ความลับของยูนิฟอร์ม “แอร์โฮสเตส” เครื่องแบบในฝันของใครหลายคน
แม้บนโลกนี้จะมี “อาชีพ” มากมายเป็นล้าน ๆ แต่มีอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ผู้ประกอบอาชีพจะต้องสวมใส่ “เครื่องแบบ” และมีเพียงไม่กี่เครื่องแบบ จากไม่กี่อาชีพ ที่เป็นเครื่องแบบในฝันของใครหลายคน
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีเครื่องแบบของ “ลูกเรือ” สายการบินพาณิชย์ หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่า “แอร์โฮสเตส” อยู่ด้วย “ลูกเรือ” เป็นหนึ่งในอาชีพในฝันด้วยหลาย ๆ สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความรักในงานบริการ ความชื่นชอบในเครื่องบิน โอกาสได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก รายได้มากกว่ามาตรฐานในประเทศไทย หรือภาพลักษณ์ที่โดดเด่น โดยหนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้ “ลูกเรือ” มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำก็มาจากเครื่องแบบด้วยเช่นกัน
แต่ภายใต้เครื่องแบบที่เป็นตัวแทนแห่งภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบก็มีหลายเรื่องราวซ่อนอยู่
Vinh Lâm / Pexels
เริ่มต้นจากชุดถึก ทน สู่เส้นทางมากสไตล์
“เครื่องแบบลูกเรือ” เริ่มปรากฏครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปี 1920 โดยถูกออกแบบให้ทนทานและใช้งานได้จริง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารที่จะต้องเดินทางกับสายการบินพาณิชย์ แต่เพราะต้องการความทนทานทำให้เครื่องแบบมีน้ำหนักค่อนข้างมาก ก่อนในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 และต้นทศวรรษที่ 1930 จะเริ่มพัฒนาไปใกล้เคียงกับ “เครื่องแบบทหาร” ด้วยถุงมือสีขาวและหมวกที่เข้าชุดกัน ในลูกเรือหญิงจะสวมกระโปรงยาวเลยเข่า โดยมักมีผ้าคลุมและหมวกขนาดใหญ่ปิดหู ก่อนจะถูกเลิกใช้ไปในช่วงทศวรรษที่ 1930
จนกระทั่งทศวรรษที่ 1940 และ 1950 เครื่องแบบของลูกเรือจึงจะประกอบด้วย กระโปรงสั้นทรงดินสอ เบลเซอร์สั่งตัด รองเท้าส้นเตี้ย และหมวกเข้าคู่กับชุด ก่อนปลายทศวรรษ 1950 และต้นทศวรรษ 1960 ผู้บริหารของบางสายการบินจะเริ่มแสดงความประสงค์ในการจ้าง “ผู้หญิงโสด” ที่มีส่วนสูงและน้ำหนักตามเกณฑ์ เพื่อดึงดูดลูกค้าส่วนใหญ่ในยุคนั้นที่มักเป็นผู้ชาย และแนวทางแบบนี้เริ่มลดน้อยถอยลงไป เพราะถูกแทนที่ด้วยกระโปรงยาวถึงเข่าและเสื้อผ้าที่รัดกุมเหมาะกับการทำงานมากกว่า
The Emirates Group
ช่วงปี 1980 ถึงมีการเพิ่มเสื้อกั๊กและเสื้อกั๊กสเวตเตอร์ และช่วงปี 1990 ถึงมีการเพิ่มเนกไทขนาดใหญ่และแผ่นรองไหล่ในชุดลูกเรือ รวมถึงเพิ่ม “สไตล์” อันเป็นเอกลักษณ์ของสายการบินเข้าไปในเครื่องแบบ จนถึงปัจจุบันเครื่องแบบก็ได้สะท้อนสไตล์ของสายการบินอย่างชัดเจน และหลายสายการบินก็สร้างการจดจำได้เป็นอย่างดีในหมู่คนทั่วไป เช่นเครื่องแบบของสายการบิน Emirates Airline ที่มีหมวกสีแดงและผ้าคลุมศีรษะสีขาวพลิ้วไสว นอกจากนี้เครื่องแบบลูกเรือของสายการบินยังรับเอา “แฟชั่นไฮเอนด์” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ สายการบินรายใหญ่จำนวนมากจับมือกับ “ดีไซเนอร์” จากห้องเสื้อกูตูร์ เพื่อสร้างสรรค์เครื่องแบบที่ทันสมัย อย่างเช่นสายการบิน Air France ที่จ้าง “Christian Lacroix” ออกแบบเครื่องแบบที่สามารถป้องกันรอยยับได้
The Emirates Group
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ สายการบินส่วนใหญ่มักใช้เวลาหลายเดือนในการทดสอบเครื่องแบบใหม่ ก่อนจะผลิตออกมาให้ลูกเรือสวมใส่จริง เพราะลูกเรือจำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด จึงต้องการเครื่องแบบที่แข็งแรงทนทาน แต่สามารถยืดหยุ่นได้ รวมถึงสามารถเข้าได้กับหลากหลายสภาพอากาศ เพราะต้องเดินทางทั่วโลกจากสถานที่หนึ่งสู่อีกสถานที่หนึ่งที่มีสภาพอากาศแตกต่างกัน โดยหลายคนอาจไม่รู้ว่า บางองค์ประกอบของเครื่องแบบอย่างเช่นเนกไทและผ้าผูกคอ มักจะไม่ได้ถูกทำให้ติดกับชุดไว้และมักจะถูกออกแบบมาให้สามารถถอดออกได้ง่าย
Japan Airline
โลกเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ก็ย่อมเปลี่ยนไป
นอกจากนั้น กาลเวลายังทำให้ “กระโปรง” ที่เคยเป็นกฎเข้มงวดของหลายสายการบินเปลี่ยนแปลงไป บางสายการบินหันมาอนุญาตให้พนักงานสามารถสวม “กางเกง” แทนได้ อย่างเช่น Japan Airline ที่อนุญาตให้ลูกเรือหญิงสวมกางเกงขายาวได้ หรือในหมู่สายการบินรุ่นใหม่ก็จะออกแบบชุดลูกเรือไว้หลากหลายมากขึ้น เช่นสายการบินสัญชาติไทยอายุน้อยอย่าง Thai Smiles ที่มีตัวเลือกหลากหลายตั้งแต่กระโปรง เดรส และกางเกงขายาว หรือสายการบินเวียดนามอย่าง VietJets Air ที่มีเครื่องแบบเป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่า
เช่นเดียวกับพัฒนาการเกี่ยวกับ “ส้น” ของรองเท้าที่หลายสายการบินเปลี่ยนแปลงกฎหลังจากได้รับข้อร้องเรียนอย่างต่อเนื่องของลูกเรือหญิงที่ได้รับผลกระทบจากการสวมรองเท้ามีส้น ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเท้า ไปจนถึงนิ้วหัวแม่เท้าเอียง แต่ก็ยังมีสายการบินหลายแห่งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ด้านนี้อยู่ด้วยเช่นกัน
VietJets Air
อีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจ คือ พัฒนาการทางด้านความหลากหลายที่มากกว่ากระโปรง-กางเกง อย่างเช่น “รอยสัก” เป็นที่รู้กันดีว่า ปกติแล้วสายการบินส่วนใหญ่มักปฏิเสธลูกเรือที่มีรอยสัก รอยแผลเป็น หรือตำหนิบนร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณนอกร่มผ้า แต่ปัจจุบันบางสายการบินอนุญาตให้ลูกเรือสามารถมีรอยสักได้ แต่ต้องปกปิดด้วยการแต่งหน้า ผ้าพันคอ หรือเครื่องแบบ อย่างเช่น Ryanair, Wizz Air และ EasyJet
VietJets Air
ด้านข้อบังคับเกี่ยวกับ “การเจาะ” สายการบินส่วนใหญ่อนุญาตให้ลูกเรือเจาะและสวมต่างหูขนาดเล็ก แต่เกือบทั้งหมดห้ามไม่ให้เจาะริมฝีปาก ลิ้น จมูก และคิ้ว แต่ก็มีบางสายการบินพัฒนากฎเกณฑ์ที่ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย อนุญาตให้พนักงานสามารถมีรอยสักหรือเจาะจมูกได้ อย่างเช่น United Airlines ส่วนกฎเกี่ยวกับ “การแต่งหน้า” ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละสายการบินเช่นกัน สายการบินจากตะวันออกกลางและเอเชียมักจะมีกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการแต่งหน้าและการแต่งตัวที่ละเอียดครอบคลุมมากกว่า กำหนดไปจนถึงสีลิปสติกและสีเล็บของลูกเรือ
และในปี 2022 สายการบิน Alaska Airlines ยังได้เปิดตัวเครื่องแบบที่มี “ความเป็นกลางทางเพศ” เพื่อให้ลูกเรือมีความยืดหยุ่นในการแสดงออกมากยิ่งขึ้น ส่วน Virgin Atlantic ก็ได้อัปเดตกฎระเบียบเกี่ยวกับเครื่องแบบให้ลูกเรือสามารถแสดงอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองได้อย่างอิสระ และสามารถกำหนดสรรพนามนำหน้าชื่อที่ต้องการได้
Mohammad Arrahmanur / Unsplash
เครื่องแบบ = ภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบหรือภาพลวงตา
“เครื่องแบบ” อันแตกต่างและมีเอกลักษณ์ของแต่ละสายการบินที่เพียงเห็นก็จะจำได้ทันทีนั้น ได้รับการยืนยันจากผลการศึกษาทัศนคติของผู้บริโภคต่อ “สีของเครื่องแบบ” ของลูกเรือว่า การเลือกสีเครื่องแบบมีบทบาทสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์และการจดจำให้กับแบรนด์ โดยส่วนใหญ่เครื่องแบบของ “สายการบินฟูลเซอร์วิส” จะให้ความรู้สึกสดใส สงบ เรียบร้อย และหนักแน่น ในขณะที่เครื่องแบบของ “สายการบินต้นทุนต่ำ” จะให้ความรู้สึกโดดเด่น มีชีวิตชีวา มีพลัง และร่าเริง ซึ่งผู้บริโภคจะสามารถจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้นหากมีสีของเครื่องแบบที่เหมาะสม ทำให้สายการบินได้เปรียบในการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรมการบิน
ดังนั้น “เครื่องแบบลูกเรือ” จึงไม่ใช่เพียงแค่เครื่องแต่งกายธรรมดา ๆ ที่สามารถบอกให้ผู้โดยสารรู้ว่า คนคนนี้เป็นลูกเรือที่ยินดีช่วยเหลือและบริการเท่านั้น แต่เป็นเครื่องแบบที่ต้องสวมใส่บนตัวคนที่ทำหน้าที่เป็น “ทูตของแบรนด์” มีความสำคัญในการสร้างการจดจำและการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนความเป็นมืออาชีพ สร้างความน่าประทับใจ ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการซ้ำและบอกเล่าปากต่อปาก จึงไม่แปลกที่สายการบินพาณิชย์จำนวนมาก จะให้ความสำคัญกับ “ความสมบูรณ์แบบ” ของเครื่องแบบและองค์ประกอบบนตัวลูกเรือ
อีกมุมหนึ่ง “ซูซาน บราวน์” ลูกเรือผู้มากประสบการณ์เคยอธิบายไว้บนกระทู้ในเว็บไซต์กระทู้ยอดนิยม Quora ว่า เหตุผลที่หลายคนคิดว่าลูกเรือส่วนใหญ่หน้าตาดีมาจาก “ภาพลวงตา” ที่สายการบินสร้างขึ้น
ในระหว่างการฝึกลูกเรือบนเครื่องบิน ทุกคนจะต้องผ่านการฝึกการแต่งกาย การใส่เครื่องแบบ และการสร้างภาพลักษณ์ ลงรายละเอียดถึงขนาดว่าจะต้องใส่ชุดอย่างไร รองเท้าแบบไหน ทรงผมแบบใด แต่งหน้าอย่างไร แม้กระทั่งความยาวและสีของเล็บด้วย ไปจนถึงเรื่องการดูแลผิวพรรณ การดูแลสุขภาพ การปฏิบัติตัว การเดิน การพูดการจา ฯลฯ
“ซูซาน” เล่าว่า สายการบินจะบอกลูกเรือว่าต้องการให้ลูกเรือดูเป็นอย่างไร โดยสายการบินจะหล่อหลอมให้ลูกเรือทุกคนมีรูปลักษณ์ในแบบที่สายการบินต้องการ และในบางมุม การหล่อหลอมเหล่านั้นก็ใกล้เคียงกับการสร้าง “ร่างโคลนนิ่ง” ที่คล้ายคลึงกันออกมา เพราะสายการบินมองว่า ลูกเรือเป็น “ผลิตภัณฑ์” สำหรับการประชาสัมพันธ์ที่จะทำให้ผู้บริโภคเห็นว่า สายการบินเป็นสายการบินที่ดีมากน้อยแค่ไหน โดยระดับความเข้มงวดด้านภาพลักษณ์ของแต่ละสายการบินก็จะแตกต่างกันไป ถ้าสายการบินที่ค่อนข้างเข้มงวดจะมีรูปภาพ “ตัวอย่าง” สำหรับตรวจเช็กการแต่งกาย การแต่งหน้า และการทำผมของลูกเรือในบริเวณสนามบินก่อนออกเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะอยู่ในรูปลักษณ์ที่ดูดีที่สุด
ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “เครื่องแบบลูกเรือ” มักถูกพูดถึงในสองแง่มุมเสมอ ในแง่บวกคือการทำหน้าที่ทูตของแบรนด์แทนการบอกเล่า และในแง่วิพากษ์วิจารณ์ “มาตรฐานความงาม” ที่เครื่องแบบและการแต่งกายเป็นอุปสรรคมากกว่าส่งเสริมการทำงาน จนนำมาสู่วิวัฒนาการที่ค่อย ๆ ขยับสู่จุดที่ผ่อนคลายมากขึ้นนั่นเอง
ที่มา :
บทความ “Why flight attendants are attractive” จาก www.yourlifechoices.com
บทความ “Cabin Crew On: Onboard Trends For Uniforms” จาก https://insights.worldtravelcateringexpo.com
บทความ “Why Flight Attendants Have Their Own Uniforms” จาก www.airsceneuk.org.uk
บทความ “WHY DO FLIGHT ATTENDANTS AND PILOTS WEAR A UNIFORM” โดย Frances จาก www.atlas-blue.com
บทความ “Ten Surprising Facts About Cabin Crew Uniforms” โดย Patricia Green จาก https://simpleflying.com
เรื่อง : Techa S.