ปีแห่ง ‘สึก’ผ้าเหลือง สีกา-เงินวัด กิเลสใหญ่ สัญญาณแจ้ง ‘เบาะแส’ยังทะลัก
จุดร่วมสำคัญ 2 คดีใหญ่ คือ “เงินวัด” ซึ่งนี่อาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่เผยให้เห็นระบบบริหารจัดการภายในวัดที่มีปัญหา รวมถึง “พระธรรมวินัย” ที่มีโอกาสบกพร่อง-ตกหล่น แม้ไต่ระดับสูงถึงพระชั้นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
“กัมมุนา วัตตติ โลโก” สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ปัจจุบันพระ-ฆราวาส ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์ถูกผิดทางกฎหมาย
ในปีที่นับว่า “หนักหนา” กับข่าวกระทบกระเทือนจิตใจพุทธศาสนิกชน เพราะไม่เพียงพัวพันพระระดับชั้นผู้ใหญ่ แต่สีกา “คนเดียวกัน” กลับทำพระชั้นผู้ใหญ่ต้องลาสิกขาไปถึง 13 รูป (ในจำนวนนี้ระดับสูงสุด คือ “ชั้นเทพ” มีมากถึง 6 รูป)
ยังไม่นับรวมพฤติกรรมเงียบในที่ลับที่ทำ “ช็อก” ทั้งสังคม โดยเฉพาะหลักฐานแชตข้อความ และภาพถ่ายมัดตัว ที่กว่าเรื่องราวจะเฉลยก็ถลำลึกกันมานาน
ก่อนเรื่องราวจะข้ามปี “ทีมข่าวอาชญากรรม” มีโอกาสสอบถามถึงคดีดังนี้อีกครั้ง ในมุมมองของ “มือปราบพระ” ฉายาที่มาพร้อมวิกฤติศรัทธา “ล่า” พระสงฆ์ฝ่าวินัย-กระทำผิดกฎหมาย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าชุดทำคดีสีกากอล์ฟ เล่าย้อนจุดเริ่มต้นคดีว่า ได้รับแจ้งจากพระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้ามาปรึกษาเรื่องการถูกกรรโชกทรัพย์ พร้อมภาพหลักฐานที่หวั่นเกรงว่าจะทำให้สังคมตกใจ โดยภาพดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ พระเทพวชิรปาโมกข์ หรือ เจ้าคุณอาชว์ (นายอาชว์ ซื่อสัตย์) ซึ่งตามข้อมูลพบถูกสีกากอล์ฟเรียกเงินประมาณ 7–8 ล้านบาท
ต่อมามีความพยายามให้พระรูปดังกล่าวสึกแต่ไม่เป็นผล จนเจ้าตัวหนีไปสึกที่วัดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การตรวจสอบบ้านพักของผู้ต้องหาเผยหลักฐานจำนวนมาก ทั้งโทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าผู้ชาย จีวร เอกสารบันทึก รวมถึงไฟล์แชตกว่า 80,000 ไฟล์ และวิดีโออีกกว่า 5,000 คลิป ซึ่งโยงไปถึงพระหลายรูป โดยมีพระ 10 รูปที่พบหลักฐานชัดเจน
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยในส่วนของ มหาเถรสมาคม (มส.) ได้ให้อำนาจตำรวจดำเนินการอย่างเต็มที่ แม้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ แต่ถือเป็นความจำเป็น เพื่อเผชิญ “ความจริง” และนำไปสู่การแก้ไขระเบียบ ข้อบังคับ รวมถึงกฎหมายที่ทำให้ทุจริตได้ยากขึ้น
“ปัญหานี้สะท้อนชัดว่า วัดที่มีเงินมาก มักมีปัญหามากตามไปด้วย ทั้งเรื่องผู้หญิงและการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ จนกลายเป็นเหตุผลให้ตั้งระบบตรวจสอบใหม่ เช่น การให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปวางระบบบริหารตั้งแต่วัดเล็กถึงวัดใหญ่ เพื่อปิดช่องโหว่ที่นำไปสู่การทุจริต”
สำหรับช่องโหว่ที่ทำให้คดีลุกลาม มองว่ามาจากหลายปัจจัย ทั้งพระที่ยังไม่ตัดกิเลส ไม่มีประสบการณ์ทางโลก ถูกชักนำได้ง่าย รวมถึงการบริหารเงินจำนวนมากโดยขาดความรู้ ทำให้เกิดการใช้เงินผิดประเภท และนำไปสู่ผลกระทบที่ต้องเร่งแก้ไข ทั้ง มส. สำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) และตำรวจ ต่างก็ต้องร่วมมือกัน เพื่อปกป้องศรัทธาสาธารณะ
แม้บางฝ่ายมองว่าตำรวจ ไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องวินัยสงฆ์ แต่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยืนยันว่า ตำรวจทำเพียงให้ความร่วมมือ เพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพื่อ “ทำลาย”
ขณะที่มาตรการเปิดบัญชีวัด ถูกมองว่าเป็นอีกก้าว เพื่อสร้างความโปร่งใส เพราะเมื่อระบบดี เงินก็ถูกใช้ไปในทางที่ถูกต้อง คดีสีกากอล์ฟจึงเป็นบทเรียนว่าทุกวงการมีทั้งคนดีและไม่ดี พระไทยมีถึง 300,000 รูป แต่ปัญหามักเกิดกับเพียงบางกลุ่ม ซึ่งต้องจัดการเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพรวมศาสนา
จบคดีสีกากอล์ฟ….ช็อกซ้ำหลวงพ่ออลงกต ทุจริตเงินวัด !
