โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ย้อนรอย RS ยักษ์ใหญ่วงการสื่อ เกิดอะไร ทำไมราคาหุ้น “ต่ำบาท”

Thairath Money

อัพเดต 23 เม.ย. เวลา 10.13 น. • เผยแพร่ 23 เม.ย. เวลา 10.13 น.
ภาพไฮไลต์

ภาพของ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น RS ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิงไทย ชื่อที่คุ้นเคยกับเพลงฮิตติดชาร์ต และศิลปินขวัญใจมหาชน กลับดูเลือนรางเมื่อเทียบกับสถานะปัจจุบันในตลาดหลักทรัพย์ ที่ราคาหุ้นวนเวียนอยู่ระดับ “ต่ำบาท” การพลิกผันในครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

“Thairath Money” พาไปสำรวจเส้นทางของ RS ตั้งแต่จุดเริ่มต้น และยุคทองของการเป็นเจ้าแห่งสื่อ สู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สู่โมเดล "Entertainmerce"

และการเผชิญหน้ากับมรสุมต่างๆ จนถึงเหตุการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นอย่างการบังคับขายหุ้น (Forced Sell) ที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง และท้ายที่สุดคือการกลายเป็น "หุ้นต่ำบาท" ที่ถูกตั้งคำถามในเวลาต่อมา

ย้อนรอย “ยุคทอง” สู่การเปลี่ยนหางเสือธุรกิจเป็น“Entertainmerce”

ความสำเร็จของ RS เริ่มต้นจากช่วงที่สามารถสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรม T-pop ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผ่านโมเดลธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งการปั้นศิลปิน ผลิตคอนเทนต์ และช่องทางเผยแพร่ ทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2546 ด้วยราคาไอพีโอ 28.00 บาท (พาร์ 5 บาท) พร้อมขยายสู่ธุรกิจกีฬาและทีวีดาวเทียม กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของวงการสื่อไทยในขณะนั้น

นอกจากนี้ RS นับว่าเป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม Media ของตลาดหุ้นไทย ด้วยความสำเร็จในเชิงธุรกิจ และการจดจำของผู้บริโภค สะท้อนถึงอำนาจของ RS ในยุคทองได้เป็นอย่างดี

ในยุคต่อมา การเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อธุรกิจสื่อดั้งเดิม รวมถึงเพลงสตรีมมิ่งที่เข้ามาแทนที่การขายแผ่นซีดี รายได้โฆษณาจากทีวีและวิทยุแบบเดิมลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ RS ตระหนักถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด

RS เปิดตัวและสร้างแบรนด์ภายใต้แนวคิด "Entertainmerce" อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า Entertainment และ Commerce และการย้ายหมวดธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ จากกลุ่มสื่อ (Media/Entertainment) ไปยังกลุ่มพาณิชย์ (Commerce) เมื่อ 29 มีนาคม 2562 เพื่อสะท้อนทิศทางธุรกิจใหม่ด้วย

ในช่วงแรก โมเดล Entertainmerce ดูเหมือนจะให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวกอย่างชัดเจน ผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการขายสินค้าในกลุ่ม Commerce ที่มีอัตรากำไรสูงกว่าธุรกิจสื่อดั้งเดิม จนทำให้นักวิเคราะห์ในขณะนั้นต่างคาดการณ์ว่า RS กำลังจะสร้างสถิติผลกำไรสูงสุดใหม่

ความสำเร็จในช่วงแรกนี้ เกิดจากการที่ RS สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมแต่ยังใช้ไม่เต็มศักยภาพ มาสร้างธุรกิจใหม่ที่มีอัตรากำไรสูง ช่วยเพิ่มผลกำไรได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนเวลาออกอากาศที่อาจไม่มีรายได้ ให้กลายเป็นช่องทางขายสินค้าที่ทำกำไรได้โดยตรง ย่อมส่งผลบวกต่อบรรทัดสุดท้ายของงบการเงินอย่างชัดเจน

สัญญาณ “ขาดทุน” วัดฝีมือโมเดลธุรกิจใหม่

อย่างไรก็ตาม RS ต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านสื่อและพาณิชย์ โดยเฉพาะการขยายโมเดล Entertainmerce ที่แม้จะดูเสริมกันในทางทฤษฎี แต่กลับต้องเผชิญความซับซ้อนทางธุรกิจ และการแข่งขันรุนแรงในอีคอมเมิร์ซ รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจชะลอตัวและผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งล้วนส่งผลต่อกำลังซื้อและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

  • ปี 2563 รายได้ 3,790.22 ล้านบาท กำไร 528.28 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 3,589.59 ล้านบาท กำไร 127.35 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 3,549.21 ล้านบาท กำไร 137.07 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 3,805.23 ล้านบาท กำไร 1,395.23 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 3,342.43 ล้านบาท ขาดทุน 304.58 ล้านบาท

ผลประกอบการยังแสดงให้เห็นถึงความผันผวนอย่างชัดเจนในช่วงหลัง รายได้จากฝั่งพาณิชย์ลดลง สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของโมเดลธุรกิจแบบผสม จน RS ประสบภาวะขาดทุนสุทธิในปี 2567 ถึง 304.58 ล้านบาท และอุปสรรคในการสร้างความยั่งยืนทางการเงินยังคงเป็นความท้าทายหลักของ RS ในยุคหลังจากความรุ่งเรือง

นอกจากนี้ แม้การเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและหลากหลาย จะสะท้อนถึงความทะเยอทะยานในการขยายธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจชี้ถึงความท้าทายในการสร้างการเติบโตจากโมเดลธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว

โดยต้องหันไป "ซื้อ" บริษัทอื่นๆ เข้ามา เพื่อสร้างการเติบโตมากขึ้น เช่น เครือข่ายการขายของ ULife หรือแพลตฟอร์มการตลาดดิจิทัลของ GIFT ซึ่งการทำ M&A บ่อยครั้งย่อมนำมาซึ่งความซับซ้อนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

วิกฤตถูกบังคับขายหุ้น สาเหตุราคาหุ้น “ต่ำบาท”

กระทั่งในช่วงต้นปี 2568 นักลงทุนต่างจับตากระแสข่าวการบังคับขายหุ้น RS ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงชนพื้น มีราคาติด Floor ติดต่อกันถึง 3 วันทำการ (ระหว่างวันที่ 7-9 มกราคม 2568) โดยการขายครั้งนี้เชื่อมโยงกับการที่หุ้นถูกใช้เป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือผู้บริหารของบริษัทด้วย

ซึ่งต่อมา RS ได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากกลไกตลาดและปัจจัยภายนอก ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตถึงปริมาณคำสั่งขายจำนวนมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้เกิดความกังวลตามมามากมาย

เหตุการณ์ช่วงนั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นและมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ของ RS ร่วงลงอย่างรุนแรง โดยมูลค่าหายไปถึง 6 พันล้านบาท ภายในเวลาเพียง 3 วัน และเหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก

การถูกบังคับขายครั้งนี้ ได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และอาจรวมถึงประเด็นด้านธรรมาภิบาลของบริษัทด้วย

และเมื่อเชื่อมโยงกับผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ยิ่งสร้างความกลัวว่าจะมีการเทขายตามมาอีกระลอกหรือไม่ และผลกระทบทางจิตวิทยานี้ มักรุนแรงกว่าผลกระทบโดยตรงจากจำนวนหุ้นที่ถูกขายจริง ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ราคาหุ้นดิ่งลงสู่ระดับ "หุ้นต่ำบาท" อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ราคาหุ้น RS ในปัจจุบันซื้อขายกันแถว 0.50-0.55 บาท แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับช่วงที่เคยรุ่งเรือง ซึ่งเคยทำจุดสูงสุดที่ 13 บาท ในเดือนมีนาคม 2564

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามทั้งทิศทางธุรกิจและราคาหุ้นของ RS อย่างใกล้ชิด ว่าจะสามารถฟื้นกลับมาได้หรือไม่ ท่ามกลางความท้าทายที่ยังคงอยู่ในทุกด้าน

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/investment

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้

https://www.facebook.com/ThairathMoney

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...