โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

อภ.-ปตท.ชะลอความร่วมมือสร้าง ‘โรงงานผลิตยามะเร็ง’ ในไทย

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อปี 2563 องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จับมือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เดินหน้าพัฒนาโครงการโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งของประเทศไทย อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมวนารมย์ของ ปตท. หรือ PTT WEcoZi อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง

ขั้นตอนก่อนการสร้างต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งขั้นละเอียด (Detailed Feasibility Study) ก่อนสรุปผลการศึกษาและประเมินแนวทางการขับเคลื่อนโครงการนี้ต่อไป ซึ่งตามแผนเดิมนั้นจะดำเนินการก่อสร้างโรงงานในปี 2565 เพื่อให้สามารถทำการวิจัยพัฒนาและผลิตยารักษาโรคมะเร็งเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2570

ชะลอสร้างโรงงานผลิตยามะเร็ง

ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการนี้ ดร.ภก.จตุพล เจริญกิจไพบูลย์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ความร่วมมือในการสร้างโรงงานผลิตยามะเร็งมีการชะลอโครงการ หลังจากการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) โดยเฉพาะในด้านการเงิน พบว่าโครงการอาจจะยังไม่มีความคุ้มค่าเพียงพอในขณะนี้

เนื่องจากปัจจุบันราคายามะเร็งในประเทศมีราคาถูกลง จากที่ยาหลายรายการหมดสิทธิบัตรแล้ว ทำให้กลายเป็นยาสามัญ (Generic drugs) ที่ทุกบริษัทสามารถผลิตได้ จึงมีการแข่งขันกันสูงมากจนราคาลดลงมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะยามะเร็งกลุ่มยาชีววัตถุ (Biosimilar) ดังนั้น เมื่อราคานำเข้าถูกมาก การลงทุนสร้างโรงงานเองด้วยงบประมาณหลายพันล้านบาท จึงต้องพิจารณาความคุ้มค่าอย่างละเอียด

อภ.แสวงหาพาร์ทเนอร์ต่างชาติ

เมื่อมีการชะลอโครงการโรงงานผลิตยามะเร็งร่วมกับปตท. ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมจึงกำลังแสวงหาพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ใหม่ในการสร้างโรงงาน โดยมองไปที่พาร์ทเนอร์ต่างประเทศ ที่มีเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ความชำนาญ(Know-how)พร้อมอยู่แล้ว เพื่อเข้ามาร่วมทุน (Joint Venture) จะเป็นการ "Shortcut" หรือทางลัด ช่วยให้ข้ามขั้นตอนการวิจัยและเริ่มผลิตได้เร็วขึ้น

พื้นที่ในการจัดตั้งโรงงานวางแผนจะใช้พื้นที่ขององค์การเภสัชกรรมที่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ในเขต EEC อยู่แล้ว แต่จากการนำพาร์ทเนอร์ไปดูพื้นที่ พบว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำและไฟฟ้า ที่อาจยังไม่พร้อมเท่ากับนิคมอุตสาหกรรมบางแห่ง ซึ่งความพร้อมตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่พาร์ทเนอร์จะใช้ตัดสินใจเลือก

“การมีโรงงานผลิตยามะเร็งในประเทศมีความสำคัญมาก เพราะโรคมะเร็งเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่สำคัญ และเมื่อไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโอกาสที่จะตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย การที่สามารถผลิตยาได้เองในประเทศจึงเป็นเรื่องของความมั่นคงทางยา เพื่อรองรับและดูแลผู้ป่วยในอนาคต แม้ตอนนี้โครงการบางส่วนจะชะลอไป แต่องค์การเภสัชกรรมยังมีความจำเป็นต้องเดินหน้าหาทางทำให้เกิดขึ้นให้ได้”ดร.ภก.จตุพลกล่าว

จับมืออินโนบิกทำตลาดยามะเร็ง

ดร.ภก.จตุพล ย้ำว่า อภ.ยังคงมีความร่วมมือกับ ปตท. ในด้านอื่นๆ อยู่ เช่น ด้านการตลาดผ่าน บริษัทอินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ที่เป็นบริษัทลูกของ ปตท. เข้ามาช่วยองค์การเภสัชกรรมในเรื่องการตลาดสำหรับยามะเร็ง ซึ่งในปี 2568 มีการดำเนินการแล้ว 2 รายการแรก กลุ่มยารักษามะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นการนำเข้ามาภายใต้แบรนด์ขององค์การเภสัชกรรม ส่วนอินโนบิกช่วยทำการตลาด

และในปี 2569 วางแผนจะนำเข้ายามะเร็งเพิ่มอีก ไม่เกิน 2 ตัว โดยอินโนบิกจะดำเนินการเรื่องการทำตลาดเหมือนเดิม เป็นการสร้างแบรนด์ยามะเร็งเข้าสู่ตลาดในประเทศควบคู่ไปกับการแสวงหาพาร์ทเนอร์ในการก่อสร้างโรงงานผลิต เพราะหากรอให้มีการสร้างโรงงานเสร็จแล้วค่อยสร้างแบรนด์จะช้าเกินไป

“ภาพรวมปัจจุบันประเทศไทยต้อง นำเข้ายามะเร็งเกือบ 99% มีเพียงประมาณ 1% เท่านั้นที่ผลิตได้เองในประเทศ โดยมาจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ที่ผลิตยาชีววัตถุ และ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่ผลิตยามะเร็งชนิดเคมีบำบัด”ดร.ภก.จตุพลกล่าว

ยื่น BOI ลุยผลิตวัตถุดิบทางยา

นอกเหนือจากเรื่องยามะเร็ง ยังมีความร่วมมือกับ ปตท. ในโครงการศึกษาการผลิต วัตถุดิบทางยา (API) ที่เป็นความร่วมมือ 3 ฝ่าย คือ องค์การเภสัชกรรม ,ปตท. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอรับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ( BOI )โดยคาดหวังการสนับสนุนประมาณ 30-40% เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อได้ เพราะต้องใช้งบประมาณก่อสร้างเป็นพันล้านบาท

“แต่โอกาสความเป็นไปได้ก็ค่อนข้างน้อย ปัญหาหลักของไทยคือเรื่องต้นทุน เพราะผู้ผลิตวัตถุดิบทางยารายใหญ่อย่างอินเดียและจีน มีกำลังการผลิตมหาศาล ทำให้สามารถลดราคาลงได้ต่ำมาก ส่วนไทยเมื่อสร้างโรงงานในประเทศที่มีปริมาณการผลิตไม่ได้มากขนาดนั้น ต้นทุนจึงสูงกว่าสินค้านำเข้าและยากที่จะแข่งขันด้านราคา แต่เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของประเทศ ก็ยังไม่ละทิ้งโปรเจกต์นี้ เพียงแต่ต้องหางบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมจากภายนอกไม่ใช่แค่จาก 3 ฝ่าย”ดร.ภก.จตุพลกล่าว

อนึ่ง โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่องนาน 20 ปี คนไทยเสียชีวิตกว่า 80,000 คนต่อปี องค์การเภสัชกรรมจึงมีแผนก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งขึ้นมาโดยเฉพาะ มุ่งเน้นการผลิตยารักษาโรคมะเร็ง

  • ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
  • กลุ่มยารักษาแบบจำเพาะเจาะจง (Targeted Therapy) ประกอบด้วย
  • ยาชนิดเม็ดประเภท Tyrosine Kinase Inhibitors (TKIs) ซึ่งเป็นยาชนิด small molecule สามารถแพร่เข้าเซลล์และจับกับเป้าหมายภายในเซลล์ได้โดยตรง
  • และยาฉีดชีววัตถุคล้ายคลึงประเภท Monoclonal antibodies (Biosimilar) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ แต่จะไปจับเป้าหมายที่อยู่ภายนอกเซลล์หรือบนผิวเซลล์

ในปี 2563 มีการคาดการณ์ไว้ว่าความร่วมมือในการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง เมื่อผลิตได้สำเร็จคาดว่าจะช่วยลดราคายาลงได้มากกว่า 50 % ลดภาระการนำเข้ายาจากต่างประเทศซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด มูลค่ามากกว่า 21,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้เพิ่มการเข้าถึงยาได้มากขึ้น เป็นการพึ่งพาตนเอง และยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมยาของไทยทัดเทียมสากล สร้างความมั่นคงทางยา ถือเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...