โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

จ่ายเคลมประกันแผ่นดินไหวแสนล้าน แพนิกชะลอ ‘ซื้อ-โอน’ คอนโด

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 01 เม.ย. เวลา 11.05 น. • เผยแพร่ 01 เม.ย. เวลา 23.04 น.

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทุบซ้ำเศรษฐกิจไทยทั้งภาคอสังหาฯ-ท่องเที่ยว สะเทือนตลาดอาคารคอนโดฯ หวั่นลูกค้าแพนิกชะลอการตัดสินใจซื้อ-โอนคอนโดฯ ยักษ์อสังหาฯเร่งแผนฟื้นเชื่อมั่น ชี้ความกังวลของผู้บริโภคเป็นเพียงอาฟเตอร์ช็อกระยะสั้น 1-2 เดือน เฟรเซอร์สฯไม่ลังเลเดินหน้าลงทุนต่อ สมาคมประกันฯประเมินเคลมแผ่นดินไหวต่ำกว่าแสนล้าน พร้อมส่งสัญญาณ “ขึ้นเบี้ย-จำกัดความคุ้มครอง” รับภัยแผ่นดินไหว SCB-EIC ประเมินความเสียหายเบื้องต้น 3 หมื่นล้าน เอฟเฟ็กต์สต๊อกคอนโดฯกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 7.4 หมื่นยูนิต ต้องใช้เวลาระบายนานขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่ศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงเมืองไทยจนทำให้เกิดเหตุตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่ม ขณะที่อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล และคอนโดมิเนียม ตึกสูงจำนวนมากก็ได้รับผลกระทบ

สะเทือนตลาดคอนโดฯ

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและสื่อสารองค์กร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลกระทบจากอาฟเตอร์ช็อกของแผ่นดินไหว เมื่อวันศุกร์ 28 มีนาคมที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และพื้นที่อื่น ๆ ทั่วไทย

โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจทำให้การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯไม่เป็นไปตามคาดการณ์ และเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของตลาดคอนโดฯ

ทั้งนี้ ตลาดคอนโดฯมีซัพพลายรอการขาย ณ ไตรมาส 1/68 มูลค่ากว่า 458,390 ล้านบาท การเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความวิตกกังวล โดยลูกค้าอาจชะลอการตัดสินใจ และระมัดระวังในการเลือกซื้อคอนโดฯที่มีความสูงมากขึ้น ซึ่งจะต้องคำนึงถึงมาตรการในการออกแบบและก่อสร้าง ที่สามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความวิตกกังวลนี้อาจจะยืดเยื้อ และส่งผลให้การขายคอนโดมิเนียมในปีนี้ดำเนินไปได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในโครงการที่ยังมีสินค้าคงค้างอยู่จำนวนมาก จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้พัฒนาโครงการ ต้องหาวิธีการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

บิ๊กอสังหาฯเร่งฟื้นเชื่อมั่น

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว บทบาทสมาคมคอนโดฯ คือออกมาขับเคลื่อนความมั่นใจ ตึกสูงของไทยวันนี้ไม่ใช่แค่คอนโดมิเนียม แต่รวมอาคารออฟฟิศ โรงแรม ไม่มีตึกที่วิบัติเลย ต้องเอาตรงนี้เป็นจุด Quick Win ประเทศไทยก่อน ต้องร่วมกันสื่อสารเรื่องนี้เพื่อให้เป็นจุดแข็งของประเทศ เป็นความพร้อมของประเทศไทย

“เข้าใจว่าแผ่นดินไหวมีความเสียหายของตัวอาคารเกิดขึ้น แต่ก็มีข้อเท็จจริงว่าวงการก่อสร้างไทยมีมาตรฐานอันดับต้น ๆ ของโลก ฉะนั้น อย่าไปเนกาตีฟประเทศมากนัก ภาพตึก สตง.ที่รับเหมาจีนสร้างถล่มลงมา จะทำให้เมืองไทยไม่มีที่ยืนในเวทีโลก

เราต้องฉายภาพตึกสูงในกรุงเทพฯ ไม่มีแม้แต่ตึกเดียวที่พังทลาย และเราได้เห็นผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่ รายกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของตึกสูง มีการเข้าไปดูแลลูกค้า ผู้พักอาศัยอย่างทันที ได้เป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของผู้ประกอบการที่อยู่ในสมาคมอาคารชุดไทย มีความร่วมแรงร่วมใจ”

สำหรับประเด็นประชาชนมีความกลัวการพักอาศัยในตึกสูงนั้น ยอมรับว่าระยะสั้นเรื่องความตกใจเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนยุคน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่น้ำท่วม 2 เมตร คนที่กำลังจะโอนทาวน์เฮาส์ชานเมืองก็กลัว ไม่ยอมไปรับโอน แต่หลังจากน้ำแห้ง คนที่มีรายได้ก็กลับไปรับโอนกันหมด

“แผ่นดินไหวอาจกระตุกความรู้สึกคน 1-2 เดือน แต่เมื่อได้สติแล้วจะรู้ว่าการอยู่ตึกสูงปลอดภัย เพราะตึกสูงในกรุงเทพฯ ได้รับการพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงแล้วว่าไม่มีตึกถล่มลงมาแม้แต่ตึกเดียว”

FPT ไม่ลังเล-เดินหน้าลงทุน

ด้านนายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้องมีการทบทวนหรือชะลอการลงทุนหรือไม่นั้น มองว่าเรื่องการลงทุนทุกคนก็กลับมาทบทวนเป็นปกติ แต่ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะทำเพราะคนยังแพนิก ยังอยู่ในอาฟเตอร์ช็อก

“ผมคิดว่าเราก็ต้องมาตั้งสติก่อน ถ้าเราผ่านวันศุกร์ 28 มีนาคมมาได้ แผ่นดินไหวงวดนี้เป็นเรื่องผิดปกติ เพียงแต่คนไทยไม่เคยเจอก็จะตื่นตระหนก เพราะฉะนั้น เราต้องตื่นรู้ให้ได้ ต้องเอดูเคตสิ่งต่าง ๆ ในแง่การลงทุน บังเอิญผมทำบ้านแนวราบเยอะ อาจบอกได้ว่าเป็นโอกาสให้บ้านแนวราบ

แต่คิดว่ายังไงก็ตาม คนไทยหนีไม่พ้นการอยู่ตึกสูง เพราะถ้าไปถามคนญี่ปุ่น เขาจะบอกว่าเฉย ๆ ด้วยซ้ำ ฉะนั้น อาจจะรู้สึกว่าแพนิกชั่วคราว ถ้าผ่านได้แล้วการอยู่ในตึกสูงที่การก่อสร้างมีคุณภาพสูง ผมเชื่อว่าจะกลับมาเป็นปกติได้”

สำหรับปี 2568 การวางแผนธุรกิจทำอยู่บนพื้นฐานปัจจัยอนาคตที่คาดเดาไม่ได้อยู่แล้ว มีความเสี่ยงรอบด้านเต็มไปหมด ดังนั้นการทบทวนแผนลงทุนในระหว่างปีจึงไม่ได้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว แต่จะเกี่ยวกับในแง่ภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง

โดยแผนธุรกิจที่เราตัดสินใจลงทุนแล้วก็จะเดินหน้า ไม่ได้กังวลอะไร เพราะว่าท้ายที่สุดถ้าไม่มีคู่แข่งสร้างหรือหยุดลงทุน จะกลับกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจด้วยซ้ำไป ซึ่งเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มีความพร้อมด้านเงินทุน และพร้อมจะแสวงโอกาสลงทุนตลอดเวลา

ศุภาลัย มั่นกระดูกตึกไทยแกร่ง

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มองภาพรวมในเชิงวิศวกรรม ตึกสูงจำนวนราวพันตึกทั่วกรุงเทพฯเกิดความเสียหายไม่มากนัก มีเพียงรอยแตกร้าวในส่วนงานสถาปัตย์หรือฝ้าผนัง ซ่อมแซมได้ ไม่เสียหายถึงขั้นกระดูกหรือโครงสร้างหลักของอาคาร

