โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เมื่อสังคมถามหา ‘วาร์ป’ มากกว่าคนผิด ทำให้หยื่อถูกทำร้าย ‘ซ้ำ’ ในนามความบันเทิง เพราะยอมให้ถ่าย ≠ เผยแพร่ได้

The Momentum

อัพเดต 31 ธันวาคม 2568 เวลา 22.24 น. • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • THE MOMENTUM

ทุกครั้งที่คำว่า ‘คลิปหลุด’ ปรากฏขึ้นบนหน้าฟีด สิ่งที่มักตามมาอย่างรวดเร็วไม่ใช่คำถามว่า ใครเป็นผู้กระทำหรือเหยื่อปลอดภัยหรือไม่ แต่กลับเป็นคำถามอย่าง “มีวาร์ปไหม” หรือ “ขอพิกัดหน่อย”

คำถามเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างความรุนแรงทางเพศในโลกดิจิทัล ที่ทำให้เหยื่อถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านสายตา การเสพ และการส่งต่อ แม้เหตุการณ์จะจบลงไปแล้วก็ตาม

สำหรับเหยื่อ ภาพหรือคลิปบนโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว แทบไม่มีวันเรียกคืนหรือกำจัดให้หายไปได้ ภาพหลุดเพียงภาพเดียวอาจส่งผลไปตลอดชีวิต

‘การขอวาร์ป’ ความรุนแรงที่สังคมทำเป็นมองไม่เห็น

เมื่อเกิดกรณีคลิปหลุดของเหยื่อหรือคนมีชื่อเสียง สิ่งที่ปรากฏแทบจะพร้อมกันไม่ใช่แค่ไฟล์วิดีโอ แต่คือท่าทีของสังคมที่รีบเร่งเข้ามารุมซ้ำเติมอย่างเลือดเย็น พื้นที่โซเชียลมีเดียแทบทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยคอมเมนต์เชิงคุกคามทางเพศ การโทษเหยื่อ และการตามขอวาร์ปอย่างไม่รู้สึกผิด ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็มีสิทธิร่วมวงได้

“งานดี”

“ขอวาร์ปหน่อย”

ถ้อยคำเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นเพียงความคิดเห็นลอยๆ แต่สำหรับผู้ถูกกระทำ มันไม่ต่างจากมีดที่กรีดซ้ำลงบนบาดแผลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกคำคือการตอกย้ำว่าความเจ็บปวดของเขาเป็นเรื่องบันเทิง และความเจ็บปวดของเขาไม่เคยมีความหมายมากพอจะได้รับความเคารพ

วัฒนธรรมการขอวาร์ปเติบโตอยู่บนความเชื่อที่ว่า การมองคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องรับผิดชอบ และไม่ต้องรู้สึกผิด ชายแท้จำนวนไม่น้อยใช้สิทธินี้อย่างไร้ขอบเขต มองร่างกายของใครบางคนราวกับเป็นวัตถุสาธารณะที่เปิดให้ใครก็ได้เข้าถึง เพียงเพราะมันปรากฏอยู่บนหน้าจอ

น่าหดหู่ยิ่งกว่า เมื่อผู้หญิงจำนวนไม่น้อยกลับเข้าร่วมวงแสดงความสะใจต่อความอับอายของผู้หญิงด้วยกันเอง ทั้งที่ควรจะเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้าใจความเสี่ยง ความกลัว และความเจ็บปวดจากคลิปถูกเผยแพร่มากที่สุด ซึ่งการหัวเราะเยาะหรือซ้ำเติมเหยื่อไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากแต่เป็นการยอมรับตรรกะเดียวกับสังคมชายเป็นใหญ่

สิ่งสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ การครอบครอง การส่งต่อ การบันทึกหน้าจอ การแชร์ต่อ หรือแม้แต่การแสดงความเห็นเชิงเหยียดหยามและคุกคามทางเพศ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการละเมิดสิทธิทั้งสิ้น ต่อให้จะอ้างว่า ‘ไม่ได้เป็นคนปล่อย’ หรือ ‘แค่ดูเฉยๆ’ ก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่า ทุกการกระทำเหล่านี้ช่วยทำให้ความรุนแรงดำรงอยู่ต่อไป

ตราบใดที่เรายังปล่อยให้การมอง การพูด และการแชร์ ทำร้ายคนคนหนึ่งได้โดยไม่ต้องรับผิดอะไรเลย คลิปหลุดก็จะไม่ใช่จุดจบของความรุนแรง แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการซ้ำเติมจากทั้งสังคม

