ระบบอดีตนางเอกขอทวงบท
ข้อมูลเบื้องต้น
จางรั่วหนาน เจ้าหน้าที่ระบบมากประสบการณ์ได้รับหน้าที่ใหม่
เธอได้รับหน้าที่ให้ไปแก้ไขชะตาอดีตนางเอกทั้งหลายที่ส่งคำร้องเรียนมาในหลายๆ โลก….
ระบบอดีตนางเอก : โฮสต์ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่?
จางรั่วหนาน : ไม่ล่ะ ว่าแต่ระบบบอกหน่อยสิ ภารกิจนางอดีตนางเอกทั้งหลายที่ส่งคำร้องมาจนต้องเปิดแผนกใหม่สำหรับอดีตนางเอกโดยเฉพาะเนี่ย เป็นโลกแบบไหน?
ระบบอดีตนางเอก : …โลกนิยายยุค70 - 80 - 90 ที่กำลังนิยมอยู่
จางรั่วหนาน : หืม น่าสนุก…หมายถึงน่าสนใจดีนี่ ระบบ ไปกันเลยเถอะ
ระบบอดีตนางเอก : รับทราบ!
#เรื่องนี้ไม่มีพระเอก แต่บางโลกนางเอกก็มีคู่ค่ะ แต่ขอย้ำแค่คู่ครองไม่ใช้พระเอก…
#เปิดอ่านฟรี Arc 1 จนจบ พอนิยายจบทุกArc จะกลับมาติดเหรียญ Arc 1 ค่ะ
#เปิดอ่านฟรีทุก 5 หรือ 7 ตอนในแต่ละ Arc ค่ะ
#ตอนติดเหรียญล่ะ 3 เหรียญ
#นักอ่านที่ซื้อตอนไปแล้วสามารถอ่านได้ตลอดแม้จะเปลี่ยนราคาในภายหลังค่ะ
Arc 1 : อดีตนางเอกผู้ถูกถอนหมั้นในยุค 80 ( จบ )
Arc 2 : อดีตนางเอกยุวปัญญาชนในยุค 70 ( กำลังอัพ )
Arc 3 : อดีตนางเอกผู้เป็นคุณนายทหารในยุค 70
Arc 4: อดีตนางเอกเจ้าของร้านอาหารในยุค 70
Arc 5 : อดีตนางเอกผู้เป็นแม่พระในยุค 70
Arc 6: อดีตนางเอกผู้เป็นดาวนำโชคในยุค70
Arc 7 : อดีตนางเอกผู้เป็นแม่เลี้ยงดีเด่น
Arc 8 : อดีตนางเอกผู้ถูกใส่ร้ายในยุค 90
Arc 9 : อดีตนางเอกแพทย์หญิงผู้รุ่งโรจน์
Arc 1 : อดีตนางเอกผู้ถูกถอนหมั้นในยุค 80 (1)
ตอนเที่ยงตรง ชาวบ้านหมู่บ้านซานเถียนที่แบกจอบเสียมออกไปทำไร่มาตั้งแต่เช้าก็พากันกลับบ้าน เตรียมกินข้าวกลางวัน ควันขาวจากปล่องไฟเริ่มลอยขึ้นมาจากหลังคาทุกบ้าน พอเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งก็มีคนแอบชะโงกดูข้างใน
“บ้านเหล่าจางนี่ไม่ได้ออกไปทำงานตั้งสองวันแล้วมั้ง?”
“ก็ลูกสาวคนเล็กของเขายังไม่ฟื้นเลย จะมีอารมณ์ไปทำงานได้ยังไงล่ะ? บ้านเขาก็มีลูกชายตั้งสามคน ไม่อดตายหรอก! ว่าแต่…ได้ยินมาว่าทางตระกูลเฉินจะมาถอนหมั้นจริงเหรอ? โอ๊ย! ชั้นเพิ่งได้คุยกับเหล่าจางเมื่อวันก่อนเอง ยังบอกกันอยู่เลยว่าจะจัดงานหลังเด็กทั้งสองคนสอบเข้ามหาลัยเสร็จ!”
“แล้วจะให้ทำไงล่ะ? พูดตามตรงก็เหมือนชะตากำหนดไว้แล้วมั้ง ลูกสาวบ้านเหล่าจางกับลูกสาวบ้านเหล่าหยางดันตกน้ำพร้อมกัน แต่ดันเป็นลูกสาวบ้านเหล่าหยางที่เฉินอี้เทียนช่วยขึ้นมา แบบนี้จะไม่ให้เขารับผิดชอบได้ยังไง?”
“เฮ้อ! แล้วลูกสาวบ้านเหล่าจางล่ะ ใครเป็นคนช่วยขึ้นมา?”
“ลูกชายบ้านแม่ม่ายท้ายหมู่บ้านน่ะ…ลูกชายเขาก็อายุยี่สิบสามแล้วนะ…”
ตอนนี้เรื่องของตระกูลจาง ตระกูลหยาง ตระกูลเฉิน แล้วก็บ้านแม่ม่ายท้ายหมู่บ้านกลายเป็นศูนย์กลางข่าวลือของหมู่บ้านไปเรียบร้อย
ฟังดูเหมือนเรื่องแต่ง แต่จริง ๆ ก็เพิ่งหมั้นกันเมื่อไม่นานมานี้เอง รอแค่สอบเข้ามหาลัยปีหน้าก็จะจัดงานแล้ว
ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ลูกสาวบ้านจางกับลูกสาวบ้านหยางจะไปตกน้ำพร้อมกัน!
ช่วงนี้ฝนตกบ่อย แม่น้ำข้างหมู่บ้านน้ำไหลแรง ถ้าไม่ได้ช่วยขึ้นมาทันเวลา ป่านนี้คงจมน้ำตายกันทั้งคู่ โชคชะตาช่างเล่นตลก เพราะตอนนั้นเฉินอี้เทียนกับลูกชายแม่ม่ายดันเดินผ่านพอดี ทั้งสองคนก็เลยลงไปช่วยคน แต่เฉินอี้เทียนดันไปช่วยลูกสาวบ้านหยางขึ้นมา แทนที่จะเป็นคู่หมั้นตัวจริง
เรื่องมันก็เลยเป็นแบบนี้แหละ ทั้งที่ควรช่วยคู่หมั้นตัวเองแท้ ๆ แต่กลับไปช่วยคนอื่นเข้า แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนเขานินทาได้ยังไง?
เอี๊ยดด
ประตูบ้านถูกเปิดออก แสงแดดจากข้างนอกส่องเข้ามา ทำให้ห้องที่เคยมืดสลัวดูสว่างขึ้นบ้าง บนเตียงกลางห้องมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยคนนึงนอนอยู่ ใบหน้าซีดเซียวแต่กลับดูน่าสงสารและอ่อนโยน
ผู้หญิงวัยราว ๆ สี่สิบกว่าเดินเข้ามาในห้อง มือถือชามยาอุ่น ๆ ไว้ เธอประคองลูกสาวขึ้นมาเบา ๆ พิงไว้กับอก แล้วค่อย ๆ ป้อนยาอย่างระมัดระวัง
พอป้อนยาเสร็จ ก็ห่มผ้าให้ลูกสาวอย่างเบามือ แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“แม่อาหนาน…รั่วหนานยังไม่ฟื้นอีกเหรอ?” จางลู่หานยืนอยู่หน้าประตู เหลือบมองลูกสาวที่ยังนอนนิ่ง สีหน้าทั้งกลุ้มทั้งเครียด เขาถอนหายใจแล้วเอามือถูหน้า “ลูกสาวบ้านเหล่าหยางเขาฟื้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ทำไมลูกฉันยังไม่ฟื้นอีกนะ?”
ไป๋ลี่อิงเหลือบตามองสามี แล้วค่อย ๆ เดินออกมาจากห้อง ก่อนจะหันมาทำหน้าดุ พูดเสียงขุ่น “ทำหน้าเป็นตูดหมาอะไร?? ลูกยังไม่ตายนะ! เอาไอ้หน้าซังกะตายของแกเก็บเข้ากระเป๋าไปเลย! หมอดูเขาก็บอกว่ารั่วหนานของเราน่ะมีบุญมีวาสนา ยังไงก็ไม่เป็นไรหรอก อย่ามาพูดจาอัปมงคลให้ฉันได้ยินอีก!”
จางลู่หานโดนดุจนหงอย “ก็ฉันเป็นห่วงลูกนี่นา…”
“ถ้าห่วงนักก็ไปหาอาหารจากในป่ามาให้ลูกกินหน่อย! ลูกฟื้นขึ้นมาต้องบำรุงให้ดี เข้าใจไหม?”
จางลู่หานพยักหน้าอย่างว่าง่าย หันหลังคว้าตะกร้าหลังแล้วเดินออกไปกลางแดดร้อน ๆ ตั้งใจว่าจะไปล่าพวกไก่ป่ากระต่ายป่ามาให้ลูกได้กินบำรุงร่างกาย พอสามีออกไปแล้ว สีหน้าของไป๋ลี่อิงก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
ใจเธอแทบขาด ลูกสาวคนเล็กยังไม่ฟื้นสักที!
ไอ้เฉินอี้เทียนนั่นก็ช่างเถอะ รั่วหนานน่ะเป็นคู่หมั้นเขาแท้ ๆ ทำไมถึงไม่ช่วยรั่วหนานก่อน!?
ถ้าลูกเธอเป็นอะไรไป เธอไม่ปล่อยให้บ้านเฉินกับบ้านหยางอยู่สุขแน่!
เธอกำลังอารมณ์ขึ้น แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากในห้อง ขาก็รีบหันกลับเข้าไปดูทันที
เด็กสาวที่นอนบนเตียงตอนนี้ลืมตาแล้ว ดวงตาสวยคู่นั้นเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ แววตาสลัวแวบหนึ่งก็หายไป เธอขยับปากพูดเสียงแหบแห้งว่า “แม่…”
“ลูกแม่! ฟื้นแล้วเหรอลูกแม่!” ไป๋ลี่อิงไม่ทันสังเกตสิ่งผิดปกติ รีบวิ่งเข้ามาหาลูกสาว น้ำตาคลอเบ้า “อย่าขยับนะลูก แม่กลัวใจจะขาดอยู่แล้ว ถ้าลูกเป็นอะไรไป แม่จะอยู่ยังไง…”
จางรั่วหนานยิ้มจาง ๆ แม้หน้าจะซีด แต่ก็พยายามปลอบใจ “แม่…อย่าห่วงหนูนะ หนูไม่เป็นไรหรอก…”
“ไม่เป็นไรที่ไหนกัน!? ดูสิซูบไปขนาดนี้!” ไป๋ลี่อิงน้ำตาคลออีกครั้ง ห่มผ้าให้ลูกสาวแน่นขึ้น ก่อนจะถามเบา ๆ “รั่วหนาน ลูกหิวมั้ย? แม่จะไปต้มน้ำตาลแดงกับไข่ให้กินนะ?”
จางรั่วหนานส่ายหน้าเบา ๆ “หนูยังเหนื่อยอยู่ อยากนอนต่ออีกนิด…”
“ก็ได้ลูก นอนเถอะ เดี๋ยวตื่นมาแม่จะทำให้กิน” ไป๋ลี่อิงลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน รอจนแน่ใจว่าลูกแค่หลับไปอีกครั้ง เธอถึงได้ย่องออกจากห้องไป
แต่จางรั่วหนานไม่ได้หลับเลย เธอกำลังจัดการข้อมูลในหัวต่างหาก
…ใช่ เธอไม่ใช่จางรั่วหนานคนเดิม แต่เป็นพนักงานจากแผนกนางเอกของหน่วยงานฟื้นฟูโลกนิยาย ตอนนี้โลกนิยายหลายเรื่องกำลังพังพินาศ เพราะนางเอกถูกตัวประกอบช่วงชิงโชควาสนาไป ส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากมาแก้ไข เพราะชีวิตในโลกยุคเก่าช่างลำบาก
แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่พนักงานดาวรุ่ง เธอสมัครใจรับภารกิจนี้ มาเป็นตัวนำร่องแผนกใหม่อย่างแผนก ‘อดีตนางเอก’
เนื้อเรื่องดั้งเดิมนั้น ร่างนี้เป็นนางเอกที่เติบโตมากับเฉินอี้เทียน คู่หมั้นผู้เป็นรักแรกของเธอ ทั้งคู่สอบเข้ามหาลัยและแต่งงานกัน ต่อมาร่วมกันสร้างธุรกิจร่ำรวย แต่เพราะในโลกนี้ มีตัวประกอบตื่นรู้อย่าง หยางอี้เฟย…ตัวประกอบที่ย้อนเวลากลับมา เธอเลยวางแผนแย่งทุกอย่างไป
หยางอี้เฟยหลอกล่อร่างเดิมไปที่ริมแม่น้ำ แล้วจงใจตกน้ำพร้อมกันให้เฉินอี้เทียนเลือกช่วย และสุดท้ายเฉินอี้เทียนก็ช่วยเธอ ส่วนร่างเดิมจมน้ำตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็น เธอมาเข้าร่างพอดีก่อนตายแค่ไม่กี่วินาที ภารกิจของเธอ คือ แก้ไขโชคชะตาที่ถูกแย่งไป
แสงแดดช่วงเย็นส่องผ่านหน้าต่าง ร่องแสงแดงอมทองของพระอาทิตย์ตกแต่งแต้มผนังบ้าน
จางรั่วหนานยันตัวลุกขึ้นช้า ๆ ด้วยแขนที่ยังอ่อนแรง ผมยาวสยายจากหลังมาด้านหน้า ปล่อยคลุมแก้มเล็กซีดเซียวที่ยิ่งดูเล็กลงไปอีก แต่ในตากลับเป็นประกายคมกริบ
“ลูกแม่ ตื่นแล้วเหรอ หิวมั้ย?” ไป๋ลี่อิงถือถ้วยเดินเข้ามา รีบวางไว้ข้างเตียง แล้วเอาหมอนมาหนุนให้ลูกพิง ก่อนจะพูดเสียงนุ่ม “มากินน้ำซุปไก่หน่อยนะ พ่อแกออกไปหาของป่ามา ได้ไก่ป่ากับไข่มาหลายฟอง แม่เก็บไว้ให้ลูกทั้งนั้น แม่จะให้ลูกบำรุงจนแข็งแรง!”
กลิ่นน้ำซุปไก่หอมลอยอบอวล จางรั่วหนานเผลอกลืนน้ำลาย
ร่างเดิมไม่ได้กินอะไรมาเลยสองวัน พอตื่นมาก็หิวจนท้องร้องทันที เธอมองชามซุปที่ลอยน้ำมันสีทอง ก่อนถอนใจในใจ
นี่ล่ะที่คนไม่อยากมาทำภารกิจโลกยุคอดยาก…กินยังไม่อิ่ม จะเอาแรงที่ไหนไปทำงาน!
“แม่กินรึยังจ๊ะ?” จางรั่วหนานถามพลางยิ้มบาง
“พี่สะใภ้รองกำลังหุงข้าวอยู่ แม่จะป้อนลูกก่อน ลูกไม่ได้กินอะไรตั้งสองวัน หน้าตาซูบไปหมดแล้ว แม่ใจจะขาดอยู่แล้ว!”
จางรั่วหนานรู้ว่าความรักจากพ่อแม่ร่างเดิมมีอยู่จริง โดยเฉพาะแม่ ที่รักลูกอย่างหมดใจ ต่อให้ต้องอดเองก็ขอให้ลูกได้กิน เธอเลยกัดไก่ไปสองคำ แล้วส่งให้แม่ “แม่ลองกินดูสิ อร่อยมาก”
“ลูกชอบก็กินเยอะ ๆ แม่ไม่หิวหรอก” ไป๋ลี่อิงปัดมือเบา ๆ
“แม่~ กินหน่อยเถอะนะ~” เธออ้อนเสียงนุ่ม จนไป๋ลี่อิงยอมกัดไปคำหนึ่งด้วยน้ำตาคลอ ก่อนจะยืนยันว่าจะไม่กินอีก ขอให้ลูกกินให้หมด
หลังจากเธอกินจนหมดแล้ว ไป๋ลี่อิงถึงได้เอ่ยถามว่า
“รั่วหนาน ลูกไปตกน้ำได้ยังไง? แม่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปแถวนั้น มันอันตราย”
“…ไม่ใช่หนูอยากไปหรอกจ๊ะ” จางรั่วหนานก้มหน้า เสียงเบาราวกับแมว “หยางอี้เฟยลากหนูไป บอกว่ามีเรื่องอยากคุย แล้วอยู่ ๆ ก็ลื่นตกลงไป หนูเองก็ตกลงไปด้วย…”
จางรั่วหนานที่รู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าอยู่แล้ว ก็แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าหยางอี้เฟยตั้งใจลากเธอลงน้ำด้วยกัน แต่จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม มันดูเหมือนจะเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ ไม่มีหลักฐานจะไปโทษหยางอี้เฟยว่าจงใจจะทำร้าย เลยไม่ได้พูดอะไรออกไป
ยังไงซะ เรื่องนี้ยังมีเวลาเอาคืนอีกเยอะ ไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้หรอก
"แม่รู้อยู่แล้ว! ลูกแม่ทั้งเรียบร้อยทั้งเชื่อฟัง อยู่ดี ๆ จะไปที่อันตรายแบบนั้นได้ยังไงกัน! ยัยเด็กจากตระกูลหยางนั่นมันไม่ใช่คนดีหรอก แม่จะไปเอาเรื่องกับมันให้ได้! คนอะไร ลากลูกแม่ไปที่แบบนั้น… แล้วก็เฉินอี้เทียนนั่นอีก ไอ้เด็กเวร! มีคู่หมั้นอยู่ทั้งคนไม่ช่วย กลับไปช่วยผู้หญิงอื่น มันช่างใจดำใจทรามจริง ๆ…" ไป๋ลี่อิงด่าพลางหน้าเหยเกด้วยความโกรธ
"แม่…" จางรั่วหนานรีบขัดขึ้น "รอฉันหายดีก่อน แล้วฉันจะไปถอนหมั้นกับตระกูลเฉินเอง"
"ถอน! ต้องถอนแน่ ๆ!" ไป๋ลี่อิงขึ้นเสียง “ผู้ชายแบบนี้ ไม่มีความรับผิดชอบ เราไม่เอาหรอก! แม่ก็เคยคิดว่าเฉินอี้เทียนดูดีนะ สุภาพเรียบร้อยแท้ ๆ… เหอะ! แม่ตาถั่วไปเอง!”
พูดไปก็ยิ่งโกรธ นางตบต้นขาดังปังด้วยความโมโห “รั่วหนาน ไม่ต้องห่วงนะลูก หมั้นนี้เรายกเลิกแน่นอน!”
ลูกสาวของนางทั้งสวยทั้งฉลาดแบบนี้ จะไปหาคนดี ๆ กว่านี้ไม่ได้รึไง?
เดิมทีพอนึกว่ารั่วหนานกับเฉินอี้เทียนโตมาด้วยกัน แถมสองบ้านก็สนิทกันดี คิดว่าแต่งกันแล้วจะยิ่งใกล้ชิดขึ้นอีก ตอนนี้ไป๋ลี่อิงได้แต่รู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นตกลงกันแค่หมั้นไว้ก่อน กะว่ารอให้สอบเข้ามหาลัยเสร็จค่อยแต่งงาน ถ้าตอนนี้แต่งกันไปแล้วจริง ๆ ลูกสาวนางก็คงหมดอนาคตไปแล้วล่ะ
ไป๋ลี่อิงมองลูกสาวที่นอนซูบซีดอยู่บนเตียงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสาร แล้วเอื้อมมือไปลูบหน้าเบา ๆ “ดูสิ หน้าตาก็ผอมไปตั้งเยอะ ยังหิวอยู่มั้ยลูก? ในหม้อยังมีไก่กับน้ำซุปอยู่นะ เดี๋ยวแม่ไปเอามาให้กินอีกหน่อย!”
“ไม่เป็นไรจ้ะแม่” จางรั่วหนานส่ายหน้าเบา ๆ “ให้พวกแม่กับพี่ๆ กินเถอะ ฉันอิ่มแล้ว”
ไป๋ลี่อิงเบิกตาโต “ได้ยังไง! ไก่นั่นพ่อลูกล่ามาให้ลูกโดยเฉพาะเลยนะ คนอื่นห้ามแตะเด็ดขาด! ตอนนี้ยังไม่หิวก็รอไว้หิวแล้วค่อยกินก็ได้ ลูกพักผ่อนให้ดี เดี๋ยวแม่กินข้าวเสร็จแล้วจะมาดูอีกที!”
พูดจบก็ไม่รอให้ลูกสาวพูดอะไรต่อ รีบลุกขึ้นแล้วเดินลิ่วออกจากห้องไปทันที
จางรั่วหนานมองตามแผ่นหลังแม่ตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ แววตานิ่งลง
เฮ้อ…หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เป็นแบบนี้แหละนะ!
พอท้องอิ่มดีแล้ว ความง่วงก็เริ่มถาโถม เธอหาววอด แล้วก็เอนตัวลงนอน ไม่ทันไรก็เผลอหลับไปเลย
สองวันถัดมา จางรั่วหนานยังถูกจับให้นอนอยู่บนเตียง ไม่ให้ลุกเดินไปไหนเลย ไก่กับน้ำซุปที่เหลือก็ลงท้องเธอไปหมด
พอสีหน้าเริ่มดูดีขึ้นมาหน่อย ไป๋ลี่อิงถึงยอมให้เธอลงจากเตียงได้ หลังจากนอนนิ่งอยู่นานจนกระดูกแทบจะเปื่อย รั่วหนานก็รีบออกจากห้อง ตั้งใจจะไปเดินตากแดดในลานบ้านหน่อย
พอเปิดประตูออกมา เธอก็เห็นร่างคุ้นตาคนหนึ่งเดินตรงมาทางนี้
เธอยีตาดูให้ชัด แล้วก็แน่ใจว่า…คนที่มา ก็คือหยางอี้เฟยที่เพิ่งได้เกิดใหม่กลับมาอีกครั้งนั่นเอง
Arc 1 : (2) ร้อนตัว
ไป๋ลี่อิงเอาเรื่องที่จางรั่วหนานฟื้นตัวได้แล้วไปกระจายข่าวทั่วหมู่บ้านซานเถียนตั้งแต่เนิ่น ๆ
พอหยางอี้เฟยได้ยินเข้าก็นั่งไม่ติดที่ กลัวความผิดที่ตัวเองก่อไว้จะถูกจับได้ ลังเลอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจแอบย่องมาดูด้วยตัวเอง ยังไม่ทันจะถึงหน้าบ้านตระกูลจาง เธอก็เห็นจางรั่วหนานยืนอยู่ในลานบ้านเข้าเต็มสองตา
อีกฝ่ายดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย ผิวพรรณดูจะขาวขึ้นจากเดิมเสียอีกทั้งที่เพิ่งไม่กี่วันไม่เจอ แสงแดดอ่อน ๆ ยามสายยังไม่ร้อนจัดนัก สาดลงบนร่างของจางรั่วหนานราวกับปูผืนผ้าทอสีทองบางเบาคลุมไว้ ทำให้ผิวขาวเนียนยิ่งดูเปล่งประกาย จนคนมองอดจะหลบตาไม่ได้
ในแววตาของหยางอี้เฟยมีทั้งความริษยา ความแค้นเคือง และความสะใจแวบผ่าน
หน้าตาดี เรียนก็เก่งแล้วยังไง? ท้ายที่สุดก็ถูกเธอแย่งคู่หมั้นไปอยู่ดี คิดแค่นี้ก็สะใจจนอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ
ในชาติก่อน หลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ จางรั่วหนานกับเฉินอี้เทียนก็แต่งงานกัน ทั้งคู่ได้จดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองหลวง เป็นนักศึกษาเพียงสองคนของทั้งหมู่บ้าน วันจัดเลี้ยงก่อนเข้าเรียนเรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดของหมู่บ้านซานเถียน