ผู้ก่อตั้งศุภาลัยเชื่อว่า ความกังวลของผู้บริโภคเป็นเพียงอาฟเตอร์ช็อกระยะสั้น ความเชื่อมั่นจะค่อย ๆ กลับมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงเทรนด์หรือแนวคิดการเลือกอยู่อาศัยของผู้คนในระยะยาว พร้อมย้ำว่า ที่ผ่านมา “ศุภาลัย” พยายามก่อสร้างด้วยมาตรฐานที่สูงกว่ากฎหมายกำหนดอยู่เสมอ

ประกันเคลมไม่เกินแสนล้าน

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ประเมินผลกระทบการจ่ายเคลมประกันทั้งระบบอุตสาหกรรมประกันวินาศภัย มูลค่าน่าจะไม่เกิน 1 แสนล้านบาท

โดยรวมความเสียหายจากคอนโดมิเนียม/อาคารพาณิชย์ และตึก สตง.ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างพังถล่มลงมา โดยเป็นการคาดการณ์ภายใต้สมมุติฐานเบื้องต้นที่ผู้เอาประกันยังไม่ได้มีการแจ้งเคลมเข้ามาอย่างครบถ้วน

การแจ้งเหตุความเสียหายเข้ามาส่วนใหญ่เป็นการเคลมประกันของอาคารสูงพวกคอนโดฯเป็นหลัก ซึ่งพบว่าอาคารโครงสร้างได้รับความเสียหายรุนแรงมีไม่มาก ขณะที่อาคารแนวราบพวกบ้านอยู่อาศัยส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเสียหายในครั้งนี้

“ความเสียหายที่ประเมินแบบคร่าว ๆ น่าจะน้อยกว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ประกันภัยมีการชดใช้ค่าเสียหายกว่า 4 แสนล้านบาท และโควิดที่ระบบประกันภัยมีการชดใช้ค่าเสียหาย 1.5 แสนล้านบาท”

โดยบริษัทประกันจะมีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนภายใน 15 วัน กรณีเอกสารครบ

เปิดกรมธรรม์แผ่นดินไหว

ดร.สมพรเปิดเผยว่า ข้อมูลกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหว ประกอบด้วย 1.กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหว ไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี (ซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้) มีอยู่ทั้งหมด 5.37 ล้านฉบับ อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 2.23 ล้านฉบับ และจังหวัดอื่น ๆ อีก 3.14 ล้านฉบับ

2.กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ มีกรมธรรม์ 1.11 ล้านฉบับ อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 4.52 แสนฉบับ และจังหวัดอื่น ๆ 6.61 แสนฉบับ

3.กรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industial All Risk) อาคารชุด คุ้มครองความเสียหายต่อตัวอาคารส่วนกลาง เช่น โครงสร้างอาคาร, ลิฟต์, บันไดส่วนกลาง, สระว่ายน้ำ และทรัพย์สินอื่น ๆ ที่เป็นของส่วนกลาง ได้รับความคุ้มครองจากภัยแผ่นดินไหวตามจำนวนวงเงินจำกัดความรับผิด (Sub Limit) เช่นเดียวกับผู้ประกอบกิจการทั่วไป เช่น โรงงานอุตสาหกรรม, โรงแรม, โรงเรียน, สถานประกอบการต่าง ๆ โดยกลุ่มนี้มีจำนวน 1.94 แสนฉบับ อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 9.53 หมื่นฉบับ และจังหวัดอื่น ๆ อีก 9.9 หมื่นฉบับ

ยันกองทุนหนา-ไม่มีเจ๊ง

นายกสมาคมประกันฯยืนยันว่า ถึงแม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้จะสร้างความเสียหายเกิดขึ้นมากในระดับหนึ่ง แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะความมั่นคงของบริษัทประกันวินาศภัยในภาพรวม เนื่องจากบริษัทประกันวินาศภัยทั้งระบบยังมีความมั่นคงในระดับดีมาก โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio) อยู่ที่เกือบ 300% ซึ่งสูงกว่า 3 เท่าที่กฎหมายกำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 100%

นอกจากนี้ ทุกบริษัทประกันที่มีการรับประกันภัยสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์สิน รวมถึงการก่อสร้าง มีบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 กันแล้ว ดังนั้นทุกบริษัทจะบริหารความเสี่ยงโดยส่งประกันภัยต่อ (Re-insurance) กับบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศที่มีความมั่นคงทางการเงินในสัดส่วนที่สูง จึงไม่น่าจะต้องเป็นกังวล

