จำลองโมเดล “20 หยิบ 1” คัดผู้ร่างรัฐธรรมนูญจากโมเดลพรรคประชาชนเทียบสภาชุดปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติ “รับหลักการ” ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระหนึ่ง 2 ฉบับ คือ ร่างฉบับที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชนและฉบับที่เสนอโดย สส.พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีสาระสำคัญคือการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำหนดที่มาขององค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ขั้นตอนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีมติให้ร่างพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก
ภายใต้ข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามไม่ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากการ “เลือกตั้งทางตรง” พรรคประชาชนจึงเสนอโมเดลผู้ร่างรัฐธรรมนูญและที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน (กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ) โดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะมาจากการเลือก 2 ขั้นตอน คือ ขั้นแรก ประชาชนได้ออกเสียงเลือกตั้งให้ได้ผู้ผ่านเข้ารอบจำนวน 70 คน จากระบบคล้ายบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีมและใช้เขตเลือกตั้งทั้งประเทศ ขั้นที่สอง รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน แบ่งสัดส่วนตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่อยู่ในสภา
สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน กำหนดให้แต่ละจังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) มีสมาชิกสภาอย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน แต่ไม่เกิน 5 คน ตามสัดส่วนประชากรแต่ละจังหวัด โดยมีหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษา” รับฟังและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อเสนอต่อกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ รวมถึงแจ้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะต่อร่างรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ต่างๆ โดยไม่ได้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยตรง
ทว่าในกระบวนการพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญในชั้นกรรมาธิการ วาระสอง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐสภา (กมธ.แก้รัฐธรรมนูญฯ) กลับพยายามออกแบบกลไกให้ “เลี่ยงการเลือกตั้ง” ยิ่งกว่าเดิม ในการประชุมเมื่อ 12-13 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมมีมติให้ตัดสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ จำนวน 35 คน เป็นองค์กรผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงองค์กรเดียว โดยสมาชิกรัฐสภา 20 คน รวมกลุ่มเข้าชื่อกันเพื่อ “หยิบ” บุคคลจากบัญชีรายชื่อได้ 1 คน เพื่อเสนอต่อรัฐสภาหรือที่เรียกว่า โมเดล “20 หยิบ 1”
สูตร “20 หยิบ 1” สส.-สว. 20 คน หยิบผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ได้ 1 คน
โมเดลการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่เรียกว่า โมเดล “20 หยิบ 1” มีขั้นตอนการเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ โดยกำหนดให้สมาชิกรัฐสภา 20 คน เข้าชื่อกันเพื่อ “หยิบ” บุคคลจากบัญชีรายชื่อได้ 1 คน เพื่อเสนอต่อรัฐสภา โดยตัวเลข 20 คนนั้น มาจากการนำจำนวนสมาชิกรัฐสภา 700 คน หารด้วยจำนวน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ 35 คน ซึ่งจะไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ หากกลุ่มใดเสนอชื่อซ้ำก็ให้เสนอชื่อบุคคลจากบัญชีรายชื่อนั้นใหม่ เมื่อครบ 35 คนแล้ว ให้ประธานรัฐสภาประกาศแต่งตั้ง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ สำหรับรายชื่อที่เหลืออยู่เป็นบัญชีสำรอง
กรณีที่สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถรวมกลุ่มได้ครบ 20 คน และไม่สามารถเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้ครบ 35 คน ให้รัฐสภาโหวตเลือกจากบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่ถูกเสนอชื่อให้เป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ตามจำนวนที่ขาด โดยใช้มติของรัฐสภา จำนวน 2 ใน 3 เพื่อตัดสิน เพื่อป้องกันการใช้เสียงข้างมากลากไป และทำให้การเห็นชอบผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญต้องมีส่วนผสมระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
สำหรับที่มาของบัญชีรายชื่อนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 256/2 เปลี่ยนจากข้อเสนอเดิมในร่างพรรคประชาชนที่ให้มาจากการเลือกตั้ง ไปใช้ระบบ “สมัคร” แทน โดยผู้สมัรต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยผู้สมัครต้องมีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรองอย่างน้อย 100 คน และต้องแสดงวิสัยทัศน์ในการร่างรัฐธรรมนูญแนบมาในใบสมัครด้วย
โดยจะต้องมีช่องทางในการเผยแพร่รายชื่อผู้สมัครทั้งหมดและมีช่องทางให้ประชาชนโดยทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยต่อผู้สมัครแต่ละคนได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
จำลองโมเดล “20 หยิบ 1” กับสภารัฐบาลอนุทิน สว.สีน้ำเงิน – พรรคร่วมรัฐบาลรวมกันเลือกผู้ร่างได้ครึ่งหนึ่ง
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการระบุว่าสูตร “20 หยิบ 1” คือการกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ 1 คน เพื่อให้มีหลักประกันว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสีใดสีหนึ่ง และทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด
หากจำลองการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญในสภาชุดปัจจุบันที่มี สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งหมด 494 คน ซึ่งประกอบไปด้วย ฝ่ายรัฐบาล 154 เสียง ฝ่ายค้าน 340 เสียง และ สว. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้มีอยู่ 198 เสียง
เมื่อใช้สูตร 20 หยิบ 1 จะคำนวณได้ดังนี้:
▸ ฝ่ายรัฐบาล
154 ÷ 20 = เลือกได้ 7 คน (เหลือเศษ 14)
▸ ฝ่ายค้าน
340 ÷ 20 = เลือกได้ 17 คน
▸ วุฒิสภา
198 ÷ 20 = เลือกได้ 9 คน (เหลือเศษ 18)
เมื่อแบ่งตามสัดส่วนพรรคการเมืองของสภาผู้แทนราษฎร แต่ละพรรคจะสามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยคร่าวดังนี้
พรรคประชาชน 7 คน (เหลือเศษ 3 เสียง)
พรรคเพื่อไทย 7 คน
พรรคภูมิใจไทย 3 คน (เหลือเศษ 11 เสียง)
พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน (เหลือเศษ 16 เสียง)
พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน (เหลือเศษ 5 เสียง)
พรรคกล้าธรรม 1 คน (เหลือเศษ 5 เสียง)
พรรคพลังประชารัฐ 1 คน
พรรคที่มีจำนวนที่นั่งของ สส. ในสภาไม่ถึง 20 ที่นั่ง ซึ่งมีเสียงรวมกันทั้งหมด 34 เสียง ประกอบไปด้วย
พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
พรรคประชาชาติ 9 เสียง
พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง
พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง
พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง
พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง
พรรคเป็นธรรม 1 เสียง
พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
เมื่อรวมกับเศษอีก 40 เสียงจากพรรคใหญ่ที่มีเสียงเกิน 20 ที่นั่ง จะสามารถรวมเสียงกันเพื่อเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ 3 คน โดยเหลือเศษอีก 14 เสียง
เมื่อนำเศษ 14 เสียงจาก สส. มารวมกับเศษของ สว. ที่เหลืออีก 18 เสียงจะสามารถเลือกเพิ่มได้อีก 1 คน โดยที่จะยังเหลือเศษอีก 12 คน ที่ไม่สามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ ดังนั้นสภาชุดนี้จะสามารถใช้สูตร 20 หยิบ 1 เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ทั้งหมด 34 คน และอีก 1 คนต้องมีที่มาจากการที่รัฐสภาโหวตเลือกจากบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่ถูกเสนอชื่อให้เป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ โดยใช้มติของรัฐสภาจำนวน 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด
ในกรณีที่รัฐบาลอนุทินรวมเสียงกับ สว. ให้ได้ทั้งหมด 352 เสียงก็จะสามารถจับมือกันเพื่อเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้สูงถึง 17 คนจาก 35 คน โดยเหลือเศษอีก 12 คนที่ต้องไปรวมเสียงเพิ่มให้ครบ 20 เสียงเพื่อเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้อีก 1 คน
ดังนั้น หากโมเดล “20 หยิบ 1” ผ่านวาระสามแล้ว การเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ยิ่งจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเลือกตั้งจะไม่ใช่เพียงการเลือก สส. และพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการเลือกพรรคการเมืองที่จะมีบทบาทในการคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญอีกด้วย ขณะเดียวกัน สว. ซึ่งมีที่มาจากการเลือกกันเอง ก็จะมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 9 คน มากสุด 10 คนจากทั้งหมด 35 คน