ทะลุมิติทั้งที ทำไมต้องมาเป็นคุณแม่ตัวร้ายสู้ชีวิตในยุค 70!
ข้อมูลเบื้องต้น
ทะลุมิติทั้งที ทำไมต้องมาเป็นคุณแม่ตัวร้ายสู้ชีวิตในยุค 70!
เรื่องย่อ : "หลี่เฟยฮุ่ยหญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ก่อนตายพ่อแม่ก็ทิ้งมรดกก้อนใหญ่ไว้ให้ เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย บัตรเครดิตยังมีเงินเหลืออีกหลายหลัก แต่กลับทะลุมิติมาเป็นนางร้ายในนิยายยุค 70 ที่กำลังจะทิ้งลูกและสามีที่หายตัวไปเป็นปี ๆ เพื่อแต่งงานใหม่ นอกจากจะต้องแก้ไขความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวแล้วยังต้องแก้ไขปัญหาปากท้องของทุกคนอีก ทะลุมิติเข้ามาในนิยายทั้งทีขอความสามารถพิเศษเหมือนคนอื่น ๆ ไม่ได้รึไง! ถ้าเอาเงินในบัญชีของฉันมาใช้ได้ก็คงจะดี~
บทที่ 1 ผู้หญิงไร้ยางอาย
บทที่ 1 ผู้หญิงไร้ยางอาย
ท่ามกลางความเงียบสงบของหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบทที่รายล้อมด้วยภูเขาสูงและป่าไม้เขียวขจี แต่บ้านสกุลหลิวสายรองกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เสียงโต้เถียงดังลอดออกมาจากบ้านหลังเก่า ภายในบ้านมีเสียงเอะอะโวยวายของคนหลายคนดังปะปนกันจนดังก้อง บ่งบอกถึงความวุ่นวายภายในบ้านได้เป็นอย่างดี
ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างพากันหูผึ่ง ตั้งใจฟังเสียงเอะอะโวยวายราวกับกำลังชมงิ้วฉากสำคัญ บางคนถึงกับอดใจไม่ไหวย่องเข้ามาใกล้หวังสอดส่องเหตุการณ์ความวุ่นวายภายในบ้านสกุลหลิว
แม้ว่าจะมีการโต้เถียงกันมาพักนึงแล้ว แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง
ส่วนเรื่องที่ทำให้คนทั้งตระกูลต้องมาถกเถียงกันนั้นเป็นเพราะ 'หลี่เฟยฮุ่ย' ผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้านตระกูลหลิวสายรองตั้งใจกระโดดน้ำ เพื่อเสแสร้งว่าจะฆ่าตัวตาย
หลี่เฟยฮุ่ยเป็นคนรักสบายมากและยังเป็นคนที่ดื้อแพ่งอย่างถึงที่สุด เธอตัดสินใจแต่งงานกับหลิวจางเหว่ย หนุ่มชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านอันห่างไกลคนหนึ่ง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนในครอบครัว
"โอ๊ย สาวน้อย ทำไมถึงเลือกเขา?"
เสียงพร่ำบ่นผ่านจดหมายจากครอบครัวไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้เลย
เพราะเธอเป็นหนึ่งในยุวชนที่ต้องลงชนบท คนรักสบายอย่างเธอจะทนความลำบากได้ยังไงกัน การแต่งงานกับคนในหมู่บ้านจึงเป็นทางเลือกที่เธอคิดว่าดีที่สุด
ถึงแม้ว่าหลิวจางเหว่ยจะเป็นคนในชนบท แต่เขาก็หล่อมาก การได้แต่งงานกับเขาไม่ได้ทำให้เธอขาดทุนเลยสักนิด
หลังจากแต่งงาน เธอก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สามีและครอบครัวของเขาก็ดูแลเธออย่างดีราวกับเป็นเทพเจ้าที่ต้องเคารพบูชาเลยทีเดียว
แต่ทว่าความสุขก็อยู่กับเธอได้ไม่นานนัก เมื่อหลิวจางเหว่ยถูกกองทัพเรียกตัวด่วน เขาจึงออกเดินทางไปโดยไม่กล่าวรายละเอียดเพิ่มเติมใด ๆ เลย
ตอนนี้ก็ผ่านไป 2 ปีกว่าแล้ว เขายังไม่ติดต่อกลับมาเลยสักครั้ง ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาอาจจะตายไปแล้ว รวมถึงเธอด้วย
หลี่เฟยฮุ่ยจึงอยากออกไปจากบ้านหลังนี้ อยากไปให้ไกลจากหมู่บ้านในชนบทที่ห่างไกลความเจริญนี่!
เธอจึงทำเรื่องโง่ ๆ อย่างการเสแสร้งกระโดดแม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านขึ้นมา จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่คนทั้งตระกูลต้องมานั่งถกเถียงกันอยู่นี่
"พวกเราทั้งครอบครัวตามใจเธอมากเกินไป! ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงไร้ยางอายแบบนี้!" คำพูดของป้าใหญ่แต่ละคำ เปรียบเสมือนหอกแหลมทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของคนที่ได้ยิน
"ถ้าเป็นฉันนะ!…" น้ำเสียงของป้าใหญ่ ทวีความรุนแรงขึ้น
"จะตีเธอให้ขาหักไปเลย! ไม่ปล่อยให้เธอกลับเข้าเมืองไปหรอก!" ใบหน้าของป้าใหญ่แดงก่ำ แสดงถึงความโกรธที่กำลังพุ่งพล่าน
ความตึงเครียดปกคลุมไปทั่วห้อง ราวกับพายุที่กำลังก่อตัวรอเวลาที่จะระเบิดออกมา
ลูกชายคนโตของเธอเสริมขึ้นมาทันทีว่า "ถูกต้องแล้ว! ถ้าเธอจะกลับเข้าเมืองจริง ๆ ก็ควรรอให้จางเหว่ยกลับมาตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่ควรปล่อยให้เธอทำตามใจตัวเองแบบนี้!"
พอมีคนบอกว่าให้รอหลิวจางเหว่ยกลับมาก่อน ลูกชายคนเล็กของป้าใหญ่ที่อยู่มุมห้องก็ถามด้วยน้ำเสียงแผ่ว ๆ ว่า
"แล้วถ้าพี่จางเหว่ยไม่มีวันได้กลับมาล่ะ?"
ทุกคนหันขวับไปทางมุมห้องด้วยสีหน้าเดือดดาล
จากนั้นต่างก็ถ่มน้ำลายออกมาอย่างแรง "ถุย! ถุย! ถุย! อย่าปากเสียพูดแบบนี้อีก! แกสิที่ไม่มีวันได้กลับมา!"
ลูกชายคนโตของป้าใหญ่จึงพูดสำทับไปอีกว่า "อย่าพูดแบบนั้น จางเหว่ยต้องกลับมาได้แน่นอน หลังจากนั้นพวกเราค่อยมาว่ากันอีกที"
ทุกคนพูดสลับกันอย่างดุเดือด เสียงถกเถียงดังลั่น เฉินซินหยาน แม่ของหลิวจางเหว่ยอุ้มหลานชายตัวน้อยไว้แนบอก ขณะที่น้ำตาไหลพราก เธอปาดน้ำตาด้วยความเศร้าใจและพูดด้วยน้ำเสียงสะอึ้กสะอื้นว่า
"แล้วถ้าเธอไปกระโดดน้ำอีกล่ะ? ชีวิตคนสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด รังไก่ป่าแบบบ้านเราจะไปกักขังนกฟีนิกซ์ทอง* [1] แบบเธอไว้ได้ยังไง? ถ้าเธออยากไปจริง ๆ ก็ปล่อยเธอไปเถอะ อย่าให้ถึงตายเลย!"
ป้าใหญ่ที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบเสริมขึ้นทันที "แต่จะปล่อยให้ไปง่าย ๆ แบบนี้เหรอ? แล้วลูกล่ะ? แล้วหลิวจางเหว่ยล่ะ? จะปล่อยเธอไปได้ยังไง!"
เฉินซินหยานส่ายหัวไปมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด "ถ้าเฟยฮุ่ยตัดสินใจแล้วว่าจะไปจริง ๆ พวกเราก็คงห้ามไม่ได้อีก"
เสียงถกเถียงดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างพูดกันเสียงดังอย่างกังวลใจ ไม่มีใครรู้ว่าทางไหนถึงจะดีที่สุด…
ป้าใหญ่ที่ดูถูกน้องสะใภ้มาตลอด มองน้องสะใภ้ที่อ่อนแอและไร้ความสามารถด้วยสายตาเหยียดหยาม
"น้องสะใภ้! เพราะเธอขี้ขลาดแบบนี้ไง หลี่เฟยฮุ่ยถึงได้กดหัวและรังแกเธออยู่แบบนี้ เธอไม่กลัวจางเหว่ยกลับมาแล้วจะโทษเธอหรือไง?" ป้าใหญ่ตะโกนออกมาด้วยความฉุนเฉียว
ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "ถึงหลี่เฟยฮุ่ยจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็เป็นแม่แท้ ๆ ของซีซวนนะ! ผู้หญิงจากในเมืองช่างไร้หัวใจจริง ๆ แม้แต่สัญชาตญาณในการปกป้องลูกก็ยังไม่มี สัตว์เดียรัจฉานยังดีกว่าเธอที่ทิ้งได้แม้กระทั่งซีซวน!"
ลูกชายคนโตที่เห็นแม่ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จึงดึงแขนเสื้อแม่ของตัวเอง พลางบอกให้หยุดพูด
"หยุดว่าอาสะใภ้เถอะ ถ้าเรื่องมันถึงขนาดนั้น เราก็แค่จับเธอมัดด้วยเชือก แล้วพวกเราผลัดกันเฝ้าเธอไว้ก็พอ รับรองว่าไม่มีทางให้เธอหนีไปไหนได้แน่นอน!"
ป้าใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตบต้นขาตัวเองดังปัง เสียงสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
"เออ แบบนั้นแหละ! ถ้ายังกล้าหนีอีกเราก็ทุบขาเธอซะเลย แล้วมัดไว้กับคานบ้านจะได้รู้สำนึกบ้าง! นึกว่าตระกูลของเราไม่มีปัญญาจะจัดการคนอย่างเธอเหรอ นังบ้านั่น!"
ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย หลิวตงหยาง หรือ ลุงใหญ่ หัวหน้าหน่วยผลิตที่ 1 และเป็นผู้นำตระกูลหลิวสายหลักกลับนั่งนิ่งอยู่มุมหนึ่งของบ้าน
ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขาพ่นควันยาสูบสีเทาออกมาเป็นระยะ บ่งบอกถึงความขุ่นมัวในใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นและเต็มไปด้วยอำนาจจะดังแทรกขึ้นเรียกสติทุกคนให้หันไปมอง
“วางใจเถอะ หลี่เฟยฮุ่ยหนีไปไม่ได้หรอก ถ้าฉันไม่ออกใบรับรองให้ ต่อให้เธอไปถึงตัวอำเภอก็ซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองไม่ได้อยู่ดี"
เขาหยุดพูดไปครู่นึง ก่อนจะพ่นควันจากยาสูบออกมา และพูดต่อว่า "พวกเราห้ามเธอได้แค่ครั้งเดียว ถ้าเธอยังคิดสั้นอีก ต่อให้ไม่ใช่การกระโดดน้ำก็ยังมีอีกหลายวิธี เราห้ามเธอเป็นสิบครั้งไม่ไหวหรอก”
บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปทันที เสียงที่เคยดังกึกก้องพลันเงียบลง
คำพูดของลุงใหญ่ทำให้ทุกคนเป็นกังวลมากขึ้น ความเงียบเข้าปกคลุมภายในบ้าน แม้แต่คนที่เคยพูดเสียงดังก็ถึงกับก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ส่วนป้าใหญ่ที่เมื่อครู่เพิ่งตะโกนโหวกเหวกอย่างโมโห ตอนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า
“มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะยอมรับ แต่บางที… เราอาจจะต้องปล่อยเธอไป”
เมื่อไม่กี่วันก่อน มียุวชนจากหน่วยข้างเคียงที่อยากกลับเข้าเมืองมาก ถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตดื่มยาฆ่าหญ้าเข้าไป ไม่กลัวว่าตัวเองจะตายเลยแม้แต่น้อย
ตอนแรกที่ได้ยินก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเวทนา ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับคนในตระกูลอย่างนี้
เฉินซินหยานร้องไห้ น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่หยุดยั้ง เธอเช็ดน้ำตาอย่างแรงจนใบหน้าแดงระเรื่อ พลางโอบอุ้มหลานชายตัวผอมแห้งที่อยู่ในอ้อมแขน แล้วลุกขึ้นโค้งคำนับให้กับทุกคนที่มาช่วยเหลือ
"เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ต้องรบกวนทุกคนมากจริง ๆ" เธอพูดพลางมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาที่แสดงถึงความขอบคุณ และความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
"ทุกคนกลับไปก่อนเถอะ รอให้เฟยฮุ่ยตื่นขึ้นมา ฉันจะพูดคุยกับเธออย่างจริงจังเอง" เฉินซินหยานพูดขึ้น เพื่อเป็นการสรุปผลของการโต้เถียงครั้งนี้
ก่อนจะพูดต่อด้วยความทอดถอนใจว่า "ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ถือซะว่าเป็นชะตากรรมของตระกูลหลิวสายรอง ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันได้"
น้ำเสียงของเฉินซินหยานเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยกลับสะท้อนชะตากรรมอันน่าเวทนาของเธอ
เชิงอรรถ
[1] รังไก่ป่า จะไปกักขังนกฟีนิกซ์ขนทอง หมายถึง สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะจะให้บุคคลที่มีสามารถมาอยู่
—-----------
สารจากผู้แปล
ฟื้นจากการจมน้ำแล้วยังจะโดนทุบขาอีก ครอบครัวนี้โหดร้ายเกินไปไหม…
บทที่ 2 ทะลุมิติมาเป็นตัวร้าย
บทที่ 2 ทะลุมิติมาเป็นตัวร้าย
แม้จะพยายามกลั้นสะอื้นแต่เสียงของเธอก็ยังสั่นเครืออยู่ดี ใบหน้าอันอ่อนหวานเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า
"ฉันเองก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาจริง ๆ ถึงตอนนั้นคงต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคนอีกครั้ง"
"แต่ว่า…"
ป้าใหญ่ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกลูกชายจับแขนไว้ เพื่อห้ามปรามไม่ให้เธอพูดเรื่องนี้อีก
"พอเถอะแม่ อาสะใภ้รู้ดีอยู่แล้วว่าควรทำอะไรต่อไป พวกเรากลับกันก่อนเถอะ"
เมื่อพูดจบ เขาก็พยายามพาแม่ของตนออกจากบ้านหลิวสายรองไป แต่เธอก็ยังตะโกนไล่หลังมาอีกว่า
"คราวนี้อย่าให้หล่อนหลอกลวงอีกนะ ถ้าตัวเธอไม่ลุกขึ้นสู้ คนอื่นก็ช่วยไม่ได้หรอก…"
ความจริงแล้วคนทั้งตระกูลอยากให้ตัวหายนะนี่กลับเมืองไปเสียที แต่ก็อย่างที่สุภาษิตโบราณว่าไว้ ‘ยอมรื้อวัดสิบหลัง ดีกว่าทำลายงานแต่งงานหนึ่งงาน’* [1]
จึงไม่มีใครในตระกูลหลิวกล้าทำอะไรเธอ
อีกประการหนึ่ง ลูกของเธอกับหลิวจางเหว่ยก็ยังเล็กนัก แม้จะดูเหมือนว่าการมีแม่หรือไม่มีก็คงไม่ต่างกัน แต่ลึก ๆ แล้วมันย่อมแตกต่างกันอยู่ดี
หลี่เฟยฮุ่ยรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เธอหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา ความฝันอันวุ่นวายติดตรึงอยู่ในหัว
เธอที่ยังคงหลับอยู่บนเตียง พยายามหลีกหนีจากความฝันอันแสนยาวนาน
‘ตื่นสิ ตื่นสักทีหลี่เฟยฮุ่ย!’
ในที่สุด เปลือกตาของเธอก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า
สิ่งแรกที่เธอเห็น คือ หลังคากระเบื้องสีดำสนิทผุพังเต็มไปด้วยฝุ่นผง คานไม้เก่าแก่ที่ดูเหมือนจะถล่มลงมาทุกขณะ บ่งบอกถึงกาลเวลาที่กัดเซาะบ้านหลังนี้จนแทบไม่เหลือซาก
หลี่เฟยฮุ่ยรู้สึกปวดตุบ ๆ ที่ขมับ ทันใดนั้นความทรงจำแปลกใหม่ที่ไม่ใช่ของเธอก็พรั่งพรูเข้ามาในหัว เล่าเรื่องราวทีละฉาก ๆ จนสมองของเธอแทบรับไม่ไหว
ในเวลาเพียงสิบกว่านาที หลี่เฟยฮุ่ยเหมือนได้มองดูเรื่องราวชีวิตทั้งชีวิตของหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอเป็นยุวชนจีนในยุค 70
“ไม่ใช่…”
พูดให้ถูกต้อง คือ ชีวิตอันโชคร้ายของนางร้ายในนิยายยุค 70 ที่เพิ่งอ่านไปต่างหาก
หลี่เฟยฮุ่ยสะดุ้งจนสุดตัว เหงื่อแตกพลั่ก ดวงตาเบิกโพลงมองไปที่เพดานห้องที่ดูแปลกตา ผ้าม่านสีเข้มทิ้งตัวลงมาบดบังแสงสว่างจากภายนอก
ทุกอย่างรอบตัวดูไม่เหมือนห้องที่เธอเคยอยู่เลยแม้แต่น้อย เธอพยายามควบคุมลมหายใจที่ติดขัด คิดถึงภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในนิยายที่ยังคงติดตา
"ไม่นะ…" หลี่เฟยฮุ่ยพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกหวาดผวาเริ่มกัดกินหัวใจ
“ฉัน…ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย คงไม่ได้ทะลุมิติมาอยู่ในนิยายหรอกนะ”
หลี่เฟยฮุ่ยตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัย เมื่อพบว่าทุกอย่างรอบตัวล้วนแปลกไป
“ฮ่า ๆ ๆ ทะลุมิติมีจริงที่ไหนกัน” หลี่เฟยฮุ่ยนึกถึงความฝันที่สมจริงนั่น พลางมองไปรอบ ๆ ตัวความสับสน
“จริงเหรอเนี่ย?!”
ไม่ได้ทะลุมิติมาในฐานะนางเอกผู้เลอโฉม หรือตัวประกอบที่มีความลับอันน่าพิศวง แต่กลับเป็นร่างของ…หลี่เฟยฮุ่ย นางร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในเรื่อง
ภาพเหตุการณ์ในนิยายที่เพิ่งอ่านฉายชัดขึ้นในหัว ทำให้หลี่เฟยฮุ่ยต้องทบทวนเรื่องราวอยู่พักใหญ่
การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะโชคชะตาของนางร้ายที่เลวร้ายที่สุดในเรื่อง
หลี่เฟยฮุ่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามรวบรวมสติ สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องพยายามทำตัวเป็นมิตรกับทุกคน เธอไม่อยากจบชีวิตอย่างน่าเวทนาแบบในนิยาย
‘ฉัน…หลี่เฟยฮุ่ย จะต้องรอด!’
หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมเรียนจบมัธยมปลายแต่ไม่มีงานทำ จึงถูกบังคับให้ไปอยู่ในชนบท
หลังจากที่มาอยู่ในหมู่บ้านแล้ว หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมไม่อยากทำงานหนัก เธอจึงหลอกลวงหลิวจางเหว่ย หนุ่มหล่อที่สุดในหมู่บ้าน จนในที่สุดเขาก็ตกหลุมพรางและแต่งงานกับเธอ
หลังจากเข้าพิธีวิวาห์ หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมก็ไม่เคยสัมผัสงานหนักแม้แต่วันเดียว
ชีวิตประจำวันของหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมหมุนวนอยู่กับการนอนตื่นสาย ต้องปล่อยให้แสงตะวันส่องกระทบผิวกายก่อน ถึงจะยอมลืมตาตื่น
ส่วนเวลาที่เหลือ…ก็หมดไปกับการเสาะแสวงหาความสุขสบาย
ความขี้เกียจฝังรากลึก ราวกับเป็นสัญชาตญาณที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมนอกจากจะเต็มไปด้วยความเกียจคร้านแล้ว ยังเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอย่างหน้าไม่อายอีกด้วย
วันนี้…แย่งลูกอมหวาน ๆ จากมือเด็กน้อยในหมู่บ้าน
พรุ่งนี้…ขโมยไข่ไก่สดใหม่จากน้องสามีผู้โชคร้าย
ส่วนมะรืนนี้…
เธอก็อาจจะย่องไปขโมยมันเทศหวาน ๆ จากแปลงผักของชาวบ้าน
ความละโมบของหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมไม่มีที่สิ้นสุด
แม้กระทั่งกับดักสัตว์ที่นายพรานเฒ่าวางไว้ก็ไม่เว้น
หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมเข้าไปขโมยไก่ป่าหรือกระต่ายป่าที่ติดกับดักอยู่เป็นประจำ และนำมาทำเป็นอาหารแสนอร่อยโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
แม้จะเกิดมาพร้อมกับใบหน้างดงาม แต่ชีวิตของหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมกลับเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน ความเห็นแก่ตัว และนิสัยชอบเอาเปรียบผู้อื่น
‘ช่างน่าเสียดายจริง ๆ’
ตระกูลหลิวที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้าน ผู้คนต่างชื่นชมในความดีงามที่ตระกูลนี้สั่งสมมาอย่างช้านาน
แต่เมื่อหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมเยื้องกรายเข้ามา ตระกูลหลิวก็เหมือนจะเจอกับหายนะ
ตระกูลหลิวที่เคยมีชื่อเสียงดีงามมาตลอด ตอนนี้สมาชิกในหมู่บ้านฝานอิงต่างก็ทอดถอนใจเมื่อเอ่ยถึงตระกูลหลิว
หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกคนทำราวกับเธอเป็นโรคระบาดที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้ บางคนถึงกับแอบซุบซิบนินทาลับหลังว่า
"โอ้ย…หลี่เฟยฮุ่ยแต่งเข้าบ้านหลิวแล้ว แทนที่จะช่วยแม่สามีทำงาน กลับนอนกินบ้านกินเมือง ตระกูลหลิวไม่ล่มจมก็บุญแล้ว!"
แม้แต่เจ้าตูบสี่ขายังเมินหน้าหนี แถมส่งเสียง ‘โฮ่ง ๆ’ ไล่หลัง ราวกับจะบอกว่า ‘ไปไกล ๆ เลย เจ้าตัวขี้เกียจ!’
ช่างน่าเวทนาตระกูลหลิวเสียนี่กระไร! ที่ต้องมาแบกรับชื่อเสียงอันด่างพร้อยเพราะสะใภ้อย่างหลี่เฟยฮุ่ย!
หลังจากที่หลี่เฟยฮุ่ยท้องโย้ราวกับลูกแตงโมกลิ้งได้ ความขี้เกียจของเธอก็เพิ่มระดับขึ้นไปอีก ว่ากันว่าขนาดชุดชั้นในของตัวเองยังต้องให้แม่สามีผู้แสนดีคอยซักให้อย่างกับเป็นคุณหนู
‘โอ้แม่เจ้า! นี่เป็นความขี้เกียจระดับตำนานจริง ๆ’
เมื่อคลอดลูกน้อยออกมา หน้าที่คุณแม่ก็เริ่มต้นขึ้น…แต่ช้าก่อน!
