โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

OTT สื่อทีวีปัจจุบันที่รัฐไทยยืนงงมาหลายปี

BT Beartai

อัพเดต 17 ก.พ. เวลา 11.54 น. • เผยแพร่ 17 ก.พ. เวลา 10.13 น.
OTT สื่อทีวีปัจจุบันที่รัฐไทยยืนงงมาหลายปี

รู้หรือไม่ว่าตอนนี้เรากำลังนับถอยหลังใบอนุญาตทีวีดิจิทัลอายุ 15 ปี ที่จะหมดอายุลงในปี 2572 หรือถ้านับจากวันนี้ก็อีกเพียง 4 ปีเท่านั้น แต่ตอนนี้คนในธุรกิจทีวีก็ยังกังวลกับอนาคตที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเด็นการกำกับดูแล OTT ที่ภาครัฐเหมือนจะยืนงงกันมาหลายปี ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการวางแผนสถานีทีวีของไทยในอนาคต

OTT หรือ Over-The-Top คือเนื้อหาที่สตรีมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตถึงผู้ชมโดยตรง เช่น บริการอย่าง YouTube หรือ Netflix ที่แม้จะคล้าย ๆ IPTV หรือ Internet-based Protocol Television แต่ในเชิงเทคนิคจะนิยามต่างกันตรง IPTV จะมีการกันช่องสัญญาณ หรือทำช่องทางสื่อสารพิเศษเอาไว้เพื่อส่งสัญญาณภาพและเสียงโดยเฉพาะ ทำให้ได้ภาพและเสียงที่คมชัด เช่นบริการเคเบิลทีวี หรือ AIS Playbox, NT IPTV ที่จดทะเบียนเป็น IPTV

OTT นั้นเข้ามาแทน IPTV อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในไทยที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องกันช่องสัญญาณพิเศษสำหรับทีวีอีกต่อไป ความแตกต่างของ OTT กับ IPTV จึงกลายเป็นเรื่องของข้อกำหนดจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. แทน เพราะบริการ IPTV จะถูกกำกับดูแลจากกฎหมายลักษณะเดียวกับบริการทีวีภาคพื้นดิน มีเงื่อนไขอย่าง Must Have หรือ Must Carry ที่ช่องดิจิทัลทีวีบน IPTV ต้องออกอากาศเนื้อหาเดียวกับช่องทีวีภาคพื้น

Dataxet

แม้ว่า OTT จะเป็นการเผยแพร่เนื้อหาเหมือนกัน แต่การกำกับดูแลกลับเป็นหนังคนละม้วนกับ IPTV อาจเพราะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เติบโตเร็วมากจน กสทช. ก็ยังงง ๆ ว่าจะจัดการอย่างไร ซึ่งเราจะข้ามไปเทียบ OTT กับภาพที่ใหญ่กว่าอย่างทีวีดิจิทัลให้ดูกัน จากข้อมูลของนีลเส็นพบว่าในปี 2566 มีคนดูช่องทีวี 58% และดูผ่าน OTT หรือสตรีมมิงเป็น 42% แต่ในปีถัดมาคือ 2567 คนกลับดูเนื้อหาผ่าน OTT พุ่งเป็น 53% แล้วทีวีตกไปเหลือ 47% เท่านั้น ซึ่งพอตัวเลขผู้ชมลด เม็ดเงินโฆษณาที่ลงมาในธุรกิจทีวีก็ลดลงไปด้วย ข้อมูลจากนีลเส็นก็ยังชี้ว่าในช่วงเดือน ม.ค. – ก.ค. 2567 เม็ดเงินที่ลงโฆษณาทางทีวีไทยอยู่ที่ 33,875 ล้านบาท คิดเป็น 50.13% จากงบโฆษณาทั้งหมด 67,579 ล้านบาท เทียบกับเมื่อสิบปีก่อนที่เงินลงโฆษณาในทีวีอยู่ที่ระดับ 65% หรือเงินหายไปนับหมื่นล้าน

แล้วตอนนี้คนไทยดู OTT มากกว่าดูทีวีดิจิทัลไปแล้ว และเงินรายได้ของช่องทีวีก็ลดลง แต่ความคืบหน้าล่าสุดของการดูแลสื่อประเภทนี้คือ กสทช. ได้ศึกษาแนวทางกำกับดูแล OTT และจัดทำร่างข้อกำหนดเสร็จตั้งแต่ปี 2566 แต่จนถึงปัจจุบัน กสทช. ก็ยังไม่มีการผลักดันออกมาเป็นกฎหมาย กสทช. จึงยังไม่มีอำนาจอย่างเป็นทางการไปกำกับดูแล OTT

Thailand: Media Never Stop Moving, Nielsen.

เมื่อทีวีดิจิทัลปัจจุบันที่เริ่มประมูลกันเมื่อปี 2556 กำลังจะหมดอายุลงในอีกไม่กี่ปี คำถามว่า OTT จะถูกกำกับดูแลกี่โมงจึงดังขึ้นอีกครั้ง เพราะในขณะที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลไทยต้องทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ กสทช. กำหนดขึ้น แต่ OTT ที่ส่วนใหญ่มาจากต่างชาติกลับไม่มีข้อกำหนด โดยเฉพาะเงื่อนไขด้านโฆษณาและการหารายได้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการวางแผนการลงทุนทีวีดิจิทัลในอนาคต

พูดง่าย ๆ คือใครจะอยากลงทุนทำช่องทีวี ถ้าต้องแข่งแย่งคนดูกับ OTT ที่อยู่คนละกติกาเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ทั้งที่ช่องทีวีไทยเสียเงินประมูลกันหลายพันล้านบาท มีต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า OTT ที่ไม่ต้องจ่ายให้รัฐ แต่เข้าถึงผู้ชมได้มากกว่าแล้วในปัจจุบัน สวนทางกับรายได้ของช่องทีวีจากโฆษณาก็หด จากคนดูที่น้อยลง และค่าลงโฆษณาของ OTT ที่ต่ำกว่า แถมเงินโฆษณาที่ลงกับ OTT ส่วนใหญ่ก็จะวิ่งออกไปต่างประเทศทันที เหลือเพียงบางส่วนที่กลับมาหาผู้สร้างสรรค์เนื้อหาของไทย

ทั้งหมดนี้กระทบกับการสร้างสรรค์รายการในไทย ที่รายการหลายประเภทมีต้นทุนสูง อย่างข่าวเชิงสอบสวน ละครที่ลงทุนเรื่อง บท หรือโปรดักชันสูง ๆ หรือรายการสาระความรู้ที่ไม่สามารถดึงคนดูจำนวนมากเพียงพอกับความต้องการของสปอนเซอร์ได้ก็หายไป เหลือแต่รายการแบบที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในช่องทีวีปัจจุบัน เพราะสถานีทีวีก็ต้องทำรายการที่มั่นใจว่าหาเงินได้เท่านั้น

นี่จึงเป็นผลกระทบที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ถึงปัจจุบัน ซึ่งยังรอความใส่ใจจากภาครัฐต่อไป ก่อนที่ทีวีไทยจะไม่เหลือใคร

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...