PIS จัดทัพโรดโชว์หัวเมืองใหญ่ - กทม. วันที่ 18-19 และ 24 ธ.ค.นี้-เตรียมขายไอพีโอ Q1/68

บมจ.โปร อินไซด์ (PIS) ผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ ผนึกบริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เดินสายโรดโชว์ก่อนเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% เปิดฉากเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนที่จังหวัดขอนแก่น-หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และปิดท้ายที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 18-19 และ 24 ธ.ค.นี้ คาดเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ mai ในไตรมาส 1/68 ฟากซีอีโอ “เบญญาภา เฉลิมวัฒน์”ระบุนำเงินจากการระดมทุนขยายธุรกิจ รับแผนประมูลโปรเจคภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจ หนุนผลงานเติบโตก้าวกระโดด มั่นใจกระแสตอบรับดีเยี่ยม ชูจุดเด่นผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น

นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนจะนำ PIS เดินสายเพื่อนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ระหว่างวันที่ 18-19และ 24ธันวาคม 2567เพื่อนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน 3จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และปิดท้ายที่กรุงเทพฯ ตามลำดับ หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เรียบร้อยแล้ว

“การโรดโชว์ในครั้งนี้ PIS เตรียมนำเสนอข้อมูลธุรกิจ และศักยภาพการเติบโตในอนาคต เพื่อให้นักลงทุนได้รู้จักและเข้าใจธุรกิจของบริษัทฯ ก่อนเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 1/2568”

นายวรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า PIS เตรียมขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 140,000,000หุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯในครั้งนี้ วัตถุประสงค์เตรียมนําเงินวางเป็นหลักค้ำประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) ให้กับงานโครงการและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ

ทั้งนี้ PIS เดิมชื่อบริษัท เรย์ เทล จํากัด (RAYTEL) โดยมีบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) (SKY) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งได้เล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจจึงมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะธุรกิจของบริษัท โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจจําหน่าย และวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศครอบคลุมการบริการให้การปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง ดูแลบำรุงรักษาระบบงาน จัดหาและจําหน่ายผลิตภัณฑ์รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (ICT Solutions) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบงาน (Module) ภายในองค์กร โดยนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งอุปกรณ์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) เข้ามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการ รวมเป็นลักษณะงานออกแบบและพัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบเบ็ดเสร็จ (Application Solution)

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมุ่งเน้นให้บริการวางแผน ออกแบบ พัฒนา และติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพแบบครบวงจร (Physical Security Solution) เช่น ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV Solution) ระบบควบคุมการเข้าออกสถานที่ (Access Control Solution) และระบบอ่านป้ายทะเบียนรถ (License Plate Recognition Solution) เป็นต้น

สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2564 - 2566และงวด 3เดือน (สิ้นสุดวันที่ 31มีนาคม 2567) มีรายได้รวม 674.61ล้านบาท 642.61ล้านบาท 1,075.18ล้านบาท และ 256.07ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 36.35% ลดลง 4.74% เติบโต 67.32% และเติบโต 68.83% จากงวดเดียวกันของปีก่อนตามลําดับ

ในปี 2564 - 2566และงวด 3เดือน (สิ้นสุดวันที่ 31มีนาคม 2567) บริษัทฯมีกําไรสุทธิ 87.52ล้านบาท 18.68ล้านบาท 104.03ล้านบาท และ 24.12ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากําไรสุทธิ 12.97% 2.91% 9.68% และ 9.42% ของรายได้รวมตามลำดับ

นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า การโรดโชว์ระหว่างวันที่ 18-19และ 24ธันวาคม 2567บริษัทฯจะนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในลักษณะการดำเนินธุรกิจ รวมถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคต และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม เนื่องจาก PIS ถือเป็นผู้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจอยู่ในเมกะเทรนด์ รองรับแผนการเปิดประมูลโครงการของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ

“การเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ mai ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของ PIS เพื่อรองรับแผนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตของบริษัทฯ รวมทั้ง เพิ่มโอกาสในการประมูลโครงการภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการนำระบบไอทีมาช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน”