โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ค้นตัวตน พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์-พระศรีธรรมราชมาดา "เจ้าแม่" แห่ง "สุโขทัย"

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 05 มิ.ย. 2566 เวลา 10.26 น. • เผยแพร่ 02 มิ.ย. 2566 เวลา 18.01 น.
วัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย (ภาพจาก เว็บไซต์อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย)

ค้นตัวตน พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ – พระศรีธรรมราชมาดา “เจ้าแม่” แห่ง “สุโขทัย”

ในการศึกษาประวัติศาสตร์สุโขทัย หากมีการศึกษาในรายละเอียดลึกลงไป จะพบหลักฐานเกี่ยวกับสตรี ผู้มีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานบ้านเมืองเคียงคู่กับบุรุษชาวสุโขทัยเสมอ

นับตั้งแต่ศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเวลาการสร้างปรากฏชื่อของนางเสือง ผู้เป็นมารดาของพ่อขุนรามคำแหง

ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวถึง มหาเทวีผู้เป็นขนิษฐาของพระมหาธรรมราชาลิไท ผู้ได้ครองเมืองสุโขทัยอยู่ 7 ปี ในขณะที่มหาธรรมราชาลิไท เสด็จไปประทับที่เมืองสองแคว

หลังจากมหาธรรมราชาลิไทสิ้นพระชนม์ลงแล้ว สตรีดูจะเข้ามามีบทบาทเคียงคู่อยู่กับบุรุษให้เห็นมากขึ้นทุกที

ดังเช่น ในศิลาจารึกวัอโศการาม และศิลาจารึกวัดศรีพิจิตรากีรติกัลยาราม ได้ปรากฏนามของสตรีเรียกเป็นสองอย่าง คือ มหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ และ พระศรีธรรมราชมาดา

ชื่อทั้งสองดูจะขึ้นมาเคียงคู่อยู่กับพระมหาธรรมราชา ผู้เป็นสวามีหรือผู้เป็นโอรสอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ในกิจกรรมการบุญกุศลหรือบางครั้งก็ร่วมประกาศแสดงอำนาจยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครอีกด้วย

หรือถ้าหากเรื่องที่เล่ามีลักษณะเป็นตำนาน สตรีสุโขทัยที่สวามีสิ้นพระชนม์และมีโอรสที่เป็นหนุ่มแล้ว ก็ยังคงความมีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่หลงใหลของกษัตริย์อยุธยาตามเรื่องในนิทานพระพุทธสิหิงค์เป็นต้น

ความเป็นจริงเรื่องในนิทานพระพุทธสิหิงค์มีความน่าสนใจตรงที่ได้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ของสุโขทัย กับกษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา โดยมีสตรีเป็นสื่อกลางที่สำคัญอันอาจที่จะนำมาอธิบายถึงกระบวนการในการรวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกัน ซึ่งผู้เขียนได้เคยเสนอเป็นบทความไว้หลายเรื่องแล้ว

ในบทความนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี 2 ชิ้นที่สำคัญที่จะช่วยชี้บอกความสัมพันธ์ของราชวงศ์สุโขทัยกับราชวงศ์อื่น โดยมีสตรีเป็นตัวเชื่อมโยง

หลักฐานนั้นคือ พระพุทธรูป 2 องค์ที่มีจารึกที่ฐาน

จารึกนั้นมีข้อความว่า “เจ้าแม่” เป็นผู้สร้างเหมือนกันทั้ง 2 องค์

แต่พระพุทธรูปกลับสร้างขึ้นในศิลปกรรมที่ต่างกัน คือ แบบของทางภาคกลางองค์หนึ่ง และแบบของทางภาคเหนือองค์หนึ่ง

ต่อไปนี้ จะเป็นการวิเคราะห์ทั้งแบบศิลปกรรมและความในจารึกเพื่ออธิบายถึงประวัติความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่งที่สุโขทัยมีกับแคว้นอื่นๆ

เจ้าแม่วัดบูรพาราม

พระพุทธรูปองค์แรกที่เสนอคือ พระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ศิลปะอู่ทองสมัยหลัง (เป็นศิลปกรรมของอยุธยาตอนต้น) พบในวัดมหาธาตุสุโขทัย ที่บนมีอักษรจารึกไว้ว่า

“ตนนี้ก่อเจ้าแม่เอินไว้ในบูรพาราม”