ส่วนเธอ ตอนนั้นไม่ชอบเรียน พอสอบตกก็ไปหางานในโรงงานทำ ด้วยวุฒิมัธยมปลายก็พอหางานได้ไม่ยาก เงินเดือนยังดีกว่าคนทั่วไปเสียอีก แต่หยางอี้เฟยกลับคิดว่าตัวเองสมควรได้อะไรมากกว่านี้ ทำงานก็ไม่ตั้งใจ เกือบโดนไล่ออก สุดท้ายต้องกลับมาตั้งใจทำงานแบบไม่เต็มใจ
ต่อมา เธอก็แต่งงานกับหนุ่มจากหมู่บ้านข้าง ๆ ที่บ้านจัดหามาให้ ชีวิตราบเรียบ ยุ่งวุ่นวาย มีปากเสียงกันเป็นประจำเรื่องเงินหรือเรื่องจุกจิกไร้สาระต่าง ๆ พอจางรั่วหนานกับเฉินอี้เทียนที่มีหน้าที่การงานมั่นคงกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมรถยนต์หรู ก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งหมู่บ้าน
เฉินอี้เทียนกลายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่ จางรั่วหนานก็เป็นคุณนายเจ้าของบริษัท แต่งตัวสวยหรู ใส่เครื่องประดับแพงระยับ ทั้งคู่ดูมีความสุข มีสง่าราศีมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ในขณะที่เธอ แม้อายุยังไม่ถึงสี่สิบดี แต่กลับดูโทรมราวกับหญิงวัยใกล้ห้าสิบ
หยางอี้เฟยรู้สึกว่า จางรั่วหนานนี่แหละคือคนที่โชคดีที่สุดในชีวิต ดันได้สามีดีอย่างเฉินอี้เทียนไปครองบารมีจนร่ำรวย เธอเองก็เคยฝันเหมือนกันว่า ถ้าตอนนั้นเป็นเธอที่ได้แต่งกับเฉินอี้เทียน ป่านนี้ก็คงได้ใช้ชีวิตหรูหราแบบนั้นแล้ว!
แถมตอนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสอะไรกับเขาซะหน่อย ทั้งสองก็เรียนหมู่บ้านเดียวกัน ห้องเดียวกันด้วยซ้ำ!
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง หยางอี้เฟยตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลับมายังช่วงวัยสาวอีกครั้ง ตอนที่จางรั่วหนานกับเฉินอี้เทียนเพิ่งหมั้นกันไม่นาน ยังไม่ได้แต่งงาน
เธอแทบไม่อยากเชื่อ รีบวางแผนทำทุกอย่างเพื่อทำลายงานหมั้นของสองคนนั้นให้ได้ แถมยังมีแผนแล้วด้วย แผนที่สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วเสียด้วย
“รั่วหนาน ได้ยินป้าสะใภ้ไป๋บอกว่าเธอฟื้นแล้ว ฉันเลยแวะมาดูน่ะ” หยางอี้เฟยเดินเข้ามาหน้าลานบ้าน ทำท่าทางใส่ใจถามอย่างเสแสร้ง “ร่างกายยังปกติอยู่ใช่ไหม? ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วใช่ไหม?”
จางรั่วหนานเหลือบมองเธอ เห็นชัดเจนว่ามีความสะใจซ่อนอยู่ในแววตานั้น ดวงตาหรี่ลงนิดหนึ่งแล้วยิ้มบาง “ก็พอไหวอยู่หรอกนะ ต้องขอบใจเธอล่ะ”
“เธอหมายความว่าไง?” หยางอี้เฟยหน้าเจื่อนเล็กน้อย ลอบเหลือบมองอย่างระแวง รีบพูดกลบเกลื่อน “เธอเป็นคนตกลงไปในน้ำเองนะ ไม่เกี่ยวกับฉันเลย ฉันก็ตกลงไปเหมือนกัน ฉันจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงทำไมกัน เธออย่ามาใส่ร้ายกันมั่ว ๆ นะ!”
รอยยิ้มของจางรั่วหนานยิ่งชัดขึ้น ดวงตาคมลึก “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอซะหน่อย จะรีบร้อนปฏิเสธทำไม…กลัวอะไรอยู่เหรอ?”
หยางอี้เฟยรีบปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่มีทาง! เธอนี่มันใจดำเกินไปแล้วนะ ฉันอุตส่าห์มาหาด้วยความหวังดี ยังจะมากล่าวหากันอีกเหรอ?”
“เหรอ…” จางรั่วหนานก้าวเข้ามาใกล้ มาหยุดตรงหน้าหยางอี้เฟยที่ตัวเตี้ยกว่านิดหน่อย มองลงมาด้วยสายตากดดัน “งั้นถ้าเธอหวังดีจริง เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันกับอี้เทียนหมั้นกันแล้ว งั้นก็ไปบอกเขากับครอบครัวเขาเองเลยสิ ว่าเธอไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ของเรา ไม่ต้องให้เขารับผิดชอบอะไรเธอทั้งนั้น”
หยางอี้เฟยตาโต เกือบจะเผลอพูดว่า “ฝันไปเถอะ!”
เธออุตส่าห์ลงทุนขนาดนี้ เกือบเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ก็เพื่อทำให้การหมั้นของจางรั่วหนานกับเฉินอี้เทียนพังทลายลง จะให้มาบอกว่า “ไม่ต้องรับผิดชอบ” น่ะเหรอ ฝันไปเถอะ!
เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่า จางรั่วหนานน่ะ หน้าตาดูน่ารักอ่อนโยน แต่จริง ๆ แล้วก็ร้ายใช่เล่น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมองเห็นว่าเฉินอี้เทียนมีแววจะไปได้ไกล ก็คงไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ โชคดีที่เธอฉลาดกว่า ลงมือก่อนผูกมัดเขาไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้มันปีแปดศูนย์อยู่นะ ไม่ใช่ยุคใหม่ที่ใครจะทำอะไรก็ได้ตามใจ ถ้าผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงแล้วไม่รับผิดชอบ ต่อให้แจ้งข้อหาทำลามกก็ยังได้เลย
คิดได้แบบนี้ หยางอี้เฟยก็ยิ่งได้ใจ แสร้งถอนหายใจแล้วพูดเสียงเศร้า “รั่วหนาน มันไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกหรอกนะ แต่ว่า…อี้เทียนเขากอดฉันไปแล้ว ถ้าเขาไม่รับผิดชอบ ฉันก็ต้องแจ้งตำรวจข้อหาลวนลามสิ เธออยากให้เขาถูกจับเหรอ?”
“โอ้โห งั้นเธอนี่ก็ทุ่มสุดตัวเลยสิ?” จางรั่วหนานหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตามีแต่ความเย็นชา เธอไม่อยากเสียเวลาพูดด้วยอีก “งั้นแค่นี้นะ ฉันเริ่มเหนื่อยแล้ว เธอกลับไปได้ละ…ไปไป้”
คำพูดนั้นคล้ายไล่หมูไล่หมาแบบนั้น ทำเอาหน้าหยางอี้เฟยแดงเถือกด้วยความอับอาย แต่พอคิดได้ว่าจางรั่วหนานคงจะโมโหที่โดนแย่งคู่หมั้นไป ใจเธอก็สบายขึ้นมาทันที ยิ้มกว้างส่งท้ายอย่างผู้ชนะ
“งั้นฉันกลับก่อนนะ รักษาสุขภาพดี ๆ ล่ะ เดี๋ยวแต่งกับอี้เทียนเมื่อไหร่ ฉันจะเอาขนมแต่งงานมาให้!”
จางรั่วหนานยิ้มมุมปาก มองแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างดีใจของหยางอี้เฟย แล้วก็ขยับริมฝีปากพึมพำคำว่า “โง่เง่า”
…คิดจริง ๆ เหรอว่าเฉินอี้เทียนจะกลายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่ได้ด้วยตัวเอง?
กลับมาใช้ชีวิตใหม่ทั้งที ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือไง ถึงได้คิดแต่จะไปแย่งผัวคนอื่น? มองโลกได้ตื้นแบบนี้ สมแล้วที่ทำได้แค่เป็นตัวประกอบ
จางรั่วหนานหยิบเก้าอี้ตัวเล็กออกมานั่งตรงลานบ้าน เอนตัวรับแดดอย่างขี้เกียจ
ปีแปดศูนย์นี้ รัฐเริ่มทดลองเปิดเสรีเศรษฐกิจในบางเมืองแล้วก็จริง แต่เมืองหลินที่เธออยู่มันห่างไกล ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหรือช่องทางหาเงินมากนัก แถมเธอก็ยังไม่ควรทำอะไรที่ขัดกับบุคลิกของเจ้าของร่างเดิมในชาติก่อนด้วย
แต่ถ้าต้องทำเงินโดยไม่หลุดจากบุคลิกเก่า…มันก็พอจะมีทางอยู่เหมือนกันนะ
จางรั่วหนานคิดไปเพลิน ๆ จนเกือบจะเผลอหลับไป จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กสาวดังมาจากหน้าประตู
“อาเล็กกกก! แย่แล้ว! ย่าไปมีเรื่องกับคนอื่นอีกแล้ว!!”
จางรั่วหนานรีบลืมตา เห็นลูกสาวของพี่ชายคนโตวิ่งหน้าตื่นเข้ามา เสื้อผ้าหน้าตาเปื้อนดินไปหมด ท่าทางคงเล่นซนอยู่แล้วถูกตามตัวกลางคัน
เด็กหญิงหน้าตาตื่นเต็มที่ วิ่งพลางตะโกนพลาง “อาเล็ก! อาเล็ก! ย่าไปตีคนเข้าน่ะ! แม่บอกให้อาไปช่วยห้ามที!”
จางรั่วหนานลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ หน้าขมวดแน่น “ไปมีเรื่องกับใคร?”
“ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ” เด็กหญิงส่ายหัว “แม่แค่บอกให้กลับมาเรียกอาเล็ก” พูดจบก็หดคอเล็กน้อย คิดในใจว่า ย่าตอนตีคนนี่น่ากลัวกว่าตอนดุอีกแหะ
ไป๋ลี่อิงแรงเยอะ ใครห้ามก็แทบเอาไม่อยู่ แม้แต่ลูกชายทั้งสามยังแทบจะต้องช่วยกันยื้อ
แต่จางรั่วหนานก็ไม่รอช้า ลุกขึ้นผลุนผลันตามเด็กหญิงไปทางไร่อย่างร้อนใจ กลัวว่าแม่ตัวเองจะทำให้ตัวเองเจ็บเสียก่อน
คนในหมู่บ้านซานเถียนต่างก็รู้กันดีว่าไป๋ลี่อิงเป็นคนอารมณ์ร้อนแค่ไหน ปากจัดขนาดที่ว่าทะเลาะกับใครก็ไม่เคยแพ้ใครสักครั้ง
พอมีจางรั่วหนาน เธอก็เหมือนจะใจเย็นลงหน่อย แต่ถ้าใครกล้าแตะต้องลูกสาวสุดรักสุดหวงของเธอสักคำล่ะก็ ไม่ทันขาดคำ เธอจะถลกแขนเสื้อกระโจนเข้าใส่ทันที
ที่น่ากลัวก็คือ ไม่ได้มาแค่คนเดียว เบื้องหลังยังมีลูกชายสามคนตัวโต ๆ ตามติดมาด้วย ใครเห็นเป็นต้องขยาด ไม่มีใครกล้าไปแหย่เธอให้ของขึ้น
วันนี้ชาวบ้านกำลังช่วยกันใช้จอบขุดร่องเตรียมปลูกมัน ไม่รู้ไป๋ลี่อิงนึกครึ้มอะไร วิ่งไปที่บ้านเหล่าหยาง พอไปถึงก็เสียงดังเอะอะทันที จนทุกคนหันมามอง ตอนที่หันไปดูนั่นแหละ ไป๋ลี่อิงกำลังชี้หน้าอวี๋ซิ่นแม่ของหยางอี้เฟย ด่าซะเสียหน้าไม่มีชิ้นดี
“ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวบ้านเธอ ลูกฉันจะตกน้ำมั้ย! หยางอี้เฟยน่ะมันตัวซวย! ดีที่ลูกฉันไม่เป็นไรนะ ไม่งั้นล่ะก็ ต่อให้ฉันตายก็จะลากพวกเธอลงไปด้วย!”
ป้าอวี๋ซิ่นหน้าเครียดทันที “ไป๋ลี่อิง พูดให้มันดี ๆ หน่อยได้มั้ย? ลูกฉันไปทำอะไรให้เธอ? ลูกฉันก็ยังตกน้ำเหมือนกันนะ! แล้วลูกเธอวิ่งไปแถวริมแม่น้ำนั่นเอง จะมาโทษลูกฉันได้ยังไง?”
“ทำไมจะโทษไม่ได้ล่ะ!? ก็เพราะลูกเธอนั่นแหละ ถ้าไม่ไปดึงลูกฉันออกไป จะตกน้ำมั้ยหา!?” ไป๋ลี่อิงหัวเราะเย็น ๆ
อวี๋ซิ่นสวนกลับทันควัน “ลูกเธอนั่นแหละที่มันไม่ดี!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ใจเธอก็หล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม เพราะรู้ตัวเลยว่าพูดอะไรออกไป พอหันไปมองไป๋ลี่อิง หน้านั้นดำมืดทันที
“ยังจะกล้าด่าลูกฉันอีกเหรอ! วันนี้ล่ะฉันเอาจริงแน่!!”
ไป๋ลี่อิงตะโกนลั่น ถกแขนเสื้อพุ่งเข้าใส่ป้าอวี๋ซิ่นอย่างดุดัน ตัวก็สูงใหญ่ แรงก็เยอะ ป้าอวี๋ซิ่นโดนผลักทีเดียวล้มไปทั้งตัว นั่งงงอยู่พักใหญ่กว่าจะตั้งสติได้ จากนั้นก็กรี๊ดลั่น พุ่งเข้าใส่แล้วก็ซัดกันนัว!
สองคนตีกันเอาแบบไม่มีตั้งตัว คนแถวนั้นก็ผงะไปตาม ๆ กัน ไป๋ลี่อิงกวาดตามองผัวกับลูกชายที่ยืนเอ๋ออยู่ข้าง ๆ แล้วตะโกนลั่น“จางลู่หาน! แล้วพวกแกอีกคนสองคน ตายกันหมดรึไง!? เห็นฉันโดนตีไม่คิดจะช่วยเลยรึไง หา!!”