ให้ถ่ายไม่เท่ากับให้เผยแพร่

การยินยอมให้บันทึกภาพหรือวิดีโอในความสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่าความยินยอมนั้นจะขยายไปถึงการเผยแพร่สู่สายตาสาธารณะ แต่สังคมมักเลือกจะไม่เข้าใจความแตกต่างพื้นฐานนี้ เมื่อตัวอย่างอย่างคลิปส่วนตัวหรือ Sex Tape หลุดออกมา คำถามแรกที่เหยื่อต้องเผชิญมักไม่ใช่ “ใครเป็นผู้ละเมิดสิทธิของเขา” แต่กลับเป็น “ผู้หญิงไม่ได้บอกว่าห้ามถ่าย” ราวกับว่าการยอมให้บันทึกคือใบอนุญาตให้คนทั้งสังคมได้เข้ามาดูได้ตามใจชอบ การตั้งคำถามเช่นนี้ไม่ได้ช่วยพาไปสู่ความยุติธรรม แต่เป็นการโยนความผิดจากผู้กระทำไปไว้บนร่างกายของผู้เสียหาย ทั้งยังเป็นตัวอย่างของการกล่าวโทษเหยื่อ (Victim Blaming) ซึ่งหมายถึงการมองว่าเหยื่อมีส่วนทำให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวเอง

อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ‘Revenge Porn’ หรือการเผยแพร่ภาพหรือวิดีโอทางเพศของบุคคลหนึ่งโดยไม่ได้รับความยินยอม ถือเป็นอาชญากรรมทางเพศรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะการกระทำคือ การนำภาพโป๊ของผู้อื่นมาเผยแพร่ต่อบุคคลอื่นหรือสาธารณะ ผู้กระทำมีความตั้งใจเพื่อประจานเหยื่อ และมีมูลเหตุจูงใจเพื่อข่มขู่แก้แค้นเหยื่อ โดยเป็นการนำภาพส่วนบุคคลที่เป็นภาพโป๊ที่มีลักษณะลามกอนาจารทางเพศโดยปราศจากความยินยอม ทั้งที่ตอนแรกผู้เป็นเจ้าของภาพอาจสมัครใจยินยอมเปิดเผย แต่ต่อมาหากเจ้าของภาพไม่อนุญาตหรือต้องการเก็บเป็นส่วนตัว เป็นความลับส่วนบุคคล บุคคลอื่นก็ไม่สามารถนำมาใช้เผยแพร่ได้อีก

แม้ชื่อจะทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นการ ‘เอาคืน’ จากอดีตคนรัก แต่ในความเป็นจริง ผู้กระทำไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนหรืออดีตคู่รัก และแรงจูงใจก็ไม่ได้มีแค่ความแค้น ภาพเหล่านี้อาจได้มาจากการแฮกโทรศัพท์ แฮกบัญชีโซเชียลมีเดีย หรือการขโมยข้อมูลส่วนตัว ก่อนถูกนำมาเผยแพร่เพื่อทำให้เหยื่ออับอายและถูกทำลายต่อหน้าสาธารณะ

ความโหดร้ายของ Revenge Porn ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความอับอาย แต่ลุกลามไปถึงชีวิตจริงของเหยื่อ หลายคนถูกคุกคามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวในทุกพื้นที่ เพราะประเด็นสำคัญไม่เคยอยู่ที่ว่าเหยื่อเคยให้ถ่ายหรือไม่ แต่อยู่ที่การเผยแพร่โดยไม่ยินยอมซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิอย่างชัดเจน ตราบใดที่สังคมยังลดทอนเรื่องนี้ให้เป็นความผิดพลาดส่วนตัว หรือยังโทษเหยื่อมากกว่าผู้กระทำ ความรุนแรงรูปแบบนี้ก็จะยังคงทำลายศักดิ์ศรีและชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งต่อไป

คนเผยแพร่ที่เป็นคนผิดถูกลืม

ทุกครั้งที่คลิปลับหรือสื่อทางเพศถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ สายตาของสังคมมักหันไปจับจ้องที่ร่างกายและชีวิตของเหยื่อ ขณะที่ผู้เผยแพร่กลับเลือนหายไปจากภาพอย่างน่าประหลาด ในขณะเดียวกันปัญหาเชิงโครงสร้างของกฎหมายไทย ที่ยังไม่สามารถเอาผิดการเผยแพร่สื่อทางเพศโดยไม่ยินยอมได้อย่างตรงจุด ทำให้ผู้กระทำจำนวนมากหลุดพ้นจากความรับผิด ขณะที่เหยื่อต้องแบกรับผลกระทบไปตลอดชีวิต

