แอมะซอนใกล้ถึงจุดเปลี่ยน ภายในปี 2050 นี้
‘อาจไม่มีป่าฝนอีกแล้ว’ นักวิทยาศาสตร์เตือนแอมะซอนอาจถึง 'จุดเปลี่ยน' ภายในปี 2050 ผลจากขาดความชุ่มชื้น ปรับเปลี่ยนที่ดิน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ป่าฝนกลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา
รายงานที่เผยแพร่ในวารสาร Nature ซึ่งได้วิเคราะห์ผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ รวมกันไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมของมนุษย์ในพื้นที่ และวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ระบุว่าป่าฝนแอมะซอนได้ผ่านเซฟโซนออกมาแล้ว และกำลังเดินทางไปสู่จุดเปลี่ยนที่ย้อนกลับไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีฟื้นฟูพื้นที่และปรับปรุงความยืดหยุ่นของระบบนิเวศอย่างเร่งด่วน
Bernardo Flores จากมหาวิทยาลัย Federal University of Santa Catarina ประเทศบราซิล ผู้เขียนหลักของการศึกษานี้ กล่าวว่า เขารู้สึกตกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งเคยคิดกันว่าแอมะซอนอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ แต่ที่จริงแล้วมันเร็วกว่าที่พวกเขาคาดไว้อย่างมาก
ป่าเริ่มอ่อนแอลงและเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้นแล้ว ทั้งที่ปกติควรจะหลากหลายกว่านี้ “ภายในปี 2050 จะมีการเร่งอย่างรวดเร็ว เราต้องตอบสนองตั้งแต่ตอนนี้ หากเราผ่านจุดเปลี่ยนนั้นแล้ว เราจะสูญเสียการควบคุมว่าระบบจะทำงานอย่างไร” Bernardo Flores บอก
เป็นเวลากว่า 65 ล้านปีแล้วที่ป่าฝนแอมะซอนสามารถทนต่อความแปรปรวนของภูมิอากาศได้ แต่ในปัจจุบันภูมิภาคนี้ต้องเผชิญกับความเครียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งจากความแห้งแล้ง ความร้อน ไฟไหม้ และการปรับที่ดิน ซึ่งส่งผลกระทบไปไกลถึงงบริเวณใจกลางส่วนลึกของแอมะซอน
แล้วก็ส่งผลกระทบต่อไปเป็นลูกโซ่ ทำให้ในหลายพื้นที่มีฝนตกน้อยลงกว่าเดิมแล้ว และเปลี่ยนแหล่งกักเก็บคาร์บอนให้กลายเป็นตัวปล่อยคาร์บอนแทน ทีมวิจัยประเมินว่าภายในปี 2050 ป่าอเมซอน 10-47% จะได้รับการรบกวนและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งระบบนิเวศจากป่าฝนกลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่แห้งแล้ง
ขณะเดียวกันพวกเขาก็พบว่า 15% ของป่าแอมะซอนถูกทำลายไปแล้ว และอีก 17% ที่เหลือก็เสื่อมโทรมลงโดยกิจกรรมของมนุษย์ ไม่เพียงเท่านั้นพื้นที่แอมะซอนอีก 38% ก็กำลังอ่อนแอจากภัยแล้งต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งหมดเกิน 10% ที่ว่าไปแล้ว
อุณหภูมิในฤดูแล้งสูงกว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้วถึง 2°C ในพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของป่า ทีมงานคาดว่าในปี 2050 จะมีวันที่แห้งแล้งมากกว่าปัจจุบันมากถึง 10-30 วัน และอุณหภูมิสูงสุดต่อปีจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 2-4°C
“ปรากฏการณ์เอลนีโญเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด” Flores กล่าว “เราจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยแนวทางที่ระมัดระวังอย่างยิ่ง เราจะต้องบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์และการตัดไม้ทำลายป่าสุทธิเป็นศูนย์โดยเร็วที่สุด มันจำเป็นต้องทำตอนนี้ ถ้าเราสูญเสียป่าแอมะซอนไป มันจะเป็นปัญหาสำหรับมนุษยชาติ”
และหากเราไปถึงจุดนั้น เราคงจะไม่ได้เห็นเวอร์ชั่นเดิมของแอมะซอนอีกแล้ว
ที่มา
https://www.nature.com/articles/s41586-023-06970-0
https://www.theguardian.com/…/amazon-rainforest-could…
https://www.wionews.com/…/amazon-rainforest-to-reach…
Photo : danilemurillom/Envato