(ภาพจารึกและพระพุทธรูปองค์นี้ ได้เคยจัดพิมพ์อยู่ในหนังสือประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 4 สำนักนายกรัฐมนตรีจัดพิมพ์ จัดลำดับเป็นหลักที่ 130)

ความหมายของจารึกหลักนี้หมายความว่า พระพุทธองค์นี้ “เจ้าแม่” โปรดให้สร้างไว้ในวัดบูรพาราม

ขณะนี้ไม่ทราบว่าวัดบูรพาราม คือวัดใดในเมืองเก่าสุโขทัย แต่ปรากฏชื่อของวัดนี้ในจารึกวัดอโศการาม ซึ่งสำนักนายกได้จัดพิมพ์ไว้ในประชุมศิลาจารึกภาคที่ 3 จัดลำดับไว้เป็นจารึกหลักที่ 93

วัดนี้ เป็นวัดที่พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ ผู้เป็นชายาของพระมหาธรรมราชาองค์หนึ่งทรงโปรดให้สร้างขึ้น

ในศิลาจารึกวัดบูรพาราม ซึ่งเป็นศิลาจารึกที่พบใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2523 ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ทรงโปรดให้สถาปนาพระมหาธาตุขึ้นไว้ในวัดบูรพาราม เมื่อ พ.ศ. 1955

จากหลักฐานต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนขอประมวลสรุปในประเด็นสำคัญไว้ก่อน ดังนี้ คือ

เจ้าแม่ผู้สร้างพระพุทธรูองค์นี้ คือ พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์

พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในศิลปกรรมปแบบอู่ทองสมัยหลัง (คือแบบศิลปกรรมของอยุธยาตอนต้น)

ประมาณเวลาการสร้างพระพุทธรูปให้แคบเข้าตามหลักฐานที่เป็นศิลาจารึก คือ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1955 ลงมา

เจ้าแม่ศรีมหามาตา

พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่จะเสนอในที่นี้ คือ พระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย แต่มีองค์ประกอบขององค์พระทำในรูปแบบพระพุทธรูปของล้านนา คือนั่งขัดสมาธิเพชร มีชายสังฆาฏิสั้น มีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม ซึ่งองค์ประกอบเช่นนี้ คือรูปแบบพระพุทธรูปแบบสิงห์ที่นิยมทำกันในล้านนานั่นเอง

คำอ่านจารึกและภาพถ่ายของพระพุทธรูปองค์นี้ เคยตีพิพม์ในหนังสือพุทธนุสรณ์ (พ.ศ. 2500) ซึ่งศาสตราจารย์เขียน ยิ้มศิริ เป็นผู้นำเสนอไว้ในหนังสือดังกล่าว

ปัจจุบัน พระพุทธรูปองค์นี้เก็บรักษาอยู่ที่กุฏิคณะ 15 วัดพระเชตุพนฯ ได้นำคำอ่านจารึกดังกล่าว ลงพิมพ์ในหนังสือปกิณกบรรณ์ (พ.ศ. 2531) คำอ่านจารึกที่ฐานพระองค์นี้มีดังนี้

“พระเจ้าแม่ศรีมหาตาขอปรารถนาเป็นผู้ชายชั่วหน้า จูงข้าได้เป็นศิษย์คนพระศรีอารย์โพธิสัตว์เจ้า แต่ทานข้าทั้งผอง แห่งพระอาเจ้าอยู่หัวทั้งสองกับแม่พระพิลกแม่ศรีให้เป็นข้าถือจังหันพระเจ้าสิ้นเบี้ย 44500”

ในที่นี้ จะขอจับข้อความสำคัญในจารึกที่ฐานพระเพื่อแสดงความหมายในส่วนที่จะนำมาวิเคราะห์คือ

“เจ้าแม่ศรีมหาตา” เป็นคำเรียกรวบรัดแบบพื้นบ้าน คำเต็มของคำเรียกเจ้าแม่องค์นี้ เมื่อเทียบกับชื่อเรียกที่เป็นทางการในศิลาจารึกหลักอื่นๆ นั้นควรเป็น พระ (เจ้าแม่) ศรีธรรมราชมาดา

ผู้ที่ร่วมทำบุญโดยการถวายข้าทาสไว้สำหรับหุงหาอาหารให้พระสงฆ์นั้น ผู้หนึ่งคือ แม่พระพิลก