ในบทความชิ้นหนึ่งของบีบีซีไทยระบุว่า ฉัตรชัย เอมราช ทนายความและนักวิจัยด้านกฎหมาย อธิบายว่า ความเสียหายจากการเผยแพร่ภาพโป๊เปลือยมีอย่างน้อย 2 ระดับ ระดับแรกคือความเสียหายที่เกิดกับเหยื่อโดยตรง ทั้งชื่อเสียง ศักดิ์ศรี และความปลอดภัยในชีวิต ส่วนระดับที่ 2 คือความเสียหายต่อสังคม เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี

แต่ปัญหาสำคัญคือ กฎหมายไทยกลับไม่มีบทบัญญัติที่คุ้มครองความเสียหายต่อเหยื่อโดยตรง เหยื่อจึงมักถูกผลักให้ต้องพึ่งกฎหมายหมิ่นประมาท ซึ่งมีข้อจำกัด เพราะนิยามของคำว่า ‘ใส่ความ’ ยังเน้นไปที่การพูดหรือการเขียน ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการทำร้ายผ่านภาพหรือวิดีโอ แม้เจตนาจะเป็นการทำลายชื่อเสียงเช่นเดียวกันก็ตาม

เมื่อหันไปใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ช่องว่างก็ยังคงปรากฏชัด งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบูรพาชี้ว่า มาตรา 14(4) และมาตรา 16 มีปัญหาในการตีความ โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ระบุว่า ‘ข้อมูลที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้’ ทำให้กรณีที่ผู้กระทำส่งคลิปลามกไปประจานเหยื่อในวงจำกัด หรือส่งตรงให้คนใกล้ตัว แม้จะสร้างความเสียหายร้ายแรง ก็อาจไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยวินิจฉัยในลักษณะนี้ ยิ่งตอกย้ำว่ากฎหมายไทยยังยึดติดกับแนวคิดเรื่อง ‘พื้นที่สาธารณะ’ มากกว่าการคุ้มครอง ‘ความยินยอม’ ของเจ้าของภาพ แตกต่างจากบางประเทศที่มีกฎหมาย Revenge Porn โดยเฉพาะ ไม่ว่าการเผยแพร่จะเกิดขึ้นในวงกว้างหรือวงแคบก็ถือเป็นความผิด

แม้ในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่อาจพยายามใช้ข้อหาอื่น เช่น การเผยแพร่สื่อลามกเพื่อประโยชน์ทางการค้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 หรือข้อหารีดเอาทรัพย์ในกรณีแบล็กเมล แต่กฎหมายเหล่านี้ก็ยังไม่ครอบคลุมกรณี Revenge Porn ที่เกิดจากแรงจูงใจส่วนตัว ไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการค้าโดยตรง ผลลัพธ์คือ ผู้เผยแพร่ตัวจริงอาจไม่ถูกลงโทษอย่างเหมาะสม ขณะที่ภาพของเหยื่อกลับวนเวียนอยู่ในโลกออนไลน์อย่างไม่มีวันเลือนหาย เพราะข้อมูลเมื่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตแล้ว สามารถถูกคัดลอกและเผยแพร่ซ้ำได้ไม่รู้จบ

ช่องว่างทางกฎหมายนี้ทำให้ ‘คนผิด’ ถูกลืม แต่ ‘เหยื่อ’ ถูกจดจำในฐานะวัตถุทางเพศตลอดไป

ทั้งนี้ความเป็นธรรมทางเพศจะไม่เกิดขึ้น หากสังคมยังตั้งคำถามกับพฤติกรรมของผู้หญิง มากกว่าการละเมิดสิทธิของผู้กระทำ ถึงเวลาที่เราต้องยืนอยู่ข้างเหยื่อ มองการเผยแพร่โดยไม่ยินยอมเป็นอาชญากรรม และยอมรับร่วมกันว่า ‘ไม่มีใครควรถูกทำร้ายหรือคุกคาม เพื่อความบันเทิงของใคร’

อ้างอิง:

https://www.bbc.com/thai/articles/cjmkm2lmdzzo

https://eige.europa.eu/publications-resources/thesaurus/terms/1459?language_content_entity=en

https://www.psy.chula.ac.th/en/feature-articles/victim-blaming-2/

https://www.thaipbs.or.th/now/content/3439?brid=4Ool67xrnkuHIbYxiK9fww

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...