สำหรับคุณแม่อย่างหลี่เฟยฮุ่ยแล้ว การเลี้ยงลูกดูจะเป็นภารกิจสุดหินเกินไป! เธอทำเพียงแค่ให้นมลูกตามหน้าที่ เพียงเพราะกลัวลูกน้อยอดตายเท่านั้น
ส่วนเรื่องดูแลอย่างอื่นน่ะเหรอ? ลืมไปได้เลย!
บางวันนึกครึ้มใจขึ้นมาก็อาจจะเล่นกับลูกสักเล็กน้อย แต่พอเจอเสียงร้องไห้งอแงเข้าหน่อย ก็โยนลูกน้อยใส่มือแม่สามี ไม่ก็น้องสามี
จากนั้นก็เผ่นแนบหนีไปหาความสงบสุขและความสบาย ทิ้งให้คนอื่นปวดหัวแทน!
ครอบครัวหลิวสายรองน่าสงสาร เลี้ยงดูหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมราวกับเป็นเทพเจ้าประจำบ้าน กินหรูอยู่สบาย ไม่ต้องทำงาน และมีคนคอยปรนนิบัติอยู่ตลอด
แต่ความเลวร้ายในตัวเธอยังไม่หมดเพียงเท่านี้
โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘นางเอก’ ของนิยายเรื่องนี้!
หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมชอบวิ่งแจ้นไปก่อกวนนางเอกเป็นประจำ
ทุกสองสามวัน ต้องหาเรื่องไปแหย่ให้นางเอกของขึ้น ไม่รู้ว่าหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมเป็นโรคอะไร ถึงชอบหาเรื่องใส่ตัว บางทีอาจจะเบื่อชีวิตแสนสุข เลยอยากหาเรื่องท้าทายทำบ้าง
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็หนีไม่พ้นการโดนนางเอกสั่งสอนอย่างสาสม โดนตบ โดนเตะ โดนต่อย สารพัดท่า จนคนอ่านอย่างเรา ๆ ได้แต่อุทานในใจว่า
‘โอ้ย…หลี่เฟยฮุ่ยเอ้ย! แกจะหาเรื่องใส่ตัวไปถึงไหน!’
ชีวิตของหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิม ช่างน่าอิจฉาในเรื่องของความสุขสบาย แต่ก็น่าสมเพชที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวไม่เลิก
เชิงอรรถ
[1] ยอมรื้อวัดสิบหลังดีกว่าทำลายงานแต่งงานหนึ่งงาน หมายถึง ชีวิตคู่ 1 คู่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และควรได้รับการปกป้องและทะนุถนอมไว้ แม้จะต้องแลกด้วยการเสียสละสิ่งอื่น ๆ ที่มีค่าก็ตาม
—-----------
สารจากผู้แปล
โอ๊ย…ผู้แปลละปวดหัวใจเหลือเกิน คนตระกูลหลิวนี่ก็แปลกนะ แยกคู่รักเขาออกจากกันไม่ได้สักที แต่เรื่องใช้กำลังนี่ไวเหลือเกินเชียว ตีเขาไปทั่ว ผู้แปลพูดไม่ออกเลย เฮ้อ…กรรมของเวร
บทที่ 3 ใช้ความตายมาข่มขู่
บทที่ 3 ใช้ความตายมาข่มขู่
เมื่อพูดถึงนางร้ายแล้ว ก็ต้องพูดถึงสามีของหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมอย่าง ‘หลิวจางเหว่ย’ ด้วย แถมชายคนนี้ยังเป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้อีกต่างหาก
ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ก็เหลือเกินจริง ๆ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพ่อหนุ่มคนนี้มาแค่หยิบมือเดียว
ทำเหมือนเขาเป็นตัวประกอบที่เดินผ่านไปมา บอกแค่ว่า ‘หล่อที่สุดในหมู่บ้าน’ แค่นี้เองเหรอ?
แล้วนิสัยใจคอล่ะ? ภูมิหลังล่ะ? งานอดิเรกล่ะ?
ไม่บอกอะไรเลย!
‘หลิวจางเหว่ยเป็นพระเอกนะ!’
หลิวจางเหว่ยแต่งงานได้ไม่นาน ก็ถูกเรียกตัวไปทำภารกิจลับสุดยอด ที่ไม่รู้ว่าเป็นภารกิจลับจริงหรือแค่หนีเมีย!
ปล่อยให้หลี่เฟยฮุ่ยผู้โชคร้ายต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว!
แม้แต่หลี่เฟยฮุ่ยที่เพิ่งทะลุมิติมาก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตาของสามีตัวเป็น ๆ พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกภาพของหลิวจางเหว่ยไม่ออก!