“ยืนยันรอบนี้จะไม่มีบริษัทต้องปิดกิจการอย่างแน่นอน เพราะขนาดช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 บริษัทประกันจ่ายเคลมไปกว่า 4 แสนล้านบาท ก็ไม่มีบริษัทใดเจ๊ง”

จับตาขึ้นเบี้ย-ลดคุ้มครอง

ดร.สมพรกล่าวว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนเหมือนเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ทำให้บริษัทประกันต้องปรับตัว เพราะว่าตอนนั้นประกันภัยน้ำท่วม ส่วนใหญ่เป็นการแถมเพื่อจูงใจให้คนทำประกัน แต่หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ บริษัทประกันวินาศภัยก็ได้ปรับวิธีด้วยการคิดเบี้ยประกันภัยน้ำท่วมเพิ่ม 1% และมีการกำหนด Sub Limit คือจำกัดความรับผิดชอบไม่เกิน 20% ของมูลค่าทรัพย์สิน

เช่นเดียวกับแผ่นดินไหว ที่เดิมมองเป็นเรื่องค่อนข้างไกลตัวสำหรับประเทศไทย แต่เหตุการณ์เมื่อ 28 มี.ค. 2568 ทำให้เห็นได้ว่าโอกาสหรือความเสี่ยงเกิดแผ่นดินไหวเป็นเรื่องไม่ไกลตัวแล้ว ธุรกิจประกันวินาศภัยก็คงจะต้องปรับวิธีคิดเบี้ยและกำหนด Sub Limit ความคุ้มครอง

“ยกตัวอย่างประกันภัยการก่อสร้าง ให้วงเงินความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหวเต็มมูลค่าการก่อสร้าง 100% คาดว่าต่อไปก็จะมีเงื่อนไขจำกัดความคุ้มครองเพียงแค่ 30% หรือ 50% ของมูลค่าก่อสร้าง และจำกัดความรับผิดที่ให้ความคุ้มครอง สำหรับทรัพย์สินที่มีการทำประกัน เช่น จาก 100% เหลือไม่เกิน 20-30% ของมูลค่าทรัพย์สิน เป็นต้น”

ตึก สตง.ถล่มคาดจ่าย 800 ล้าน

สำหรับการรับประกันตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่พังถล่มนั้น ดร.สมพรกล่าวว่า ตามที่ทราบมีบริษัทร่วมรับประกันภัยอยู่ทั้งหมด 4 บริษัท คือ ทิพยประกันภัย 40%, กรุงเทพประกันภัย 25%, อินทรประกันภัย 25% และวิริยะประกันภัย 10% สำหรับทิพยประกันภัยได้มีการบริหารความเสี่ยงโดยส่งประกันภัยต่อให้กับบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ สัดส่วน 95% รับประกันไว้เองแค่ 5%

ตอนนี้ยังไม่รู้มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงของโครงการนี้ แต่ถ้าประเมิน จากที่มีการทำประกันภัยมูลค่าความคุ้มครอง 2,241 ล้านบาท และจากข่าวที่ระบุว่าดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 40-50% บ้างนั้น ก็จะเท่ากับมูลค่าที่มีการทำประกันกว่า 1 พันล้านบาท และสัญญาประกันฉบับนี้จะมีความรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) ประมาณ 20% ดังนั้น บริษัทประกันจะจ่ายความเสียหายแค่ประมาณกว่า 800 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ทางทฤษฎีอาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ค่อนข้างมีความเสี่ยง ทุกบริษัทประกันจะทำประกันภัยต่อไม่น้อยกว่า 90% อยู่แล้ว เท่ากับว่าความเสี่ยงที่แต่ละบริษัทประกันรับไว้เองเฉลี่ยแค่ 10% ของมูลค่า 800 ล้านบาท หรือประมาณกว่า 80 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของแต่ละบริษัทประกันอย่างแน่นอน

