โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

จำลองโมเดล “20 หยิบ 1” คัดผู้ร่างรัฐธรรมนูญจากโมเดลพรรคประชาชนเทียบสภาชุดปัจจุบัน

iLaw

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • iLaw

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติ “รับหลักการ” ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระหนึ่ง 2 ฉบับ คือ ร่างฉบับที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชนและฉบับที่เสนอโดย สส.พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีสาระสำคัญคือการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำหนดที่มาขององค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ขั้นตอนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีมติให้ร่างพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก

ภายใต้ข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามไม่ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากการ “เลือกตั้งทางตรง” พรรคประชาชนจึงเสนอโมเดลผู้ร่างรัฐธรรมนูญและที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  • คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน (กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ) โดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะมาจากการเลือก 2 ขั้นตอน คือ ขั้นแรก ประชาชนได้ออกเสียงเลือกตั้งให้ได้ผู้ผ่านเข้ารอบจำนวน 70 คน จากระบบคล้ายบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีมและใช้เขตเลือกตั้งทั้งประเทศ ขั้นที่สอง รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน แบ่งสัดส่วนตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่อยู่ในสภา

  • สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน กำหนดให้แต่ละจังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) มีสมาชิกสภาอย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน แต่ไม่เกิน 5 คน ตามสัดส่วนประชากรแต่ละจังหวัด โดยมีหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษา” รับฟังและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อเสนอต่อกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ รวมถึงแจ้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะต่อร่างรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ต่างๆ โดยไม่ได้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยตรง

ทว่าในกระบวนการพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญในชั้นกรรมาธิการ วาระสอง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐสภา (กมธ.แก้รัฐธรรมนูญฯ) กลับพยายามออกแบบกลไกให้ “เลี่ยงการเลือกตั้ง” ยิ่งกว่าเดิม ในการประชุมเมื่อ 12-13 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมมีมติให้ตัดสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ จำนวน 35 คน เป็นองค์กรผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงองค์กรเดียว โดยสมาชิกรัฐสภา 20 คน รวมกลุ่มเข้าชื่อกันเพื่อ “หยิบ” บุคคลจากบัญชีรายชื่อได้ 1 คน เพื่อเสนอต่อรัฐสภาหรือที่เรียกว่า โมเดล “20 หยิบ 1”

สูตร “20 หยิบ 1” สส.-สว. 20 คน หยิบผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ได้ 1 คน

โมเดลการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่เรียกว่า โมเดล “20 หยิบ 1” มีขั้นตอนการเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ โดยกำหนดให้สมาชิกรัฐสภา 20 คน เข้าชื่อกันเพื่อ “หยิบ” บุคคลจากบัญชีรายชื่อได้ 1 คน เพื่อเสนอต่อรัฐสภา โดยตัวเลข 20 คนนั้น มาจากการนำจำนวนสมาชิกรัฐสภา 700 คน หารด้วยจำนวน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ 35 คน ซึ่งจะไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ หากกลุ่มใดเสนอชื่อซ้ำก็ให้เสนอชื่อบุคคลจากบัญชีรายชื่อนั้นใหม่ เมื่อครบ 35 คนแล้ว ให้ประธานรัฐสภาประกาศแต่งตั้ง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ สำหรับรายชื่อที่เหลืออยู่เป็นบัญชีสำรอง

กรณีที่สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถรวมกลุ่มได้ครบ 20 คน และไม่สามารถเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้ครบ 35 คน ให้รัฐสภาโหวตเลือกจากบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่ถูกเสนอชื่อให้เป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ตามจำนวนที่ขาด โดยใช้มติของรัฐสภา จำนวน 2 ใน 3 เพื่อตัดสิน เพื่อป้องกันการใช้เสียงข้างมากลากไป และทำให้การเห็นชอบผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญต้องมีส่วนผสมระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล

สำหรับที่มาของบัญชีรายชื่อนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 256/2 เปลี่ยนจากข้อเสนอเดิมในร่างพรรคประชาชนที่ให้มาจากการเลือกตั้ง ไปใช้ระบบ “สมัคร” แทน โดยผู้สมัรต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยผู้สมัครต้องมีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรองอย่างน้อย 100 คน และต้องแสดงวิสัยทัศน์ในการร่างรัฐธรรมนูญแนบมาในใบสมัครด้วย

โดยจะต้องมีช่องทางในการเผยแพร่รายชื่อผู้สมัครทั้งหมดและมีช่องทางให้ประชาชนโดยทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยต่อผู้สมัครแต่ละคนได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

จำลองโมเดล “20 หยิบ 1” กับสภารัฐบาลอนุทิน สว.สีน้ำเงิน – พรรคร่วมรัฐบาลรวมกันเลือกผู้ร่างได้ครึ่งหนึ่ง

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการระบุว่าสูตร “20 หยิบ 1” คือการกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ 1 คน เพื่อให้มีหลักประกันว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสีใดสีหนึ่ง และทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด

หากจำลองการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญในสภาชุดปัจจุบันที่มี สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งหมด 494 คน ซึ่งประกอบไปด้วย ฝ่ายรัฐบาล 154 เสียง ฝ่ายค้าน 340 เสียง และ สว. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้มีอยู่ 198 เสียง

เมื่อใช้สูตร 20 หยิบ 1 จะคำนวณได้ดังนี้:

▸ ฝ่ายรัฐบาล

154 ÷ 20 = เลือกได้ 7 คน (เหลือเศษ 14)

▸ ฝ่ายค้าน

340 ÷ 20 = เลือกได้ 17 คน

▸ วุฒิสภา

198 ÷ 20 = เลือกได้ 9 คน (เหลือเศษ 18)

เมื่อแบ่งตามสัดส่วนพรรคการเมืองของสภาผู้แทนราษฎร แต่ละพรรคจะสามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยคร่าวดังนี้

  • พรรคประชาชน 7 คน (เหลือเศษ 3 เสียง)

  • พรรคเพื่อไทย 7 คน

  • พรรคภูมิใจไทย 3 คน (เหลือเศษ 11 เสียง)

  • พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน (เหลือเศษ 16 เสียง)

  • พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน (เหลือเศษ 5 เสียง)

  • พรรคกล้าธรรม 1 คน (เหลือเศษ 5 เสียง)

  • พรรคพลังประชารัฐ 1 คน

พรรคที่มีจำนวนที่นั่งของ สส. ในสภาไม่ถึง 20 ที่นั่ง ซึ่งมีเสียงรวมกันทั้งหมด 34 เสียง ประกอบไปด้วย

  • พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

  • พรรคประชาชาติ 9 เสียง

  • พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง

  • พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง

  • พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง

  • พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง

  • พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง

  • พรรคเป็นธรรม 1 เสียง

  • พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง

เมื่อรวมกับเศษอีก 40 เสียงจากพรรคใหญ่ที่มีเสียงเกิน 20 ที่นั่ง จะสามารถรวมเสียงกันเพื่อเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ 3 คน โดยเหลือเศษอีก 14 เสียง

เมื่อนำเศษ 14 เสียงจาก สส. มารวมกับเศษของ สว. ที่เหลืออีก 18 เสียงจะสามารถเลือกเพิ่มได้อีก 1 คน โดยที่จะยังเหลือเศษอีก 12 คน ที่ไม่สามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ ดังนั้นสภาชุดนี้จะสามารถใช้สูตร 20 หยิบ 1 เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ทั้งหมด 34 คน และอีก 1 คนต้องมีที่มาจากการที่รัฐสภาโหวตเลือกจากบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่ถูกเสนอชื่อให้เป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ โดยใช้มติของรัฐสภาจำนวน 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด

ในกรณีที่รัฐบาลอนุทินรวมเสียงกับ สว. ให้ได้ทั้งหมด 352 เสียงก็จะสามารถจับมือกันเพื่อเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้สูงถึง 17 คนจาก 35 คน โดยเหลือเศษอีก 12 คนที่ต้องไปรวมเสียงเพิ่มให้ครบ 20 เสียงเพื่อเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้อีก 1 คน

ดังนั้น หากโมเดล “20 หยิบ 1” ผ่านวาระสามแล้ว การเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ยิ่งจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเลือกตั้งจะไม่ใช่เพียงการเลือก สส. และพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการเลือกพรรคการเมืองที่จะมีบทบาทในการคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญอีกด้วย ขณะเดียวกัน สว. ซึ่งมีที่มาจากการเลือกกันเอง ก็จะมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 9 คน มากสุด 10 คนจากทั้งหมด 35 คน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...