ในหัวมีเพียงภาพอันเลือนรางของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ กำยำแบบสามเหลี่ยมกลับหัว พร้อมกล้ามท้องที่ชัดเจนถึงแปดก้อน
เอาเป็นว่าหลิวจางเหว่ยยังคงเป็นปริศนาที่ต้องค้นหาต่อไป!
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่เฟยฮุ่ยยังฝันเห็นชายคนหนึ่งในชุดสีดำสนิท เขาสูงสง่า อกผาย ไหล่ผึ่ง มีรัศมีบางอย่างที่ดูน่าเกรงขาม เขาหันหลังให้ไม่ยอมหันกลับมา ไม่ยอมให้เห็นหน้า มีเพียงเสียงทุ้มต่ำที่ดังก้องอยู่ในความฝัน
"รอฉันนะ…"
คำพูดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของหลี่เฟยฮุ่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
ชายหนุ่มลึกลับในฝันคือใครกันแน่ เขาเกี่ยวข้องอะไรกับหลิวจางเหว่ยหรือไม่ และที่บอกให้รอ มันหมายถึงอะไร ต้องรออะไร รอนานแค่ไหน
ปริศนามากมายผุดขึ้นในใจ แต่คำตอบยังคงเลือนราง
หลี่เฟยฮุ่ยรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่
บางที นอกจากการเอาชีวิตรอดจากชะตากรรมอันโหดร้ายของนางร้ายในนิยายแล้ว หลี่เฟยฮุ่ยอาจต้องเผชิญหน้ากับความลับบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้เงาของความมืดมิด
นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวบทใหม่ที่แสนเข้มข้น ซับซ้อน และน่าตื่นเต้นกว่าที่เธอเคยคาดคิดเอาไว้ก็ได้
ส่วนเรื่องที่หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมทำอย่างเรื่องโดดน้ำตายนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเพราะเพื่อนชายในวัยเด็กของเธอ
เพื่อนชายคนนี้หายหน้าหายตาไปก่อนที่หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมจะถูกส่งมาอยู่ที่ชนบท
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนชายคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับจดหมายที่เต็มไปด้วยถ้อยคำหวานซึ้ง ชวนให้นึกถึงอดีตอันแสนหวาน และพยายามชักชวนให้เธอกลับไปใช้ชีวิตหรูหราในเมือง
แน่นอนว่าชีวิตในชนบทที่แสนสบาย สามีที่หล่อเหลา รูปร่างกำยำ ก็ไม่อาจเทียบได้กับแสงสีในเมืองใหญ่ หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมยังคงรักความสนุกราวกับสาวน้อยวัยแรกรุ่น จึงเกิดอาการ ‘อยากกลับบ้าน’ อย่างรุนแรง
แต่การจะทิ้งสามีและลูกน้อยไปแบบหน้าตาเฉยก็ดูจะใจร้ายเกินไป
ดังนั้น หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมจึงงัดไม้เด็ดขึ้นมาใช้ ไม้เด็ดที่ว่าก็คือการ ‘ขู่ฆ่าตัวตาย’ เพื่อให้ครอบครัวหลิวยอมปล่อยให้เธอกลับไปใช้ชีวิตในเมืองอันแสนสุขสบาย
สุดท้าย…แผนการของเธอก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
เพราะในระหว่างที่กำลังพยายามกระโดดน้ำตาย โชคชะตาก็เล่นตลก หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมเกิดพลาดท่า และตายจริง ๆ ทำให้หลี่เฟยฮุ่ยคนใหม่ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน
ช่างเป็นเรื่องราวที่ชวนปวดหัวซะจริง
ท่ามกลางความอลหม่านของเหตุการณ์ทั้งหมด หลี่เฟยฮุ่ยคนใหม่ได้รับมรดกตกทอดอันแสนหนักอึ้ง
นั่นคือ ชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ ความเกียจคร้านระดับตำนาน ลูกน้อยที่แทบไม่ได้เลี้ยงดู และครอบครัวสามีที่เอือมระอาเธอเต็มที
แต่อย่างน้อยหลี่เฟยฮุ่ยคนใหม่ก็ไม่ได้อยากกลับเข้าเมือง เธอไม่รู้จักเพื่อนชายในวัยเด็กคนนั้น ไม่ได้มีความทรงจำหรือความรู้สึกผูกพันใด ๆ กับเขา ชีวิตในเมืองที่แสนวุ่นวายก็ไม่ได้ดึงดูดใจเธอเลยแม้แต่น้อย
กลับกันความสงบเรียบง่ายของชนบท ช่างมีแรงดึงดูดใจมากมายนัก
ที่สำคัญที่สุด คือ เธอไม่อยากจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเหมือนกับหลี่เฟยฮุ่ยคนเดิม
ดังนั้น หลี่เฟยฮุ่ยคนใหม่จึงตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอจะลบภาพลักษณ์ ‘นางร้าย’ ออกไปจากใจของทุกคน
เธอจะเปลี่ยนตัวเองจาก ‘สะใภ้ตัวปัญหา’ ให้กลายเป็น ‘สะใภ้แสนประเสริฐ’
หลี่เฟยฮุ่ยคนใหม่คนนี้จะเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลี่เฟยฮุ่ยที่เข้าใจเรื่องคร่าว ๆ แล้ว แต่ก็ยังอยากจะเอาหัวชนกำแพงเพื่อกลับไปศตวรรษที่ 21 เหลือเกิน แม้เธอจะไม่มีญาติพี่น้องแล้ว แต่พ่อแม่ก็ทิ้งมรดกก้อนใหญ่ไว้ให้
เธอเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นสาวสวยผิวขาวขายาว บัตรเครดิตก็ยังมีเงินเหลืออีกหลายหลัก แต่กลับต้องทะลุมิติมาอยู่ในนิยายยุค 70 แบบงง ๆ
นี่เป็นยุคที่ขาดแคลนอาหาร และยากจนข้นแค้นอย่างไม่มีสาเหตุ
ความเจ็บปวดของการที่เงินอยู่ในธนาคารแต่คนอยู่บนสวรรค์ ใครจะเข้าใจ?
