที่ยืนยาวนั้นจบลง จนทำให้กลายเป็นประเด็นสลักสำคัญในใจหลายๆ คนที่อินกับความรักรูปแบบนี้มากๆ
ขณะเดียวกันใครก็ตามที่คาดหวังความสัมพันธ์โรแมนติกแบบอุดมคติ ก็มักมีแนวโน้มจะตัดสินว่า ‘การนอกใจ’ ของคนดังทั้งหลายเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งข้อนี้สอดคล้องไปกับงานวิจัยที่เผยแพร่ทางวารสาร Psychology of Popular Media ซึ่งทำงานกับนักศึกษาจีนจำนวน 397 คนในปี 2022 และพบว่า คนที่มีภาพความรักโรแมนติกแบบอุดมคติมาก ก็จะยิ่งมองว่าการนอกใจของคนดังที่ตนชื่นชอบนั้นเป็นความผิดที่ร้ายแรงมากตามไปด้วย เนื่องจากรู้สึกว่าคนดังที่เราชื่นชมกลับทรยศและทำลายภาพอุดมคติในใจเราให้พังลง
ขณะเดียวกัน อีกข้อที่น่าจะเป็นปัจจัยร่วมก็คือ หลายๆ คนมีแนวโน้มจะสาแก่ใจเมื่อได้เห็นภาพของคนดังหรือคนที่ประสบความสำเร็จล้มลง มีจุดด่างพร้อย หรือถูกกระชากลงจากสถานะที่น่าชื่นชมอย่างที่เคยเป็น ซึ่งล้วนแต่ทำให้คนดังหรือผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนแตะต้องได้ และยังทลายเขตคั่นระหว่างคนทั่วไปกับคนที่ถูกสังคมยกให้อยู่สูงขึ้นไป ทำให้หลายคนรู้สึกสบายใจอยู่ลึกๆ ว่าทุกคนก็ล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่มีจุดด่างพร้อยในชีวิตได้ไม่ต่างจากตัวเราเอง
ในทางจิตวิทยา มีชื่อเรียกสภาวะที่คนเราพึงพอใจกับความพังพินาศของคนอื่นว่า Schadenfreude ซึ่งมีต้นตอมาจากการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น โดยเมื่อเราไม่รู้ว่าควรให้คุณค่ากับตัวเองโดยใช้มาตรวัดไหน การใช้คนอื่นมาเป็นตัวเปรียบเทียบนั้นเป็นเรื่องง่ายที่สุด และหลายคนก็ใช้มาตรวัดนี้โดยไม่รู้ตัว เมื่อพบเจอคนที่รู้สึกว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าตัวเอง ก็จะรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าและกลายเป็นความคับข้องใจอยู่ลึกๆ ดังนั้นเมื่อเห็นคนที่มองว่าสูงกว่านั้นล้มลง ความรู้สึกคับข้องใจนั้นจึงถูกปลดปล่อย หรือกระทั่งรู้สึกว่าโลกนี้ยังยุติธรรมอยู่บ้าง เพราะใครคนนั้นที่เราอิจฉาอยู่ลึกๆ ก็สามารถล้มเหลวและเจ็บปวดได้เหมือนๆ กัน
แน่นอนว่า Schadenfreude หรือความสาแก่ใจชนิดนี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติและมนุษย์หลายคนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่โลกยุคโซเชียลมีเดียก็ทำให้สิ่งนี้ รวมถึงการเอาความคาดหวังของตัวเราเองไปผูกไว้กับคนดัง กลายเป็นมลพิษในโลกออนไลน์ เมื่อหลายคนก็ไม่ได้หยุดที่แค่ความ ‘อยากรู้อยากเห็น’ แต่ลามไปถึงความอยากใส่ใจ อยากร่วมแสดงความคิดเห็น หรือร่วมประนามคนที่ทำผิดไปจากความคาดหวังของตนหรือคนที่เราอยากเห็นภาพที่เพอร์เฟกต์ของเขาพังลง
ดังนั้นอาจดีกว่าหากเรารู้เท่านั้นอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองกันอีกสักหน่อย และปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแค่ในใจ เพราะท้ายที่สุดเมื่อเราโพสต์มันลงไปในโลกอินเทอร์เน็ต มันส่งผลกับชีวิตของคนอื่นได้เสมอ
อ้างอิง