พระพิลก คือ พระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ระหว่าง พ.ศ. 1985-2031 พระองค์คือคู่ศึกสงครามกับพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ในการช่วงชิงดินแดนที่เคยเป็นแคว้นสุโขทัย

แม่พระพิลกสิ้นพระชนม์ตามที่ปรากฏในหนังสือพงศาวดารโยนก เมื่อประมาณ พ.ศ. 1994 ดังนั้นการบุญการกุศลระหว่างเจ้าแม่ศรีมหาตา และแม่พระพิลกครั้งนี้ จึงทำขึ้นก่อน พ.ศ. 1994 แต่ไม่ก่อน พ.ศ. 1952 ซึ่งเป็นปีเกิดของพระเจ้าติโลกราช

ศาสตราจารย์เขียน ยิ้มศิริ ได้กล่าวถึงพระพุทธรูปองค์นี้ในหนังสือพุทธานุสรณ์หน้า 119 ว่า

“…ขอให้สังเกตระบบวิธีการวางท่า ครองผ้า การให้ขนาดเม็ดพระสก และพระเกตุนั้นเป็นของเชียงแสน ส่วนทรวดทรง และอารมณ์การแสดงออกเป็นของสุโขทัย พระพักตร์มีลักษณะร่วมของสุโขทัยและเชียงแสน…”

เชียงแสน” ของศาสตราจารย์เขียน ยิ้มศิริ ในที่นี้มีความหมายเช่นเดียวกับ “ล้านนา” ที่ผู้เขียนกล่าวผ่านมาแล้วนั่นเอง

สำหรับในตอนนี้ผู้เขียนขอสรุปไว้ก่อนอีกตอนหนึ่งว่า พระพุทธรูปที่เจ้าแม่ศรีมหาตาให้สร้างขึ้นองค์นี้ ทำขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ. 1952-1994

เป็นพระพุทธรูปสุโขทัยที่มีการนำรูปแบบของล้านนามาผสมผสาน

การผสมผสานทางศิลปกรรมชิ้นนี้มีความสอดคล้องกับหลักฐานจารึกที่ฐานพระ เกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรกันระหว่างแคว้นล้านนาและสุโขทัย โดยมีสตรีซึ่งเป็นชนชั้นสูงของทั้งสองแคว้นเป็นตัวเชื่อม คือ เจ้าแม่ศรีมหาตา กับแม่พระพิลก หรือพระศรีธรรมราชมาดากับพระชนนีของพระเจ้าติโลกราช

ลำดับชั้นอาวุโส อยุธยา-เชียงใหม่-สุโขทัย

จากหลักฐานจารึกที่ฐานพระเจ้าแม่ศรีมหาตาซึ่งควรจะอยู่ในๆ ลำดับชั้นเดียวกับแม่พระพิลก พอที่จะเปรียบเทียบได้ว่า เจ้าแม่ศรีมหาตาหรือพระศรีธรรมราชมาดาผู้นี้ อยู่ในลำดับชั้นใดของวงศ์สุโขทัย ดังตาราง

ในการเปรียบเทียบจะเปรียบเทียบจากลำดับชั้นที่ 4 ขึ้นไป คือ

พระเจ้าติโลกราช ประสูติ พ.ศ. 1952 ส่วนสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถประสูติ พ.ศ. 1974 ดังนั้น พระเจ้าติโลกราชจึงมีพระชนมายุแก่กว่า 22 ปี (เป็นพ่อลูกกันได้) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อเป็นอุปราชครองเมืองสองแควหรือพิษณุโลกมีพระญาติสนิทเชื้อสายสุโขทัย คือ พระยุธิษฐิระ เป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องกัน (คือลำดับชั้นเดียวกันจัดเป็นลำดับชั้นที่ 4)

เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นครองราชย์ที่กรุงศรีอยุธยา แล้วได้ขัดใจกับพระยุธิษฐิระ พระยุธิษฐิระจึงเข้าถวายตัวกับพระเจ้าติโลกราช ครั้งนั้นพระเจ้าติโลกราชทรงตรัสเรียกพระยุธิษฐิระว่า “ลูก”

พระเจ้าติโลกราชจึงอยู่ในลำดับชั้นที่ 3 คือลำดับชั้นเดียวกับพระราชบิดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งก็คือ เจ้าสามพระยา

ดังนั้น แม่พระพิลก กับเจ้าแม่ศรีมหาตา จึงอยู่ในลำดับชั้นที่ 2 คือชั้นเดียวกับสมเด็จพระนครินทราชาธิราช ซึ่งเป็นพระราชบิดาของสมเด็จเจ้าสามพระยา

เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า สมเด็จพระนครินทราชาธิราชอยู่ในลำดับชั้นที่ 2 ต่อจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ขุนหลวงพ่องั่ว (ไม่ว่าสมเด็จพระนครินทราชาธิราช จะเป็นโอรสหรือโอรสของน้องพี่พ่อของพ่องั่วก็ตาม)

และเป็นที่ทราบกันแล้วว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 อยู่ในลำดับชั้นเดียวกันกับพระมหาธรรมราชาลิไทในลำดับชั้นที่ 1

เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าแม่ศรีมหาตา หรือพระศรีธรรมราชมาดาผู้นี้ จึงอยู่ในลำดับชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชั้นลูกของพระมหาธรรมราชาลิไท

พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ และพระศรีธรรมราชมาดา ในศิลาจารึกวัดอโศการา

ศิลาจารึกวัดอโศการาม ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดพิมพ์อยู่ในหนังสือประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 4 จัดลำดับเป็นหลักที่ 93 มีทั้งภาษาไทยและบาลี ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อสายของพระมหาธรรมราชาลิไทได้พอสมควร ดังสาระสำคัญที่จะยกมาดังนี้

พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ เป็นชายาสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ผู้เป็นโอรสของพระมหาธรรมราชาลิไท กับพระศรีธรรมราชมาดา

จากจารึกวัดอโศการามนี้ มีสตรีที่ได้รับการยกขึ้นเป็นพระศรีธรรมราชมาดา ทั้งนี้ เนื่องจากโอรสของพระนางได้ขึ้นครองราชย์ที่สุโขทัย เป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช

พระมหาธรรมราชาธิราชผู้โอรสของพระมหาธรรมราชาลิไทนี้ ได้ครองเมืองสุโขทัย แต่มิได้โดยทันที หลังจากมหาธรรมราชาลิไทสวรรคต เพราะช่วงนั้นยังมีเหตุการณ์วุ่นๆ อยู่ในสุโขทัย

จารึกวัดอโศการามได้กล่าวต่อไปอีกว่า พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ได้สร้างวัดอโศการามขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1942 แสดงว่าจารึกหลักนี้ทำขึ้นไม่ก่อน พ.ศ. 1942

ตอนท้ายของจารึกได้กล่าวถึงการอุทิศส่วนกุศลของพระมหาเทวีฯ ให้แก่สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชผู้สวามี และพระศรีธรรมราชมาดา

แต่จากการอ่านศิลาจารึกวัดบูรพาราม ซึ่งได้พบใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2532 มีกล่าวว่า พระมหาธรรมราชาธิราช ผู้นี้สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 1951 ดังนั้น ศิลาจารึกวัดอโศการามจะจารึกขึ้นก่อน พ.ศ. 1951 ไม่ได้

จะขอสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากศิลาจารึกวัดอโศการาม ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวถึงนี้ว่า

ศิลาจารึกวัดอโศการาม ซึ่งจารึกเมื่อ พ.ศ. 1951 ลงมา ได้กล่าวถึงสตรีผู้อยู่ในลำดับชั้นลูกของพระมหาธรรมราชาลิไท คือพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ และในขณะเดียวกันก็ได้กล่าวถึงสตรีที่อยู่ในลำดับชั้นเดียวกันกับพระมหาธรรมราชาลิไทว่า พระศรีธรรมราชมาดา ผู้ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว (พระศรีธรรมราชมาดาพระองค์นี้ คือชายาของพระมหาธรรมราชาลิไท)

ศรีธรรมราชมาดา มีอีกองค์หนึ่ง

ศิลาจารึกหลักที่ 45 ในประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 3 เป็นจารึกที่กษัตริย์สุโขทัยองค์หนึ่งทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันกับเจ้าเมืองน่าน เมื่อ พ.ศ. 1935

