“เรมี่” แตกไลน์ขนมสัตว์เลี้ยง จับตลาดสัตว์แปลก
“คนรุ่นใหม่” เน้นอยู่คอนโด สุนัข-แมวไม่ตอบโจทย์ หันเลี้ยง Exotic pet ประหยัดพื้นที่-สะท้อนตัวตน REMY แตกไลน์ขนมสัตว์เลี้ยงประเดิมกลุ่มสัตว์ฟันแทะ ราคาต่ำกว่าแบรนด์นอก50% รับเทรนด์เลี้ยงสัตว์แปลกพุ่งแรง-เล็งขยายตลาดต่างประเทศปีนี้
นางสาวสุดาทิพ เกียรติศรีชาติ กรรมการ กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด เปิดเผยว่า ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย - ตลาดสัตว์เลี้ยงปี 2568 คาดว่า ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น จำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยยังมีแนวโน้มเติบโต
โดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็นสุนัข 3.45 ล้านตัว แมว 1.94 ล้านตัว ส่งผลให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 76% จะอยู่ในกลุ่มอาหารสุนัข
แต่ในอนาคต คาดว่า สัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี
เมื่อ 2 ปีที่แล้วบริษัทจึงเปิดตัวเข้ามาในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงผ่านแบรนด์ REMY แม้ว่าภาพรวมการแข่งขันตลาดนี้จะเข้าขั้น“เรดโอเชียน” แต่ REMY ไม่ได้ลงไปเล่นในสงครามราคา แต่เน้นคุณประโยชน์ทำให้ในปีที่ผ่านมาสามารถเติบโต 100% จากปีแรก
นอกจากโพรดักซ์เรือธงอย่าง อาหาร-ขนมสำหรับสุนัขและแมวแล้ว ในปีนี้ REMY เล็งเห็นโอกาสของกลุ่มอาหาร-ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ หรือ Exotic pet ที่กำลังมาแรงอย่างมาก โดยพัฒนาขนมเพื่อสุขภาพของสัตว์ฟันแทะมาในรูปแบบ Puree Jelly กับ นายสัตวแพทย์เชาวพันธ์ ยินหาญมิ่งมงคล ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ(Exotic pet) แห่ง Animal Space Hospital
“กลุ่มนี้ดีมานด์สูง แต่หาอาหารและขนมที่จับต้องได้ในไทยหายาก และยังมีราคาสูง REMY เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่เข้ามาทำอาหารและขนมสำหรับสัตว์ Exotic โดยพัฒนาตามอินไซด์ของสัตว์ จุดเด่นของ REMY คือทุกสูตรจะเสริมคุณค่าทางโภชนาการอย่างน้อย 2 ชนิด และใช้วัตถุดิบเกรดเดียวกับอาหารคน ไม่เติมเกลือ น้ำตาล หรือวัตถุกันเสีย มีประโยชน์ต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเมื่อต้องกินระยะยาว
เบื้องต้นจะเริ่มจากผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มสัตว์ฟันแทะ วางจำหน่ายเดือนมีนาคม 2568 ในราคาจับต้องได้ 1 ซอง 55 บาท 3 ชิ้น ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าแบรนด์ต่างประเทศ 50% เพราะบริษัทเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์สำหรับส่งออกอยู่แล้ว จึงสามารถทำราคาที่คนไทยจับต้องได้มากกว่า”
สำหรับแผนรุกตลาดปี 2568 REMY วางงบลงทุนสำหรับการดีเวลลอปโพรดักซ์ใหม่และการตลาดราวๆ 20 ล้านบาท ปัจจุบัน REMY มีพอร์ตอาหารสุนัข35% อาหารแมว55%และExotic15-20% ในปีนี้มีแผนล๊อนซ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ 30sku 15 แบ่งเป็นผลิตัณฑ์สำหรับแมวและ สุนัข10sku ในช่วงเดือนพฤษภาคม สัตว์Exotic 5 sku
ในส่วนของการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Exoticบริษัทเริ่มทำการตลาดล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมาโดยเน้นคอนเทนต์เกี่ยวสัตว์แปลกบนช่องทางออนไลน์ ผ่านทีมสัตวแพทย์ในการให้ความรู้เชิงลึกการทำวีดีโอ และ คอนเท้นต์สื่อถึง“Human Grade สู่ Human Touch” ที่เข้าใจคนรักสัตว์เลี้ยง พร้อมสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านวิทยุ และกิจกรรมโรดโชว์ไปยังร้านเพ็ทช็อปทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ผู้ชมชอบและสนใจคอนเทนต์เกี่ยวกับสัตว์แปลกอย่างมาก
ในปีนี้ REMY จะเปิดแคมเปญ “REMY’s FRIENDs” และเปิดตัวพรีเซนเตอร์งานPet Expo Thailand 2025 ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ
ขณะเดียวกันมีแผนขยายช่องทางการจำหน่ายจากปัจจุบันช่องทางหลักคือ กลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และ คลินิก เกือบ 200 สาขาทั่วประเทศ รวมทั้งยังขยายช่องทางการจัดจำหน่ายกลุ่ม Modern Pet shop เช่น Pet’N Me, Pet Us, Pet Club และ ร้านค้า Pet Shop กว่า 300 ร้านค้าทั่วประเทศไปยังตลาดต่างประเทศโดยมุ่งเป้าไปที่ประเทศที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ UAE มาเลเซียเริ่มจากการโรดโชว์ คาดว่าจะช่วยดันการเติบโตในปีนี้ 100%
ด้านนายสัตวแพทย์เชาวพันธ์ ยินหาญมิ่งมงคล ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษหรือ Exotic pet จากโรงพยาบาลสัตว์ Animal Space Hospital กล่าวเสริมว่าเทรนด์ของสัตว์เลี้ยงกลุ่มสัตว์แปลก - Exotic กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเอเชียที่มีการเติบสูงมาก นำโดย “จีน” ที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดตามด้วยไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ส่วนประเทศไทยมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี จากเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่เลี้ยงสุนัขและแมวน้อยลงประกอบกับไลฟ์สไตล์ที่อยู่ในคอนโดมากกว่าอยู่บ้าน ส่งผลให้Exotic pet กลายเป็นเทรนด์อนาคตของคนรุ่นใหม่ที่ชอบความแปลกไม่อยากเลี้ยงสุนัข- แมว แต่ต้องการสัตว์เลี้ยงที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และสะท้อนตัวตนและความชอบของผู้เลี้ยงด้วยทั้งกระต่าย แกสบี้ ชิลชิลา เต่า งู นก ซึ่งได้รับการยอมรับมากขึ้นไม่ต้องแอบเลี้ยงเหมือนในอดีตและยังใช้พื้นที่น้อย บางคนเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงประเภทที่ 3 Add-onจากสุนัขและแมว ทำให้ปัจุบัน Exotic pet มีสัดส่วนถึง 15%ของตลาดรวมสัตว์เลี้ยง
อย่างไรก็ตาม Exotic pet ต้องการการดูแลและเข้าใจในการเลี้ยงอย่างมากเพราะมีอายุขัยยาวราวๆ 10 ปี ซึ่งสัตว์พิเศษมีความพิเศษคือป่วยง่ายต้องการวิตามิน ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาค่อนข้างสูง และมีทางเลือกจำกัด
การร่วมมือกับ REMY PET ดีเวลลอปผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ในกลุ่มนี้จึงเป็นการตอบสนองความต้องการของเจ้าของสัตว์ที่มีความต้องการ มีกำลังซื้อสูง และ มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ REMY ในกลุ่ม Exotic มีทั้งหมด 3 รสชาติมาด้วยคอนเซปท์ Healthy Berry Plus Vit C ได้แก่ สูตรสตรอว์เบอร์รี่ผสมโหระพาและวิตามินซี (บำรุงสายตา), สูตรแบล็กเคอร์แรนท์ผสมเมล็ดแฟลกซ์และวิตามินซี (บำรุงขนและผิวหนัง), และสูตรแครนเบอร์รี่ผสมพาร์สลีย์และวิตามินซี (ดูแลทางเดินปัสสาวะ)
“Exotic pet เป็นกลุ่มที่มีดีมานด์และกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะกทม.และปริมนฑล เทรนด์ปัจจุบันคือเลี้ยงสัตว์จำนวนน้อยตัวลงแต่จ่ายเงินดูแลมากขึ้นทั้งการเจ็บป่วย อาหาร ของเล่น เอสเซสเซอรี่ โดยสัดส่วนการจ่ายใหญ่สุดคืออาหาร50% วัคซีน 10%และ อื่นๆทั้งของใช้ Accessories กรูมมิ่งและเฮลท์แคร์ 40%
โพรดักซ์แรกที่เราทำคือขนมสำหรับสัตว์ฟันแทะ ในรูปแบบเจลลี่จากผลเบอร์รี่และสมุนไพรธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้แก่สัตว์ฟันแทะ โดยเฉพาะหนูแกสบี้ที่ไม่สามารถสร้างวิตามินซีได้เองโดยเสริม Vitamin C เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเพิ่มขึ้น เหมาะกับชิลชิลา กระต่าย แกสบี้ และฟันแทะทุกชนิดแต่ปริมาณขึ้นอยู่กับขนาดตัว”