“EIC คาดเสียหาย 3 หมื่นล้าน

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า อีไอซีประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเบื้องต้น คาดจะมีความเสียหายราว 3 หมื่นล้านบาทผลกระทบ 3 ด้านหลัก คือ 1.การท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงในช่วงเดือน เม.ย.นี้ และค่อย ๆ ปรับตัวในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ขึ้นอยู่กับมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากภาครัฐ

2.อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ระยะสั้นคาดว่าผู้บริโภคจะชะลอการโอนและการซื้อคอนโดมิเนียมออกไป ซึ่งอาจกดดันการระบายสต๊อก โดยปัจจุบันมีสต๊อกคอนโดฯในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีค้างอยู่ 7.4 หมื่นยูนิต อาจต้องใช้เวลาในการระบายนานขึ้น

โดยอีไอซีประเมินยอดการโอนคอนโดฯในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปีนี้ อาจจะ “ติดลบ” นอกจากนี้ สร้างโครงการใหม่อาจจะชะลอออกไป ซึ่งอาจจะกระทบไปถึงภาคการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบอยู่ด้วย

ขณะที่ทุกภาคส่วนจะให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานการก่อสร้างอาคารสูง และอาคารแนวราบ ที่จะต้องมีการบังคับใช้มาตรฐานเหล่านั้นอย่างเข้มงวด และจะกลายเป็นจุดแข่งขันและจุดขายของผู้ประกอบการ

แผ่นดินไหว+สงครามภาษี

3.ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งอาจจะกระทบต่อภาพการใช้จ่าย เพราะต้องมีการนำเงินมาใช้จ่ายในการซ่อมแซม ทำให้การใช้จ่ายอื่น ๆ อาจจะลดลง และการลงทุนต่าง ๆ อาจจะชะลอเพื่อรอดูความชัดเจนในเรื่องของผลกระทบและมาตรการต่าง ๆ ที่จะออกมา

“ภาพรวมมองว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะเป็นความเสี่ยงด้านต่ำมากกว่า และอีกประเด็นคือ เรื่องนโยบายภาษีของทรัมป์ที่จะมีการประกาศในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งจะต้องติดตามใกล้ชิดว่าประเทศไทยจะอยู่ในข่ายได้รับผลกระทบมากหรือน้อยแค่ไหน”

สำหรับเศรษฐกิจปี 2568 มองว่าจะขยายตัว 2.4% โดยตัวเลขเศรษฐกิจจะเติบโตเร็วสุดช่วงไตรมาส 1/2568 และจะค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเทียบช่วงครึ่งหลัง เนื่องจากมีเรื่องของฐานปีก่อน ประกอบกับช่วงครึ่งแรกปีนี้ยังได้อานิสงส์ของการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายภาษี และทั้ง 2 ปัจจัยทำให้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี
ปรับ GDP ลงต่ำกว่า 2.4%

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ความสูญเสียทางเศรษฐกิจเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท หลัก ๆ มาจากการหยุดชะงักหรือเลื่อนออกไปของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี หากรวมความเสียหายต่ออาคาร ทรัพย์สิน การทรุดตัว/การสั่นสะเทือนของอาคารบางแห่งเพิ่มเติม รวมถึงการซ่อมแซมและการเคลมประกันหลังจากนี้ ผลกระทบจะมากกว่านี้ นอกจากนี้มองว่าในด้านธุรกิจ จะมีผลกระทบด้านลบต่อยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่อาจช้าลงในบางโครงการ อีกทั้งจะเห็นพฤติกรรมความต้องการเช่า (ไม่ต้องการเป็นเจ้าของ) ที่จะมีมากขึ้น

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเบื้องต้นว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะมีผลกระทบต่อจีดีพีอยู่ที่ -0.06% ซึ่งทำให้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีโอกาสปรับลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.4% แต่ยังรอติดตามการประกาศผลการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ในวันที่ 2 เมษายนนี้ หากไทยโดนภาษีในอัตรา 25% ก็จะส่งผลกระทบต่อ GDP เพิ่มเติมอีกราว -0.3%

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : จ่ายเคลมประกันแผ่นดินไหวแสนล้าน แพนิกชะลอ ‘ซื้อ-โอน’ คอนโด

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...