ปรากฏว่า เจ้าเมืองสุโขทัยพระองค์นี้อยู่ในลำดับชั้นหลานของพระมหาธรรมราชาลิไท นั่นคือ อยู่ในลำดับชั้นที่ 3 ของตารางที่ 1 ที่กล่าวแล้ว

ดังนั้น สมเด็จมหาธรรมราชาธิบดีศรีสุริยวงศ์ ในศิลาจารึกวัดตาเถรขึงหนังหรือวัดศรีพิจิตรกีรติกัลยาราม (หลักที่ 46 ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 3) ซึ่งมีเนื้อเรื่องในจารึกระหว่าง พ.ศ. 1943-1947 นั้น ควรเป็นคนลำดับชั้นเดียวกันหรือคนเดียวกันกับกษัตริย์ผู้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับเจ้าเมืองน่าน เมื่อ พ.ศ. 1935 ด้วย

เมื่อเป็นธรรมราชาครองเมืองสุโขทัย มารดาของพระองค์จึงเป็นพระศรีธรรมราชมาดา ดังที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกวัดตาเถรขึงหนังด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศรีธรรมราชมาดาในศิลาจารึกวัดตาเถรขึงหนัง จึงเป็นคนในลำดับชั้นที่ 2 หรือ ลำดับชั้นลูกของพระมหาธรรมราชาลิไท

เป็นคนละคนกับพระศรีธรรมราชมาดาในศิลาจารึกวัดอโศการาม

แต่อยู่ในลำดับชั้น หรือเป็นคนๆ เดียวกันกับพระศรีธรรมราชมาดาผู้สร้างพระพุทธรูป “เจ้าแม่ศรีมหามาตา” นั่นเอง

และอีกเช่นกันที่ พระศรีธรรมราชมาดา หรือเจ้าแม่ศรีมหาตาพระองค์นี้ อยู่ในลำดับชั้นเดียวกันกับพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ ผู้สร้างวัดอโศการาม วัดบูรพาราม พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองรุ่นหลังที่มีจารึก รวมทั้งวัดทักษิณาราม วัดลังการาม ฯลฯ ที่ประกาศไว้ในศิลาจารึกวัดอโศการาม

มีข้อสังเกตว่า พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ได้ประกาศรายชื่อวัดต่างๆ ที่พระนางทรงสร้างในศิลาจารึกวัดอโศการาม ซึ่งจารึกหลัง พ.ศ. 1951 ลงมา แต่ไม่เอ่ยถึงชื่อวัดศรีพิจิตรกีรติกัลยารามอยู่ด้วย

พระนางคงไม่ได้สร้างวัดนี้

ดังนั้น พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ก็ไม่น่าจะเป็นคนเดียวกันกับพระศรีธรรมราชมาดา หรือเจ้าแม่ศรีมหาตา ผู้สร้างวัดศรีพิจิตรกีรติกัลยาราม

แม้ว่า ในศิลาจารึกวัดอโศการาม พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ จะประกาศว่าพระนางมีโอรสที่มีอำนาจพระองค์หนึ่ง พระนามว่า “พระธรรมราชาธิราช” ก็ตาม ก็ไม่เคยเรียกชื่อพระนางว่า พระศรีธรรมราชมาดา เลย

สรุป

หลังจากที่พระมหาธรรมราชาลิไทสวรรคตแล้ว สภาวะบ้านเมืองในแคว้นสุโขทัยได้เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ค่อนข้างสับสน (ลิไทสวรรคต พ.ศ. 1913-1914)

จากหลักฐานศิลาจารึกในบทความนี้ แสดงให้เห็นถึงการมี “ธรรมราชา” ซึ่งเป็นโอรสและนัดดาของพระมหาธรรมราชาลิไท ครองเมืองสุโขทัยต่อมาเช่นกัน แต่การขึ้นครองเมืองมิได้เป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยทันทีหลังจากที่พระมหาธรรมราชาลิไทสวรรคตแล้ว

ในลำดับชั้นลูกพระมหาธรรมราชาลิไท มีธรรมราชาพระองค์หนึ่งได้ครองเมืองสุโขทัยอยู่ระยะหนึ่ง ธรรมราชาผู้ลูก นี้สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 1951

แต่ในช่วงที่พระองค์ยังทรงพระชนมชีพอยู่นั้น กลับมี ธรรมราชาในชั้นหลาน ของพระมหาธรรมราชาลิไท ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ในเมืองสุโขทัยด้วย