ขณะที่เธอกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้น เสียงของเฉินซินหยานก็ดังขึ้นมาดึงสติของเธอให้หลุดออกจากภวังค์
เสียงของแม่สามีที่เอ่ยออกมามีทั้งความอ่อนโยนและขลาดกลัว แถมยังมีความเอาใจด้วยนิดหน่อย ไม่แปลกที่จะถูกเจ้าของร่างเดิมกดขี่
"เฟยฮุ่ย? ตื่นแล้วเหรอลูก?"
‘รู้ทันซะด้วยว่าฉันตื่นแล้ว’ หลี่เฟยฮุ่ยได้แต่แอบบ่นในใจ
หญิงสาวจึงยอมลืมตาขึ้นอย่างเนือย ๆ เพื่อเผชิญหน้ากับเฉินซินหยานที่กำลังยิ้มบาง ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว ราวกับนักแสดงหญิงกำลังเตรียมตัวเข้าฉากในละครน้ำเน่า
"เฟยฮุ่ย แม่เป็นแม่หม้ายมาหลายปีแล้ว" เฉินซินหยานเริ่มบทสนทนา น้ำเสียงสั่นเครือ
"แม่รู้ว่าใจลูกคงทุกข์ทรมาน แต่เราไม่ได้ตกลงกันไว้แล้วเหรอ? ลูกจะรอจางเหว่ยสามปี หลังจากนั้นถ้าจางเหว่ยยังไม่มีข่าวคราว ลูกจะกลับเมืองหรือจะแต่งงานใหม่ แม่ก็ไม่ขัดขวาง แต่…”
เฉินซินหยานหยุดพูดไปครู่นึง พลางลอบมองหน้าหลี่เฟยฮุ่ย
“ขอให้ลูกสงสารซีซวนของเราหน่อยเถอะ เขายังไม่ถึงสองขวบเลย ยังต้องพึ่งพาคนเป็นแม่อยู่ รออีกสักครึ่งปี…ได้ไหม?"
เฉินซินหยานเอ่ยคำขอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แววตาเว้าวอน ประหนึ่งนางเอกผู้แสนดีกำลังอ้อนวอนเธอที่เป็นนางร้ายให้เห็นใจ
หลี่เฟยฮุ่ยได้แต่ฟังอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ในใจ
ดูเหมือนว่า ‘สัญญาสามปี’ ที่เฉินซินหยานกล่าวถึง จะเป็นข้อตกลงที่หลี่เฟยฮุ่ยคนเดิมเคยทำไว้กับแม่สามี เพื่อเป็นหลักประกันว่าเธอจะไม่ทิ้งลูกชายของตัวเองไป
เอ…หรือว่า…
เฉินซินหยานกำลังกลัวว่าลูกน้อยของฉัน…
จะเป็นภาระของพวกเขางั้นเหรอ?
แถมยังต้องรอสามีที่หายไปคนนั้นตั้งสามปีด้วยงั้นเหรอ?
หลี่เฟยฮุ่ยไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย
เดี๋ยวก่อน ‘ซีซวน’ ลูกชายที่ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของฉันงั้นเหรอ?
เมื่อนึกถึงลูกชายที่ไม่คลอดเองของเธอคนนั้น หลี่เฟยฮุ่ยจึงเอียงหน้ามองไปเฉินซินหยานอย่างพิจารณา
ภาพของคนแก่และเด็กน้อยจึงปรากฏเข้าสู่สายตา หลี่เฟยฮุ่ยถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ
—-----------
สารจากผู้แปล
อยากเห็นหน้าหลิวจางเว่ยเหลือเกิน หล่อขนาดไหนกันนะ ถึงได้ร่ำลือกันนักหนา สงสัยต้องพึ่งบุญพาวาสนาส่ง