ฝั่งอวี๋ซิ่นก็ไม่ยอมแพ้ ตะโกนเรียกผัวกับลูกให้มาช่วยเหมือนกัน แต่ปัญหาคือ… พวกบ้านตระกูลจางน่ะ ตัวใหญ่กันหมด ส่วนบ้านตระกูลหยาง ตัวเล็กนิดเดียว เหมือนลูกเจี๊ยบยังไงยังงั้น ไม่มีใครกล้าขยับซักคน
สถานการณ์ชุลมุนสุด ๆ จนคนแถวนั้นเพิ่งรู้สึกตัว รีบวิ่งเข้ามาช่วยแยก
“ใจเย็น ๆ หน่อยเถอะ สะใภ้จาง อย่าใจร้อนเลยน่า”
“สะใภ้หยางก็เถอะ พูดน้อย ๆ หน่อย รู้กันทั้งหมู่บ้านว่าไป๋ลี่อิงหวงลูกสาวจะตาย ยังไปยุ่งอะไรกับเขาอีก”
“พอเถอะน่า เรื่องมันก็ไม่ใช่ใหญ่อะไรนักหนา…”
พอจางรั่วหนานมาถึง ก็เห็นว่าแม่ตัวเองกับป้าอวี๋ซิ่นถูกคนลากแยกออกไปแล้ว
ถึงตัวจะโดนห้ามไว้ แต่ปากของไป๋ลี่อิงยังจัดจ้านไม่หยุด ชี้หน้าอวี๋ซิ่นแล้วด่าไม่ยั้ง พวกชาวบ้านก็รู้กันหมดว่าใครเป็นใคร เรื่องอะไรเป็นมายังไง ไป๋ลี่อิงเลยจัดหนัก ด่าจี้จุดอวี๋ซิ่นจนอีกฝ่ายของขึ้น หน้าร้อนผ่าว ผมแทบจะชี้ตั้ง
จางรั่วหนาน “…”
จะว่าไงดีล่ะ แม่เธอเนี่ย…ปากร้ายและโหดสุด ๆ ไปเลยจริง ๆ
Arc 1 : (3) หาเงิน
“ไป๋ลี่อิง! หยุดด่าซะที! ลูกสาวแกมาแล้ว!!”
ไม่รู้ใครตะโกนขึ้นมาคนแรก ไป๋ลี่อิงที่กำลังด่าอย่างมันปาก ถึงกับหุบปากฉับหันขวับไปมอง เห็นลูกสาวตัวเองมายืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังดูน่ากลัวราวนางมาร กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าเป็นห่วงทันควัน รีบพูดเสียงอ่อนลงทันที
“หนานหนาน มาทำไมลูก! แดดเปรี้ยงอย่างงี้ รีบกลับไปพักเลยนะ ตัวเองยังไม่หายดีเลย!”
สีหน้าเปลี่ยนเร็วอย่างกับพลิกฝ่ามือ คนรอบข้างถึงกับตาค้าง
“หนูไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ” จางรั่วหนานตอบเบา ๆ แต่สายตากลับกวาดมองแม่อยู่หลายรอบ “แม่ต่างหาก เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ไป๋ลี่อิงปัดฝุ่นที่เสื้อ แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า “หึ! แม่จะเป็นอะไรได้ล่ะ! ยังแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม ต่อให้แบบนี้มาอีกสิบคน แม่ก็ฟาดให้หมอบได้หมดนั่นแหละ!!”
ก็จริงอย่างที่พูดไป นอกจากเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเพราะลงแรงทำงาน ไป๋ลี่อิงไม่มีแผลอะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม อวี๋ซิ่นที่ยืนอยู่อีกฝั่งกลับดูสภาพยุ่งเหยิง เสื้อผ้าหัวฟู แถมมีรอยข่วนแดง ๆ เต็มหน้า ท่าทางเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิมา
พอเห็นใคร ๆ มองมา อวี๋ซิ่นก็สะบัดปากลงนั่งกับพื้นทันที ร้องไห้ฟูมฟายตีพื้นเสียงดังลั่น “ตระกูลจางรังแกฉัน! ตระกูลจางจะฆ่าฉันแล้ว! ยังมีความยุติธรรมอยู่มั้ยเนี่ย”
ไป๋ลี่อิงหันขวับไปมอง ตวัดตาขึ้นพร้อมขู่เสียงต่ำ “ลองร้องอีกคำสิ แม่จะฟาดให้แหกปากไม่ได้อีกเลย!!”
อวี๋ซิ่นสะดุ้งโหยง รีบขยับเข้าไปหากลุ่มคนพลางตีพื้นร้องโวยวายต่อ “อยู่ไม่ได้แล้ว! พวกตระกูลจางจะเล่นงานฉันให้ตาย! ลูกฉันตกน้ำเพราะลูกสาวพวกเขา ฉันยังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย ยังจะลงมือตีฉันอีก ฉันจะไปฟ้องหัวหน้ากองผลิต! ฉันจะไปแจ้งความ!”
จางรั่วหนานได้ยินก็หรี่ตา ก้มหน้าลงมองอวี๋ซิ่นที่กำลังดิ้นพล่านบนพื้นอย่างหมดภาพลักษณ์ ก่อนพูดเสียงเรียบ “ป้าสะใภ้หยางอย่าพูดส่งเดชนะคะ พูดอะไรต้องมีหลักฐาน ใครไปบอกว่าฉันเป็นคนผลักหยางอี้เฟยตกน้ำ?”
อวี๋ซิ่นมองเธอสองครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความดูแคลน “ลูกฉันเล่าให้ฟังเอง! แถมยังบอกอีกว่าไม่ต้องไปโกรธเธอ เพราะลูกฉันสงสารเธอมาก แต่นี่ดูสิ! ตระกูลจางพวกเธอมาทำอะไรกับฉัน!?”
ยังไม่ทันจางรั่วหนานถามต่อ อวี๋ซิ่นก็พล่ามต่อทันที “ลูกฉันบอกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเธอลากลูกฉันไปที่ริมแม่น้ำวันนั้น วันนั้นก็คงไม่ตกน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอด…”
เสียงอวี๋ซิ่นดังลั่น จนคนรอบ ๆ ได้ยินชัดเจน บางคนถึงกับหันไปมองกัน สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป
“เอ่อ แต่ฉันเห็นอยู่นะ วันนั้นเป็นหยางอี้เฟยต่างหากที่ลากรั่วหนานไปทางปากหมู่บ้าน!”
“ใช่เลย! แล้ววันนั้นรั่วหนานก็ไม่อยู่บ้าน ยัยเด็กอี้เฟยมาถามฉันเองว่ารั่วหนานไปไหน!”
“เฮ้ย! งั้นแปลว่าอี้เฟยโกหกเหรอ?”
“ชัดเลยล่ะสิ ใครจะคิดว่ายัยเด็กนั่นจะเป็นแบบนี้”
เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบตัวอวี๋ซิ่น เธอยืนใกล้ก็ได้ยินทุกคำ สีหน้าเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างเขียวซีดขาวแดง ยิ่งได้ยินหลายคนพูดตรงกันแบบนี้ก็ยิ่งแน่ใจ คนที่โกหกคือลูกสาวตัวเองแน่ ๆ
“ยัยเด็กบ้า กล้าโกหกแม่ด้วยเหรอ! กลับบ้านไปโดนดีแน่!!”
ว่าแล้วอวี๋ซิ่นก็รีบลุกขึ้น หน้าสีแดงแปร๊ด วิ่งแจ้นกลับบ้านเหมือนมีหมาล่าเนื้อตามหลัง สามีและลูกชายของเธอก็รีบคว้าจอบตามไปทันที คนในหมู่บ้านหัวเราะกันครืน ดูแล้วก็อดขำกันไม่ได้
แต่ที่หัวเราะดัง ๆ ก็เห็นจะมีแต่พวกผู้ชาย ส่วนพวกผู้หญิงกลับมองหน้ากัน สีหน้าก็ชักจะซับซ้อน
“เด็กสาวบ้านหยางนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ เล็ก ๆ อายุยังน้อย แต่ใจดำใช่เล่น”
“แปลกจัง เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้?”