ต่อเนื่องจากคดีสีกากอล์ฟ คดีทุจริตเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งแม้จะเป็นวัดที่สร้างประโยชน์ต่อสังคมมากว่า 30 ปี แต่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ชี้ว่าเมื่อมีการร้องเรียนจำนวนมาก ก็จำเป็นต้องตรวจสอบให้เห็นข้อเท็จจริง เพื่อสะท้อนให้สังคมเห็นว่าการบริหารเงินวัดมี “จุดอ่อน” ตรงไหน
“ประชาชนต้องมีสติในการทำบุญ ไม่ปล่อยให้ความเชื่อถูกนำไปใช้ในลักษณะเรี่ยไรไม่รู้จบ ศาสนาสอนให้ทำดี แต่ประชาชนต้องใช้สติด้วย”
ตราบใดที่พุทธศาสนายังเป็นที่พึ่งของสังคมไทย ทุกคนย่อมต้องช่วยกันประคับประคอง และการ “ตัดเนื้อร้าย” แม้จะเจ็บปวดแต่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สิ่งดี ๆ คงอยู่
แม้ฉายา “มือปราบพระ” จะโด่งดัง แต่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุ ไม่ได้รู้สึกอะไร มองว่าเป็นเพียงหน้าที่ของตำรวจ เมื่อมีผู้กระทำผิดก็ต้องดำเนินการ เพื่อประโยชน์ของประเทศและสถาบันพระพุทธศาสนา ปัจจุบัน ศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา ยังได้รับร้องเรียนกว่า 800 เคส ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสีกา เงินวัด และยาเสพติด ซึ่งเป็น “สัญญาณ” ว่าปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ยังไม่จบง่าย ๆ…
วิกฤติศรัทธาที่ปะทุจากทั้งคดีสีกากอล์ฟและการทุจริตเงินวัด ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดของบุคคล แต่คือสัญญาณเตือนว่าระบบกำกับดูแลวัดในไทยกำลังสึกกร่อน การปล่อยให้เงินบริจาคจำนวนมหาศาลไหลเวียนโดยไร้กรอบการตรวจสอบ เปิดช่องให้ “กิเลส” กัดกร่อนได้ง่ายกว่าที่คิด
การเปิดโปงความจริงและการยอมเจ็บเพื่อปฏิรูป จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการฟื้นฟูศรัทธา แม้จะสะเทือนภาพลักษณ์ แต่จำเป็นเพื่อปกป้องสิ่งที่ใหญ่กว่า นั่นคือศรัทธาของประชาชนต่อพระพุทธศาสนา
ท้ายที่สุดวิกฤตินี้ควรเป็นบทเรียนร่วมของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และชาวพุทธ ให้ตระหนัก “ศรัทธาจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อมีความโปร่งใสและความรับผิดชอบ” การปฏิรูปวันนี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการรักษาอนาคตของหนึ่งในสถาบันหลักที่ยืนอยู่คู่สังคมไทยมานานนับพันปี.
สถิติเบาะแสตั้งแต่เปิดศูนย์ ฯ มี 829 เรื่อง
-ร้องเรียนว่ากระทำผิดกฎหมาย 132 เรื่อง
-ร้องเรียนพฤติกรรมไม่เหมาะสม 541 เรื่อง
-หลักฐานในการตรวจสอบไม่เพียงพอ(ยุติ) 156 เรื่อง
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน