โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

'เศรษฐีจีน' กลัวความไม่แน่นอน เล็งย้ายออกจากประเทศลดลงเป็นประวัติการณ์

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 27 มิ.ย. เวลา 02.27 น. • เผยแพร่ 26 มิ.ย. เวลา 11.30 น.

บริษัทที่ปรึกษาจากลอนดอนคาดการณ์ว่า จำนวนชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีฐานะที่เลือกย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศอาจลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น และการพยายามดึงดูดผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

รายงานประจำปีเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานของนักลงทุนของบริษัท Henley & Partners ระบุเพิ่มเติมว่า เศรษฐีจากทั่วภูมิภาคเอเชียเริ่มย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการว่าจะมีผู้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาสุทธิอยู่ที่ประมาณ 800 คน ซึ่งจำนวนนี้รวมไปถึงผู้บริหารระดับสูงหลายคนจากบริษัทไฮเทคที่เติบตัวอย่างรวดเร็วในเมืองข้างเคียงอย่างเซินเจิ้นอีกด้วย

รายงานประจำปีนี้ซึ่งถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร (24 มิ.ย.) คาดว่าบุคคลที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูง (บุคคลมีทรัพย์สินที่สามารถลงทุนได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์) จำนวน 142,000 คน จะย้ายถิ่นฐานไปยังต่างประเทศในปีนี้

อย่างไรก็ตาม จำนวนเศรษฐีชาวจีนแผนดินใหญ่ที่จะย้ายออกจากประเทศคาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 7,800 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว 15,200 ราย และปี 2023 ที่ระดับ 13,800 ราย ทำให้จีนเสียตำแหน่งประเทศที่เศรษฐีย้ายออกมากที่สุดในโลกที่ครองมากว่า 10 ปี

สหราชอาณาจักรจะกลายเป็นประเทศที่เศรษฐีย้ายออกมากที่สุดแทน โดยปีนี้มีเศรษฐีย้ายออกถึง 16,500 ราย ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สเปน และเยอรมนี ก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนการย้ายออกมากขึ้นเช่นกัน

การเติบโตของศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของจีน เช่น เซินเจิ้นและหางโจว ควบคู่กับการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการธนาคารส่วนบุคคล สาธารณสุข และความบันเทิง เป็นเหตุผลใหม่ๆ ที่ทำให้มหาเศรษฐีในแผ่นดินใหญ่ต้องการจะอยู่ต่อ

ที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานชาวจีนรายหนึ่งกล่าวว่า อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนเศรษฐีย้ายออกจากแผ่นดินใหญ่น้อยลงคือความไม่แน่นอนที่นักศึกษาจีนในต่างประเทศต้องเผชิญ โดยเชื่อว่าปัจจุบันจำนวนเศรษฐีย้ายออกนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19

การศึกษาในต่างประเทศถือเป็นประตูสู่โอกาสดีๆ หลายอย่างให้แก่ครอบครัวจีนที่ร่ำรวยมาแล้วหลายทศวรรษ เช่น การได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยระดับโลก การได้ประสบการณ์ระดับนานาชาติ และความได้เปรียบในการหาอาชีพในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ได้กลายเป็นเส้นทางที่ไม่แน่นอนไปแล้ว เนื่องจากประเทศต่างๆ ที่เคยถูกมองเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย ต่างเริ่มบังคับใช้กฎเกณฑ์วีซ่านักเรียนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและจำกัดโอกาสต่างๆ หลังจบการศึกษา ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนมากขึ้น

บิล หลิว ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Guangzhou Cheuk Yuet กล่าวว่า ปัจจุบันชาวจีนที่มีฐานะมีแนวทางในการจัดสรรสินทรัพย์และการตัดสินใจเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ที่ “เน้นการปฏิบัติได้จริงมากกว่า” โดยหลิวกล่าวเพิ่มเติมว่าในอดีต ฐานลูกค้าของบริษัทกว่าร้อยละ 70 เลือกย้ายถิ่นฐานเพื่อผลประโยชน์ทางการศึกษาของลูกโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบัน “เหตุผลแค่นั้นไม่สามารถทำให้พวกเขาตัดสินใจย้ายประเทศได้แล้ว”

นอกจากนี้ หลิวยังกล่าวอีกว่า ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นและนโยบายวีซ่าของประเทศปลายทางที่เข้มงวดขึ้นส่งผลให้ชาวจีนจำเป็นต้องเริ่มทบทวนผลประโยชน์ในระยะยาวและต้นทุนของการย้ายถิ่นฐานใหม่จากมุมมองที่กว้างขึ้น

ฟาง ลี่ ซึ่งกำลังดำเนินการธุรกิจด้านสาธารณะสุขในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนกับครอบครัว ได้ออกความเห็นว่าเคยมีแผนที่จะให้ลูกชายศึกษาต่อและทำงานในสหรัฐ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนใจและรู้สึกว่า “ควรให้ลูกไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ฮ่องกงไม่ก็ญี่ปุ่นมากกว่า” เพราะว่าประเทศในเอเชีย “เป็นมิตรต่อชาวจีนและมีความมั่นคงมากกว่า”

ฟางกล่าวว่า ลูกชายได้ศึกษาในโรงเรียนนานาชาติและกำลังเตรียมสมัครเข้ามหาวิทยาลัยต่างประเทศในปีนี้ แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเหล่านั้นต่างมี “ตัวแปรที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”

อ้างอิง: South China Morning Post

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...