นักวิชาการชี้ “ภูมิใจไทย” นโยบายครบ 4 มิติ สะท้อนประสบการณ์รัฐบาล พร้อมชนเลือกตั้ง 2569
วันที่ 25 ธ.ค.68 ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น อาจารย์ประจำภาควิชาการบริหารและจัดการเมือง วิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวถึงการแถลงนโยบายของพรรคภูมิใจไทยว่า นโยบายดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งปี 2569 โดยมีกรอบใหญ่ 4 ด้านหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม และการรับมือภัยพิบัติ ซึ่งสะท้อนความพยายามของพรรคในการนำเสนอภาพความพร้อมรอบด้าน
ในมิติด้านเศรษฐกิจ พรรคภูมิใจไทยเน้นการสานต่อนโยบาย “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ GDP 3% พลัส ควบคู่กับนโยบายค่าไฟฟ้า 3 บาท การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และการผลักดันการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
ด้านความมั่นคง พรรคเสนอแนวคิดใหม่ในการจัดตั้งทหารอาสาจำนวน 100,000 คน พร้อมเงินเดือนเริ่มต้น 12,000 บาท และการฝึกอบรมจนเป็นนายสิบ ควบคู่กับการเสริมสร้างกำแพงความมั่นคงชายแดน การคัดกรองภัยคุกคาม และการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติดในทุกอำเภอ
ส่วนด้านสังคม มุ่งเน้นนโยบายพยาบาลอาสา เงินเดือน 15,000 บาท สำหรับบัณฑิตจบใหม่ เพื่อดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ การสร้างงานให้ผู้สูงวัยมีรายได้ รวมถึงการยกระดับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัส”
ขณะที่ด้านภัยพิบัติ พรรคเสนอการจัดตั้งกองทุนภัยพิบัติเพื่อการบรรเทาและฟื้นฟู พร้อมยกระดับระบบบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศให้มีความเข้มแข็งและเป็นระบบมากขึ้น
ผศ.ดร.เชษฐา ระบุว่า นโยบายที่พรรคภูมิใจไทยประกาศออกมามีความครอบคลุมหลายมิติ และสะท้อนการคิดวิเคราะห์จากประสบการณ์การบริหารประเทศจริงในฐานะแกนนำรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี โดยมองว่าเป็นการส่งสัญญาณความพร้อมของ “พรรคสีน้ำเงิน” ในการลงสนามเลือกตั้งต้นปีหน้าอย่างเต็มตัวอย่างน้อย 3 ประการ
ประการแรก คือการแสดงความพร้อมสานต่อการเป็นรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ประเทศสะดุดจากการเปลี่ยนแกนนำรัฐบาลบ่อยครั้ง อาทิ การสานต่อนโยบายคนละครึ่งพลัส และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัส รวมถึงการรับประกันบทบาทรัฐมนตรีคนนอกที่มีผลงานโดดเด่น ได้แก่ รมว.เอกนิติ รมว.ศุภจี และ รมว.สีหศักดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและควบรัฐมนตรีในกระทรวงเดิมต่อไป
ประการที่สอง คือการรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อเสถียรภาพของประเทศ ทั้งด้านความมั่นคง การดูแลสังคมผู้สูงอายุ และการรับมือภัยพิบัติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี
และประการที่สาม คือการยึดแนวทางนโยบายที่สามารถเกิดขึ้นจริง สอดคล้องกับอัตลักษณ์ “พูดแล้วต้องทำได้” ของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่นโยบายที่เพ้อฝันเกินความเป็นจริง โดยยกตัวอย่างการตั้งเป้า GDP 3% พลัส และนโยบายค่าไฟฟ้า 3 บาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างเศรษฐกิจและต้นทุนพลังงานในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.เชษฐา ระบุว่า หากพรรคภูมิใจไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาล ยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องบริหารจัดการ โดยเฉพาะภาระงบประมาณที่ค่อนข้างสูง และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากการกระตุ้นกำลังซื้อในวงกว้าง แต่หากทีมรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจยังเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันไว้ ก็เชื่อว่าจะสามารถวางแผนการเงินการคลังอย่างรัดกุม เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพงบประมาณของประเทศในระยะยาวได้