“เฮ้อ คนเราดูแค่หน้าตาไม่ได้จริง ๆ นะ ดูสิ รั่วหนานเกือบตาย ยังจะเสียคู่หมั้นอีก…ว่าแต่ตระกูลเฉินจะถอนหมั้นเมื่อไหร่? แล้วไอ้ลูกชายแม่ม่ายนั่น ที่ช่วยจางรั่วหนานขึ้นมาจากแม่น้ำล่ะ จะมาสู่ขอเมื่อไหร่?”
“ตระกูลเฉินก็ซวยนะ ไปตกลงหมั้นกับบ้านหยางเนี่ย แม่อย่างอวี๋ซิ่นน่ะเห็นแก่เงิน ลูกชายก็ขี้เกียจตัวเป็นขน เหล่าหยางกับเมียก็เหมือนกัน หยางอี้เฟยก็น่าจะเป็นพวกไม่น่าคบอีกคน เฮ้อ แถมดูจากที่อี้เฟยทำ แบบนี้สันดานไม่น่าไว้ใจเลย ตระกูลเฉินนี่น่าสงสารจริง ๆ”
เสียงวิจารณ์บ้านหยางเต็มไปด้วยความดูแคลน
ในฝูงชนยังมีหลิวมี่ตาน แม่ของเฉินอี้เทียนยืนฟังอยู่ด้วย เห็นทุกอย่างกับตาก็แทบปวดใจ จะโทษลูกชายก็ไม่ได้ สุดท้ายเลยระบายลงที่หยางอี้เฟย ถ้าไม่ใช่เพราะยัยนั่นลากจางรั่วหนานไปที่แม่น้ำ ลูกชายของเธอก็ยังจะได้แต่งกับเด็กสาวตระกูลจางอยู่!
จางรั่วหนานหน้าตาดี ฉลาด แถมปากหวาน ถึงจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่นิสัยก็ยังน่ารัก ที่สำคัญบ้านจางก็มีฐานะดี สามีภรรยายังอยู่บ้านเดียวกันไม่แยกครอบครัว แถมจางลู่หานยังเป็นช่างไม้มือดี…
แล้วบ้านหยางล่ะ มีอะไรดี? มีแต่ลูกชายลูกสาวที่ไม่เอาไหน!
คิดแล้วก็ยิ่งโมโห หลิวมี่ตานคว้าจอบเดินหนีกลับบ้านทันที คิดในใจว่า ถ้ายัยอี้เฟยเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านนี้เมื่อไหร่ล่ะก็ เธอจะไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่นอน!
อวี๋ซิ่นกลับมาบ้านแบบหมดท่าหน้าซีด แค่เดินเข้าประตูมาก็เจอหยางอี้เฟยที่เพิ่งกลับมาถึงเหมือนกัน ใบหน้านางบึ้งตึงไม่มีแววอารมณ์ดีเลย พอเห็นหน้าอี้เฟย อารมณ์ยิ่งพุ่งทะลุเพดาน ตะโกนลั่นทันที
“ยังรู้จักกลับมาอีกเหรอ!? ทั้งหมดนี่ก็เพราะแก! ฉันอับอายไปทั่วหมู่บ้านหมดแล้ว! แกบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่าเป็นยัยเด็กบ้านจางลากแกออกไป!?”
“ฉันไปหลอกตอนไหน?” หยางอี้เฟยยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรหลุดออกไป เธอเพิ่งไปหาเฉินอี้เทียนมา แล้วก็โดนเขาเมินใส่ บอกจะอ่านหนังสือแล้วไล่เธอกลับทันที อารมณ์ก็เลยบูดอยู่แล้ว ได้ยินแบบนี้เลยตวาดกลับเสียงแข็ง
อวี๋ซิ่นไม่ใช่คนที่ตามใจลูก พอโดนหยางอี้เฟยเถียงก็โมโหจัด ยกมือฟาดลูกสาวทันที เสียงดังเพี๊ยะกังวานทั่วบ้าน
เธอจ้องหน้าหยางอี้เฟยตาแทบถลน ราวกับมองศัตรูคู่แค้น
“แม่ต้องขายขี้หน้าเพราะแก! คนในหมู่บ้านเขาเห็นกับตาว่าแกนั่นแหละลากยัยจางรั่วหนานไปที่แม่น้ำ! แล้วแกมาหลอกแม่ทำไมว่ามันเป็นคนรบเร้า!? ห้ะ!? แกไม่รู้เหรอว่าแม่ต้องอายแค่ไหน!? แกมันกล้าขนาดหลอกแม่ได้แล้วเรอะ!”
พูดจบก็หยิบไม้กวาดข้างประตูมาไล่ฟาดลูกสาวไม่ยั้ง
“แม่! อย่าตีหนูเลย หนูผิดไปแล้ว! หนูผิดจริงๆ!” หยางอี้เฟยโดนตีจนวิ่งวุ่นไปทั่วบ้าน น้ำตาไหลพราก ร้องลั่น
“อย่าตีแล้ว! เจ็บมาก! หนูรู้แล้วว่าผิด! อย่าตีแล้วนะ!!”
พอพ่อกับลูกชายวิ่งเข้ามาในบ้านกันพร้อมหน้า อวี๋ซิ่นถึงยอมหยุดมือ วางไม้กวาดลงแต่ยังมองหยางอี้เฟยตาขวาง
หยางอี้เฟยทั้งร้องไห้ทั้งลูบแขนขาที่โดนตี เจ็บจนกัดฟันแน่น ความแค้นแล่นขึ้นมาในอก แต่ไม่คิดจะโทษแม่ตัวเองแม้แต่นิด กลับไปจดจ่ออยู่กับความแค้นที่มีต่อจางรั่วหนานแทน
เธอยกมือปาดน้ำตา เหลือบมองหน้าแม่ที่ยังไม่หายโมโห แล้วรีบพูดเสนอแผน
“แม่ ถ้าแม่ยังโกรธอยู่ งั้นก็ให้ตระกูลเฉินรีบไปถอนหมั้น แล้วให้เขามาหมั้นกับหนูแทนไง! ตระกูลจางเสียเฉินอี้เทียนไป ต้องเจ็บใจแย่แน่ แบบนี้ก็ได้หน้าคืนมาแล้วนะ!”
อวี๋ซิ่นฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ คิดตามแล้วเหมือนจะเข้าท่า พอนึกถึงหน้าไป๋ลี่อิงที่ดุดันราวยักษ์แม่ ก็กัดฟันแน่น
“นังไป๋ลี่อิงนั่น! ลูกสาวตัวเองจับผู้ชายไม่ได้จะมาโทษฉันทำไม!? ไป! ตอนนี้เลย! ไปที่บ้านเฉิน! ให้หลิวมี่ตานพาเฉินอี้เทียนไปถอนหมั้นทันที!”
หยางอี้เฟยได้ยินก็ยิ้มอย่างสะใจ แต่พอเห็นแผลบนตัวแม่กับตัวเองก็รีบเบรก “แม่… งั้นรอสักสองวันเถอะ เดินไปแบบนี้มีแต่รอยฟกช้ำไปทั้งตัว ถ้าเฉินอี้เทียนเห็นเข้า หนูจะขายขี้หน้าแค่ไหน…”
อวี๋ซิ่นพอรู้สึกถึงแผลบนหน้า ก็ยกมือจับอย่างแรง พอแตะก็เจ็บจนหน้าบิดเบี้ยว
อีกด้าน
“ลูกกลับไปพักเถอะ แม่ไม่มีอะไรแล้ว”
แดดช่วงสายเริ่มร้อนแรงจนหน้าจางรั่วหนานซีดเป็นแป้ง แค่เห็นก็ทำเอาไป๋ลี่อิงใจหาย ไม่สนเลยว่าเมื่อกี้เพิ่งตีกับอวี๋ซิ่นมาเต็มแรง ตอนนี้สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใยลูกสาว
“ดูหน้าลูกสิ ซีดเชียว รีบกลับไปพักเลยนะ อย่าห่วงแม่ แม่ไม่เป็นไรหรอก! อย่างแย่ก็ยังมีพี่ชายอีกสามคนอยู่ แม่ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก!”
จางลู่หานที่ยืนเงียบเป็นฉากหลังรีบกระแอมหนึ่งที แล้วแอบยืดหลังตรง “ยังมีพ่ออยู่นะ…”
ไป๋ลี่อิงหันมาขมวดคิ้วใส่ “มีพ่อแล้วไง? ยืนอึ้งอยู่ตรงนี้ทำไม ไม่ไปทำงานอีก! เดี๋ยวหัวหน้ากองผลิตมา… จริงสิ! สะใภัหยางกับครอบครัวไม่ได้แจ้งลา เดี๋ยวต้องรีบไปบอกหัวหน้ากองให้หักแต้มพวกเขาซะ!”
จางรั่วหนาน …โห แม่เธอนี่แหละของจริง
ใกล้เที่ยงแล้ว พอกลับบ้านไปทำข้าวก็ทันพอดีกับตอนแม่กับพี่ๆ กลับจากไร่
เธอไม่อยากเสียเวลาอีก เลยบอกลาแล้วเดินกลับบ้านอย่างช้าๆ ระหว่างทางเดินผ่านทางแยกตรงหมู่บ้าน เห็นรถสามล้อจอดอยู่ แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งลงมาจากรถพร้อมสะพายเป้ใบใหญ่สีเขียวทหาร
อยู่ไกลเลยมองหน้าไม่ชัด แต่เหมือนจะคุ้นๆ แต่ถ้าลงรถที่หน้าหมู่บ้านซานเถียน ก็คงเป็นคนในหมู่บ้านนี่แหละ เห็นคุ้นหน้าก็ไม่แปลกอะไร จางรั่วหนานไม่ได้คิดมาก หันหลังเดินกลับอีกทางตรงไปบ้านเพื่อเตรียมทำกับข้าว
ของกินในบ้านอยู่ในความดูแลของไป๋ลี่อิง กระทั่งโอ่งข้าวสารยังอยู่ในห้องนางเอง
ปกติสามพี่สะใภ้ไม่มีใครได้แตะ ถ้ามีเวรทำกับข้าวก็ต้องได้รับการจัดแบ่งข้าวล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวาน ไม่มีการได้ข้าวเกินแม้แต่นิดเดียว แม้ช่วงนี้จะไม่อดอยากเหมือนแต่ก่อน แต่ถ้าไม่รอบคอบก็มีสิทธิเหมือนกันที่จะไม่มีข้าวกิน
จางรั่วหนานถือกุญแจ จึงสามารถเปิดตู้ที่เก็บเสบียงได้ ข้างในมีของสารพัดวางกองระเกะระกะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหมูเจียวเก็บไว้ตั้งแต่ปีใหม่ น้ำตาลแดง ถั่วบดแห้ง หรือแม้แต่หมูแห้งเค็มจากตอนปีใหม่
คนที่เคยผ่านยุคข้าวยากหมากแพงมาจะเข้าใจว่าทำไมต้องเก็บของแบบนี้ไว้ ข้าวสารเก่าในโอ่งยังมีเหลือมาก พอให้กินได้อีกพักใหญ่ ข้าวดีๆ ที่ได้ในแต่ละปี ไป๋ลี่อิงมักจะเอาไปแลกเป็นข้าวเก่าจากในเมือง เพราะข้าวดีมันมีน้อย แลกมาเป็นข้าวเก่าอย่างน้อยก็พอกินกันทั้งบ้าน
พวกตระกูลจางถือว่าโชคดีที่แต่ละคนได้กินกันพอท้อง แต่คนอีกหลายบ้านในหมู่บ้าน กินได้แค่ไม่ตายก็ถือว่าดีแล้ว
เธอปิดตู้ลง เดินไปล้างข้าวสาร แล้วเอามันลงหม้อหุงกับมันเทศที่ได้จากห้องใต้ดิน ทำเป็นข้าวมันเทศง่ายๆ ไม่มีผักเยอะ เธอเลยคีบผักดองออกจากไห แล้วเดินไปเก็บพริกสดแดงๆ จากแปลงผักข้างบ้านมาสับกับน้ำมันเมล็ดผักกาด เอาไปผัดรวมกับผักดอง กลิ่นหอมจนเรียกน้ำย่อย
แต่ละบ้านช่วงนี้ไม่เข้มงวดเหมือนแต่ก่อน ทุกบ้านจะมีแปลงผักเล็กๆ หลังบ้านไว้ปลูกของกิน เช่น พริก แตงกวา มะระ ฟักทอง เอาไว้กินในบ้านเอง
พอผัดผักดองเสร็จ จางรั่วหนานก็เอามันฝรั่งมาปอกเปลือก หั่นเป็นเส้นแล้วผัดกับน้ำมันที่เหลือจากผัดก่อนหน้า กลิ่นหอมฟุ้ง
ไป๋ลี่อิงเปิดประตูเข้ามาเจอกลิ่นอาหารพอดี รีบร้องอุทานแล้วเดินมาที่ครัว เห็นหม้อข้าวมันเทศยังร้อนอยู่กับกับข้าวที่ตั้งบนเตา ก็ตะโกนลั่น
“ไม่ได้บอกให้ไปพักเหรอ แล้วมาทำข้าวทำกับข้าวอีกทำไม?”
“พักมาหลายวันแล้ว แค่อยากขยับร่างกายนิดหน่อยน่ะแม่” จางรั่วหนานยิ้มอ่อน “ทำข้าวมื้อเดียว ไม่เหนื่อยหรอกจ๊ะ”
“ลูกนี่นะ…” ไป๋ลี่อิงส่ายหน้าอย่างหมดคำ เอานิ้วจิ้มหน้าผากลูกสาว แล้วหยิบกับข้าวเดินออกไปพลางตะโกน
“พวกแกรีบเข้ามายกของไป! น้องยังไม่หายดี ยังจะให้เขายกของอีกหรือไง!?”
พวกพี่สะใภ้ที่เพิ่งล้างมือเสร็จรีบวิ่งเข้ามายกกับข้าวทันที กลัวจะโดนดุ
เมื่อก่อนเจ้าของร่างนี้ก็ทำกับข้าวบ่อยอยู่แล้ว คงเพราะรู้ว่าบ้านไม่ได้มีของกินมาก เวลาใช้วัตถุดิบจึงประหยัดทุกหยดเหมือนพี่สะใภ้กับแม่สามี
จางรั่วหนานที่มาจากโลกปัจจุบันยังไม่ทันปรับตัวดีนัก เวลาใส่น้ำมันก็เลยใส่เยอะไปหน่อย ทำให้วันนี้ทุกคนก้มหน้ากินข้าวกันแบบเอร็ดอร่อย ไม่มีใครเหลือบตาขึ้นเลย
ไป๋ลี่อิงก็แอบเสียดายน้ำมันอยู่ แต่พอคิดว่าลูกสาวเพิ่งหายดี จะได้กินของดีบ้างก็เลยยอม
หลังจากกินเสร็จ จางรั่วหนานกลับเข้าห้อง หยิบสมุดกับปากกาที่เจ้าของเดิมซ่อนไว้อย่างดีออกมาวางบนโต๊ะ ถ้าจะมีอะไรที่ทั้งไม่ฝืนบุคลิกเดิมของเจ้าของร่างและยังหาเงินได้ “เขียนนิยาย” ก็คือคำตอบ
ช่วงเวลานี้ ค่าต้นฉบับแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
โชคดีที่เจ้าของร่างเดิมรักการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เล็ก เขียนเรียงความทีไรครูก็อ่านให้ทั้งห้องฟังทุกครั้ง เรียกได้ว่าตรงกับบุคลิกเป๊ะ
ปากกาลูกลื่นหมุนอยู่ในปลายนิ้วเรียวขาวสะอาดของจางรั่วหนาน เธอจ้องสมุดตรงหน้า แล้วยิ้มมุมปากเบาๆ…