อภ.-ปตท.ชะลอความร่วมมือสร้าง ‘โรงงานผลิตยามะเร็ง’ ในไทย
เมื่อปี 2563 องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จับมือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เดินหน้าพัฒนาโครงการโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งของประเทศไทย อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมวนารมย์ของ ปตท. หรือ PTT WEcoZi อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง
ขั้นตอนก่อนการสร้างต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งขั้นละเอียด (Detailed Feasibility Study) ก่อนสรุปผลการศึกษาและประเมินแนวทางการขับเคลื่อนโครงการนี้ต่อไป ซึ่งตามแผนเดิมนั้นจะดำเนินการก่อสร้างโรงงานในปี 2565 เพื่อให้สามารถทำการวิจัยพัฒนาและผลิตยารักษาโรคมะเร็งเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2570
ชะลอสร้างโรงงานผลิตยามะเร็ง
ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการนี้ ดร.ภก.จตุพล เจริญกิจไพบูลย์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ความร่วมมือในการสร้างโรงงานผลิตยามะเร็งมีการชะลอโครงการ หลังจากการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) โดยเฉพาะในด้านการเงิน พบว่าโครงการอาจจะยังไม่มีความคุ้มค่าเพียงพอในขณะนี้
เนื่องจากปัจจุบันราคายามะเร็งในประเทศมีราคาถูกลง จากที่ยาหลายรายการหมดสิทธิบัตรแล้ว ทำให้กลายเป็นยาสามัญ (Generic drugs) ที่ทุกบริษัทสามารถผลิตได้ จึงมีการแข่งขันกันสูงมากจนราคาลดลงมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะยามะเร็งกลุ่มยาชีววัตถุ (Biosimilar) ดังนั้น เมื่อราคานำเข้าถูกมาก การลงทุนสร้างโรงงานเองด้วยงบประมาณหลายพันล้านบาท จึงต้องพิจารณาความคุ้มค่าอย่างละเอียด
อภ.แสวงหาพาร์ทเนอร์ต่างชาติ
เมื่อมีการชะลอโครงการโรงงานผลิตยามะเร็งร่วมกับปตท. ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมจึงกำลังแสวงหาพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ใหม่ในการสร้างโรงงาน โดยมองไปที่พาร์ทเนอร์ต่างประเทศ ที่มีเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ความชำนาญ(Know-how)พร้อมอยู่แล้ว เพื่อเข้ามาร่วมทุน (Joint Venture) จะเป็นการ "Shortcut" หรือทางลัด ช่วยให้ข้ามขั้นตอนการวิจัยและเริ่มผลิตได้เร็วขึ้น
พื้นที่ในการจัดตั้งโรงงานวางแผนจะใช้พื้นที่ขององค์การเภสัชกรรมที่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ในเขต EEC อยู่แล้ว แต่จากการนำพาร์ทเนอร์ไปดูพื้นที่ พบว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำและไฟฟ้า ที่อาจยังไม่พร้อมเท่ากับนิคมอุตสาหกรรมบางแห่ง ซึ่งความพร้อมตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่พาร์ทเนอร์จะใช้ตัดสินใจเลือก
“การมีโรงงานผลิตยามะเร็งในประเทศมีความสำคัญมาก เพราะโรคมะเร็งเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่สำคัญ และเมื่อไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโอกาสที่จะตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย การที่สามารถผลิตยาได้เองในประเทศจึงเป็นเรื่องของความมั่นคงทางยา เพื่อรองรับและดูแลผู้ป่วยในอนาคต แม้ตอนนี้โครงการบางส่วนจะชะลอไป แต่องค์การเภสัชกรรมยังมีความจำเป็นต้องเดินหน้าหาทางทำให้เกิดขึ้นให้ได้”ดร.ภก.จตุพลกล่าว
จับมืออินโนบิกทำตลาดยามะเร็ง
