โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เปิดถ้อยแถลงไทย–กัมพูชาฉบับเต็ม หลังลงนามหยุดยิง 72 ชั่วโมง ห้ามเคลื่อนไหว -ห้ามยั่วยุ

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

จากที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้นำคณะไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย–กัมพูชา เพื่อหารือสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนและมาตรการลดการเผชิญหน้า

ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีกลาโหม เข้าร่วมประชุมพร้อมคณะ โดยมีฝ่ายเลขานุการ GBC ทั้งสองประเทศเข้าร่วม อาทิ ฝ่ายไทย พล.อ.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว รองเสนาธิการทหาร และฝ่ายกัมพูชา พล.ต.แยม โบราเดน รองหัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหมกัมพูชา การหารือใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะลงนามในถ้อยแถลงร่วมซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์

สำหรับถ้อยแถลงที่สำคัญหลังการประชุม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของการตอบโต้ของฝ่ายไทย และการกำหนดเงื่อนไขการหยุดยิง เป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่ส่งผลให้กำลังพลของไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

กองทัพจึงจำเป็นต้องตอบโต้ภายใต้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ และภายใต้หลักการทางทหารสากลอย่างเคร่งครัด, ทั้งนี้ ในการพิจารณาหยุดยิง ไทยได้กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจน 3 ประการ เพื่อให้เกิดความสงบอย่างแท้จริงและยั่งยืน ดังนี้:

• ประการแรก: ต้องมีการประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการและจริงใจ แม้ฝ่ายกัมพูชาจะเคยประกาศต่อที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่าจะขอหยุดยิงตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม (ตามแหล่งข้อมูลที่ระบุก่อนหน้านี้) เวลา 22:00 น. โดยไม่มีเงื่อนไข แต่ฝ่ายไทยเห็นว่าการหยุดยิงที่จะยั่งยืนต้องเกิดจากการที่ทั้งสองฝ่ายได้มาพูดคุยกันอย่างจริงใจ จึงเป็นที่มาของการประชุม GBC ในครั้งนี้ และการจัดทำแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อใช้เป็นหลักการสำคัญในการแก้ไขปัญหาระหว่างสองประเทศแบบทวิภาคีอย่างแท้จริง

• ประการที่สอง: การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง, ทั้งสองฝ่ายจึงร่วมกันกำหนดมาตรการสำคัญ คือให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงตั้งแต่วันนี้(27 ธ.ค. 2568) เวลา 12:00 น. และสาระสำคัญที่สุดคือ ให้ทั้งสองฝ่ายคงกำลังทหารในพื้นที่ระดับปัจจุบัน โดยต้องไม่มีการเคลื่อนย้าย เสริมกำลัง หรือโจมตียั่วยุซ้ำ โดยจะมีการเฝ้าสังเกตการณ์การหยุดยิงเป็นเวลา 72 ชั่วโมง เพื่อยืนยันความต่อเนื่อง เมื่อสถานการณ์สงบ ประชาชนจะสามารถกลับเข้าที่พักอาศัยได้อย่างปลอดภัย และหลังจากนั้นจะมีการปล่อยตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 นาย ตามหลักสากลที่จะให้ปล่อยตัวเมื่อสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์

• ประการที่สาม: ต้องมีเจตนาความตั้งใจอย่างสุจริตในการแก้ไขปัญหาทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นประเด็นด้านมนุษยธรรมที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นพ้องในแนวทางลดความตึงเครียดและกำหนดกลไกปฏิบัติที่ชัดเจนผ่าน คณะทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (JCTF) เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีระบบ ปลอดภัย และโปร่งใส โดยขอย้ำว่าจะต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้แล้วเสร็จเพื่อให้พื้นที่ปลอดภัย ก่อนที่จะมีการสำรวจและจัดทำหลักเกณฑ์ในระยะต่อไป

สำหรับกลไกการปฏิบัติและการสื่อสาร เพื่อให้ข้อตกลงในแถลงการณ์ร่วมนำไปสู่การปฏิบัติจริงและการตรวจสอบได้ จึงมีการกำหนดกลไกดังนี้:

1. คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ตามความร่วมมือของอาเซียนในการรักษาความมั่นคงภูมิภาค

2. สำนักงานประสานงานชายแดน ของทั้งสองประเทศในระดับพื้นที่

3. การสื่อสารระดับนโยบายผ่านสายด่วน (Hotline) ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่าย หากจำเป็นผู้แทนระดับสูงจะลงพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน

4. ทีมสื่อสารร่วม ของทั้งสองประเทศ เพื่อป้องกันข่าวบิดเบือน ข่าวปลอม และข่าวพิกัดยั่วยุ ซึ่งที่ผ่านมาทำให้การแก้ไขปัญหายากขึ้น

"การพิทักษ์อธิปไตยและการดูแลกำลังพล จากการปฏิบัติการทางการทหาร กองทัพสามารถควบคุมภูมิประเทศสำคัญที่มีผลกระทบต่อประชาชนตามที่กำหนดไว้แล้ว การเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของทหารไทยในครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า ในฐานะอดีตทหาร ผมตระหนักเสมอว่าการปกป้องประเทศชาติเป็นหน้าที่และเกียรติสูงสุด อย่างไรก็ตาม เราต้องคำนึงถึงปัจจัยระดับยุทธศาสตร์ด้านอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ และความชอบธรรมของไทยในเวทีสากลด้วย"

นอกจากนี้ แถลงการณ์ร่วมยังคงรักษาข้อตกลงทวิภาคีเดิม เช่น อนุสัญญาออตตาวา การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการค้ามนุษย์

บทสรุปและคำมั่นต่อประชาชน รัฐบาลไม่เคยมองข้ามความรู้สึกโกรธ เจ็บ ปวด และห่วงใยของประชาชน และไม่ประมาทต่อบทเรียนความสูญเสียที่ผ่านมา รัฐบาลจะรับผิดชอบโดยตรงในการดูแลสิทธิ สวัสดิการ การเยียวยาผู้บาดเจ็บและครอบครัวในระยะยาว รวมถึงการดูแลกำลังพลหลังการรบอย่างเร่งด่วน

การหยุดยิงครั้งนี้คือ การเปิดโอกาสให้ใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีในเวทีทางการทูต, รัฐบาลและกองทัพจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตัดสินใจทุกขั้นตอนบนข้อเท็จจริง โดยยึดถืออธิปไตย ศักดิ์ศรีของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ขอขอบคุณทหารทุกนายและประชาชนชาวไทยที่ยืนหยัดเคียงข้างประเทศชาติด้วยความเข้มแข็ง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...