ธรรมราชาในชั้นหลานที่เข้ามามีอำนาจนี้ ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 45 เมื่อ พ.ศ. 1935 ในศิลาจารึกหลักที่ 46 เมื่อ พ.ศ. 1943-1947 และหลักที่ 9 เมื่อ พ.ศ. 1949

การพิจารณาจากฝ่ายชายอาจให้ภาพไม่ชัดเจนนัก เกี่ยวกับการเข้ามามีอำนาจซ้อนกันอยู่ระหว่าง ธรรมราชาในชั้นลูก และธรรมราชาในชั้นหลาน

แต่เมื่อพิจารณาจากทางฝ่ายสตรี จะพบว่า ในลำดับชั้นลูกของพระมหาธรรมราชาลิไทนั้น มีสตรีที่ได้รับยศสูงอยู่สองพระนาง

พระนางหนึ่ง คือ พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ ผู้เป็นลูกสะใภ้ของพระมหาธรรมราชาลิไท พระนางมีโอรสนามว่า ธรรมราชา อยู่ด้วยพระองค์หนึ่ง แต่พระนางมิได้รับการขนานนามว่า พระศรีธรรมราชมาดา

เหตุที่มิได้เป็นพระศรีธรรมราชมาดา ทั้งๆ ที่มีโอรสเป็นธรรมราชานั้น น่าจะเป็นว่าธรรมราชาโอรสของพระนางได้เป็นใหญ่ในสมัยหลัง ในขณะที่ร่วมสมัยของพระนางมีพระศรีธรรมราชมาดาอยู่พระนางหนึ่งแล้ว

พระศรีธรรมราชมาดาในชั้นลูกของพระมหาธรรมราชาลิไท ยังไม่พบหลักฐานว่าพระสวามีของพระนางจะเป็นธรรมราชาผู้ได้ครองเมืองสุโขทัย และเป็นสวามีพระองค์เดียวกันกับของพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์หรือไม่

แต่โอรสของพระนาง ก็ได้เป็นธรรมราชาครองเมืองสุโขทัย แทรกคั่นอยู่กับมหาธรรมราชาผู้ลูกของพระมหาธรรมราชาลิไท ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. 1951

ด้วยเหตุนี้ พระนางจึงได้เป็นพระศรีธรรมราชมาดา

มาถึงตอนนี้ รูปแบบของพระพุทธรูปสององค์ที่ยกขึ้นมากล่าวแต่ต้น จะสามารถอธิบายได้ถึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง พระศรีธรรมราชมาดา และพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ ที่ผลักดันให้โอรสของพระนางทั้งสองได้เข้ามีอำนาจเหนือสุโขทัย

พระศรีธรรมราชมาดา ผู้สร้าง “เจ้าแม่ศรีมหาตา” พระพุทธรูปสุโขทัย-ล้านนา น่าจะมีความเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากกับพระชนนีของพระเจ้าติโลกราช

พระชนนีของพระเจ้าติโลกราชเป็นพี่ของหมื่นโลกนครเจ้าเมืองลำปาง ซึ่งต่อมาภายหลังเป็นกำลังสำคัญของพระเจ้าติโลกราชในการครองเมืองเชียงใหม่ระยะแรกๆ

ไม่อาจทราบแน่ว่า พระศรีธรรมราชมาดาผู้เป็นสะใภ้ของสุโขทัยนั้นจะเป็นชาวเมืองลำปางหรือไม่

แต่ความเป็นเครือญาติน่าจะมีอยู่ สังเกตจากการที่มหาธรรมราชาโอรสของพระนาง ได้เคยทำศิลาจารึกเป็นพันธมิตรกับเจ้าเมืองน่านเมื่อ พ.ศ. 1935

และภายหลังเมื่อพระเจ้าติโลกราชคิดที่จะรวมเอาเมืองน่านเข้าไว้ในเขตแคว้นล้านนา พระองค์ได้ส่งพระชนนีของพระองค์คุมกองทัพไปยังเมืองน่านด้วย

แสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องระหว่างเมืองน่าน พระศรีธรรมราชมาดา และพระชนนีของพระเจ้าติโลกราชในทางใดทางหนึ่ง

นอกจากนี้ยังปรากฏคำเรียก “ปู่พระยา” ในศิลาจารึกวัดป่าแดง ศรีสัชนาลัย (หลักที่ 9 ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 1) ว่า ได้มาร่วมประชุมพร้อมกับพระศรีธรรมราชมาดาและพระมหาธรรมราชาผู้หลาน (หลานพระมหาธรรมราชาลิไท) เมื่อ พ.ศ. 1949

ปู่พระยาผู้นี้น่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของพระศรีธรรมราชมาดาผู้เป็นเจ้าเมืองๆ หนึ่งในล้านนาก็ได้

และนี่ควรเป็นช่องทางหนึ่ง ที่อำนาจของล้านนาได้แทรกซึมเข้ามาในแคว้นสุโขทัย อันน่าจะมีอิทธิพลในการเป็นข้อต่อรองที่ทำให้เชื้อสายของพระศรีธรรมราชมาดาขึ้นมีอำนาจเหนือเมืองสุโขทัยอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง

พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ ผู้สร้าง “เจ้าแม่วัดบูรพาราม” พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองรุ่นหลัง (ศิลปะของอยุธยาตอนต้น) นั้นควรจะมีความเกี่ยวข้องอยู่กับกรุงศรีอยุธยา (ราชวงศ์สุพรรณบุรี) เป็นอย่างมาก

ตำแหน่งศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งปรากฏอยู่ในทำเนียบนามของกรุงศรีอยุธยา เป็นตำแหน่งชายาหนึ่งในสี่ของกษัตริย์อยุธยา (ตอนนั้นตำแหน่งมเหสียังไม่มี) นั้นอาจมองโลกกลับกันก็ได้ว่า พระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์สะใภ้ของสุโขทัยนั้นมาจากกรุงศรีอยุธยา

ทั้งนี้ดูจากศิลปะของพระพุทธรูปที่พระนางทรงสร้าง ว่าเป็นฝีมือช่างอยุธยา พระนางคงนำช่างมาอยู่ในสำนักของพระนางด้วย

ในสำนักของพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ สมบูรณ์ไปด้วยนักปราชญ์ราชบัณฑิต ดังปรากฏชื่ออยู่ในจารึกวัดอโศการามหลายคน

ผู้รู้เหล่านี้คือมันสมองของสำนักนี้ ซึ่งในตอนแรกๆ จะยังคงไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก จนกระทั่งเมื่อกรุงศรีอยุธยาพ้นสภาวะยุ่งยาก โดยราชวงศ์สุพรรณบุรีเข้ามีอำนาจเหนือกรุงศรีอยุธยาโดยเด็ดขาด เมื่อ พ.ศ. 1952

ในปีนี้ สมเด็จพระนครินทราชาธิราชยึดกรุงศรีอยุธยาได้จากสมเด็จพระรามราชาธิราช สายสัมพันธ์ของสำนักพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ จึงเชื่อมตรงกับราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยา และได้กลายเป็นอำนาจต่อรองที่ให้ธรรมราชาโอรสของพระนาง ได้ขึ้นมีอำนาจเหนือเมืองสุโขทัย

และธรรมราชาผู้นี้ก็น่าจะเป็น ออกญาธรรมราชา ตามคำเรียกของนายอินทสรศักดิ์ เมื่อ พ.ศ. 1955 ดังปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 49 (ในประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 3) ก็ได้ เพราะในจารึกหลักนี้ก็มีข้อความที่ให้ภาพการคุ้นเคยปรองดองระหว่างราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยากับสุโขทัยเป็นอย่างดี

กล่าวโดยสรุป การที่กรุงศรีอยุธยาสามารถผนวกดินแดนสุโขทัยเข้าไว้ในที่สุดนั้น ในขั้นตอนหนึ่งเป็นการแข่งขันในราชสำนักของสุโขทัยเอง ที่จะผลักดันสุโขทัยให้หันเหไปทางใด

สภาวะครอบงำของล้านนาและกรุงศรีอยุธยาที่มีต่อแคว้นสุโขทัย สามารถมองผ่านให้เห็นได้จากบทบาทของสตรีผู้มีศักดิ์ของสุโขทัยทั้งสองพระนาง

และพระพุทธรูปสององค์นี้ ก็เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นโดยตรงถึงสภาวะครอบงำดังกล่าว

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “เจ้าแม่สุโขทัย” เขียนโดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2532

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 มิถุนายน 2565

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...