ดร.ภก.จตุพล ย้ำว่า อภ.ยังคงมีความร่วมมือกับ ปตท. ในด้านอื่นๆ อยู่ เช่น ด้านการตลาดผ่าน บริษัทอินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ที่เป็นบริษัทลูกของ ปตท. เข้ามาช่วยองค์การเภสัชกรรมในเรื่องการตลาดสำหรับยามะเร็ง ซึ่งในปี 2568 มีการดำเนินการแล้ว 2 รายการแรก กลุ่มยารักษามะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นการนำเข้ามาภายใต้แบรนด์ขององค์การเภสัชกรรม ส่วนอินโนบิกช่วยทำการตลาด
และในปี 2569 วางแผนจะนำเข้ายามะเร็งเพิ่มอีก ไม่เกิน 2 ตัว โดยอินโนบิกจะดำเนินการเรื่องการทำตลาดเหมือนเดิม เป็นการสร้างแบรนด์ยามะเร็งเข้าสู่ตลาดในประเทศควบคู่ไปกับการแสวงหาพาร์ทเนอร์ในการก่อสร้างโรงงานผลิต เพราะหากรอให้มีการสร้างโรงงานเสร็จแล้วค่อยสร้างแบรนด์จะช้าเกินไป
“ภาพรวมปัจจุบันประเทศไทยต้อง นำเข้ายามะเร็งเกือบ 99% มีเพียงประมาณ 1% เท่านั้นที่ผลิตได้เองในประเทศ โดยมาจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ที่ผลิตยาชีววัตถุ และ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่ผลิตยามะเร็งชนิดเคมีบำบัด”ดร.ภก.จตุพลกล่าว
ยื่น BOI ลุยผลิตวัตถุดิบทางยา
นอกเหนือจากเรื่องยามะเร็ง ยังมีความร่วมมือกับ ปตท. ในโครงการศึกษาการผลิต วัตถุดิบทางยา (API) ที่เป็นความร่วมมือ 3 ฝ่าย คือ องค์การเภสัชกรรม ,ปตท. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอรับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ( BOI )โดยคาดหวังการสนับสนุนประมาณ 30-40% เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อได้ เพราะต้องใช้งบประมาณก่อสร้างเป็นพันล้านบาท
“แต่โอกาสความเป็นไปได้ก็ค่อนข้างน้อย ปัญหาหลักของไทยคือเรื่องต้นทุน เพราะผู้ผลิตวัตถุดิบทางยารายใหญ่อย่างอินเดียและจีน มีกำลังการผลิตมหาศาล ทำให้สามารถลดราคาลงได้ต่ำมาก ส่วนไทยเมื่อสร้างโรงงานในประเทศที่มีปริมาณการผลิตไม่ได้มากขนาดนั้น ต้นทุนจึงสูงกว่าสินค้านำเข้าและยากที่จะแข่งขันด้านราคา แต่เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของประเทศ ก็ยังไม่ละทิ้งโปรเจกต์นี้ เพียงแต่ต้องหางบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมจากภายนอกไม่ใช่แค่จาก 3 ฝ่าย”ดร.ภก.จตุพลกล่าว
อนึ่ง โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่องนาน 20 ปี คนไทยเสียชีวิตกว่า 80,000 คนต่อปี องค์การเภสัชกรรมจึงมีแผนก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งขึ้นมาโดยเฉพาะ มุ่งเน้นการผลิตยารักษาโรคมะเร็ง
- ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
- กลุ่มยารักษาแบบจำเพาะเจาะจง (Targeted Therapy) ประกอบด้วย
- ยาชนิดเม็ดประเภท Tyrosine Kinase Inhibitors (TKIs) ซึ่งเป็นยาชนิด small molecule สามารถแพร่เข้าเซลล์และจับกับเป้าหมายภายในเซลล์ได้โดยตรง
- และยาฉีดชีววัตถุคล้ายคลึงประเภท Monoclonal antibodies (Biosimilar) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ แต่จะไปจับเป้าหมายที่อยู่ภายนอกเซลล์หรือบนผิวเซลล์
ในปี 2563 มีการคาดการณ์ไว้ว่าความร่วมมือในการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง เมื่อผลิตได้สำเร็จคาดว่าจะช่วยลดราคายาลงได้มากกว่า 50 % ลดภาระการนำเข้ายาจากต่างประเทศซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด มูลค่ามากกว่า 21,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้เพิ่มการเข้าถึงยาได้มากขึ้น เป็นการพึ่งพาตนเอง และยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมยาของไทยทัดเทียมสากล สร้างความมั่นคงทางยา ถือเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน