โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

หัวรถจักรไอน้ำ ซี 56 รุ่นสงครามญี่ปุ่นบนคู่รางไทย-พม่า ถึงวันคืนถิ่น...ไปแล่นท่องเที่ยว จ.ชิซุโอกะ

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 22 มิ.ย. 2562 เวลา 04.47 น. • เผยแพร่ 22 มิ.ย. 2562 เวลา 04.47 น.

สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มจากอังกฤษกับฝรั่งเศสเปิดศึกเยอรมนี ซึ่งมีญี่ปุ่นเป็นเพื่อนน้ำมิตรนาซีเมื่อปี 2482 และญี่ปุ่นก็กำลังต้องการขยายอิทธิพลหมายครอบครองเอเชีย

ปี 2484 กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกฝั่งทะเลอ่าวไทย ทางภาคกลางและใต้ไม่เว้นทางบก ปีถัดมา…กดดันให้ไทยยอมประกาศสงครามกับพันธมิตร เพื่อความอยู่รอดไทยจึงยอมทำตาม

ปีเดียวกันนั้น…ญี่ปุ่นเกิดต้องการใช้ไทยเป็นฐานไปถล่มอังกฤษในพม่า แล้วไปรบอังกฤษที่อินเดียขณะเป็นเจ้าอาณานิคมอินเดีย ด้วยญี่ปุ่นเห็นว่าการส่งยุทธปัจจัยทางทะเลจากสิงคโปร์ไปย่างกุ้ง ย่อมเสี่ยงกับการถูกทหารพันธมิตรโจมตี

จึงเลือกสร้างทางรถไฟจากหนองปลาดุก ผ่าน จ.กาญจนบุรี เลียบลำแควน้อยผ่านเทือกเขาตะนาวศรี ถึงพรมแดนด่านเจดีย์สามองค์ แล้วต่อไปถึงทันบิวซายัดพม่า ระยะทาง 415 ก.ม. …จะปลอดภัยกว่า

บันทึกประวัติศาสตร์คราวนั้น จารึกไว้ด้วยเลือดปนน้ำตาแห่งความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นว่า การก่อสร้างทางรถไฟสายนี้เมื่อปี 2485 แล้วเสร็จปี 2486 ต้องใช้แรงงานชาวเอเชียกับเชลยศึกชาวตะวันตกมากถึง 261,700 คน

แต่ละคนต้องทนต่อสู้กับไข้ป่าและการทารุณเกินมนุษย์จากทหารญี่ปุ่น

ต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 1 แสนคน จนเกิดนิยาม “ทางรถไฟสายมรณะ” ไม้หมอน 1 ท่อนคือมนุษย์ 1 ชีวิต

 

ลองมาทบทวนอดีตก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะปะทุโดยอาศัยเอกสารการรถไฟโออิกาวา ชื่อ Returned C 56 Steam Locomotive หรือการคืนถิ่นหัวรถจักรไอน้ำ ซี 56 ซึ่งระบุว่าญี่ปุ่นขณะนั้นได้ชื่อว่าคือผู้ผลิตรถไฟหัวรถจักรไอน้ำตระกูลซี 56 ที่คนญี่ปุ่นเรียก “SL”

ผลิตขึ้นโดยโรงงานมิตซูบิชิ จ.ชิซุโอกะ ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศญี่ปุ่น และเป็นจังหวัดอันเป็นที่ตั้งภูเขาไฟฟูจิ กับแหล่งปลูกชาเขียว ผลิตภัณฑ์ลือชื่อท้องถิ่นแห่งนี้

หัวรถจักร SL มีคุณสมบัติคือใช้พลังความร้อนจากเตาเผาไปต้มน้ำให้เดือดกลายเป็นไอ แล้วแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนหัวรถจักรลากจูงตู้โดยสาร สร้างสำเร็จปี 2478 เริ่มให้บริการในท้องถิ่นญี่ปุ่นก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาจะเกิด

เมื่อกระแสนิยมมากขึ้น ญี่ปุ่นจึงส่ง SR ให้ประเทศต่างๆ ใช้งาน รวมถึงไทยกับพม่าเมื่อปี พ.ศ.2486 เพื่อใช้ลากจูงตู้โดยสารลำเลียงเสบียงกรังกับทหารญี่ปุ่นไปรบอังกฤษที่พม่า

หัวรถจักรไอน้ำปฏิบัติภารกิจให้กองทัพญี่ปุ่นในไทยได้แค่ 2 ปี พอปี 2488 หลังมะกันนำฝูงบินขนปรมาณูบินลัดฟ้ามาหย่อนใส่เมืองฮิโรชิมากับนางาซากิก่อนฟ้าสางจนราบเป็นหน้ากลอง พร้อมสูญเสียชีวิตมนุษย์กับความพิกลพิการมากมาย

ก่อให้เกิดอนุสรณ์สถานตำนานหนูน้อยซาดาโอะกับนกกระเรียน แสดงสัญลักษณ์เรียกร้องสันติภาพโลก ขึ้นหน้าบอมบ์โดมกลางเมืองฮิโรชิมา

ความหายนะคราวนั้น…ทำให้พระจักรพรรดิญี่ปุ่นตัดสินพระทัย ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้เป็นบทเรียนอันแสนสาหัสสำหรับชาวญี่ปุ่นทุกรุ่น…ที่ยากจะลืมเลือน!

หลังสงครามจบ…การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้นำหัวรถจักรไอน้ำ ซี 56 กลับมาลากจูงตู้โดยสารอีกพักใหญ่ ขณะญี่ปุ่นมีใช้งานอยู่ 70 คัน และปลดระวางลงเมื่อปี 2516 หลังใช้งานนานถึง 78 ปี หรือเกือบ 8 ทศวรรษ

หัวรถจักรไอน้ำสายเลือดบูชิโด แล่นปู๊น! ปู๊น! อยู่ในไทยถึงปี 2520 ภารกิจสุดท้ายได้แก่ แล่นรับ-ส่งผู้โดยสารจากสถานีชุมพรไปสถานีทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช แล้วปลดระวางตามญี่ปุ่น

สรุปรวมทำคุณประโยชน์ให้กิจการรถไฟไทยเป็นเวลา 46 ปีเต็มๆ

คงเหลือหัวรถจักรหมายเลข ซี 5622 ซึ่งบูรณะให้เหมือนใหม่ตั้งแสดงไว้ตรงลานด้านข้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว ต.ท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี เป็นอนุสรณ์แห่งมหาสงครามญี่ปุ่น

ต่อมา…ญี่ปุ่นผู้เป็นเจ้าของ SL ได้แจ้ง ร.ฟ.ท. ขอรับม้าเหล็ก 2 คันกลับคืนถิ่นแผ่นดินแม่ ร.ฟ.ท.รับดำเนินการให้และนำหัวรถจักรทั้งสองลงเรือสินค้าที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ส่งคืนให้ญี่ปุ่นเมื่อต้นปี 2522

ไปถึงท่าเรือโยโกฮามาเมื่อ 25 มิถุนายนปีนั้น แล้วลำเลียงต่อไปยังโรงซ่อมบำรุงการรถไฟโออิกาวา จ.ชิซุโอกะ ทั้งสองถูกซ่อมบำรุงอยู่ครึ่งปี บูรณะเครื่องจักรทุกตัวที่สึกหรอ เปลี่ยนล้อตามมาตรฐานรางญี่ปุ่น เปลี่ยนสีตัวถังจากน้ำเงินเข้มเป็นดำขลับ กับกันชนหน้าพ่นสีแดงทับ

หนึ่งในนั้นถูกส่งไปตั้งแสดงไว้ที่เมืองหลวงโตเกียว เพื่อเตือนความจำเหล่าลูก-หลานให้รำลึกถึงวีรกรรมม้าเหล็กแทนม้าศึกคือกองทัพญี่ปุ่นผู้ผจญสงคราม

ส่วน SR อีกคันคือ ซี 56 หมายเลข 735 ในชื่อใหม่ “โพนี่ (Pony)” หรือม้าแกลบ ได้ฤกษ์แล่นปู๊น! ปู๊น! อีกครั้ง เป็นขบวนท่องเที่ยวประจำท้องถิ่นชิซุโอกะ ซึ่งขบวนนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมโรมานซ์ทางรถไฟ 1 ใน 10 ของญี่ปุ่น

และเป็น 1 ใน 2 ขบวนนำเที่ยว ที่ใช้ SR โบราณลากจูงขบวน โดยโพนี่ประจำการบนเส้นทางสายนี้จากสถานีคานายาไปสถานีเซ็นซู จ.ชิซุโอกะ ระยะทาง 35.9 ก.ม. แล่นเลียบแม่น้ำโออิกาวา ผ่านไร่ชาสำหรับผลิตชาเขียวชื่อดังระดับประเทศญี่ปุ่น

โพนี่ใช้เวลาแล่นนำเที่ยว 1 ชั่วโมง 20 นาทีต่อเที่ยว หยุดแวะรับ-ส่งทุกสถานี 19 แห่ง และบริการเฉพาะวันหยุดวันละ 1-3 เที่ยว ขึ้นอยู่กับฤดูกาลช่วงร้อนหรือหนาว

โพนี่เคยผ่านสงครามในไทย ทำให้มีเรื่องเล่าขานเชิงตำนานชวนสนใจแก่นักท่องเที่ยวระหว่างเดินทาง จึงน่าจะเป็นการนำเสนอขายท่องเที่ยวไทยได้ช่องทางหนึ่ง

แต่น่าเสียดาย…ไทยมีสำนักงาน ททท.สาขาโตเกียวตั้งอยู่ย่านฮิบิยาใกล้ย่านการค้ากินซ่า ทำหน้าที่รุกตลาดท่องเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวไทย และรับผิดชอบพื้นที่ถึง จ.ชิซุโอกะ แล้วยังมีสำนักงานสาขาที่โอซาก้ากับฟูกูโอกะ

ทว่า…ทั้ง 3 แห่งกลับไม่มีบทบาทที่จะเจาะตลาดกลุ่มเหล่านี้ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวตัวจริง ให้เกิดความคิดวางแผนมาเที่ยวเมืองไทยตามรอยสงคราม และรอยโพนี่หลังสงครามเลิก

อีกเรื่องที่ชวนน่าเสียดาย…กรณีการปลดระวางหัวรถจักรไอน้ำที่เหลือในไทยลงแต่ปี 2520 ร.ฟ.ท.ก็ไม่คิดที่จะบูรณะกลับมาใช้เพื่อการท่องเที่ยวเหมือนโออิกาวาโมเดล มีบ้างที่นำมาประกอบฉากการแสดงแสง สี เสียง บนสะพานข้ามแม่น้ำแคว และนำเที่ยวอยุธยาเป็นครั้งคราว

ปัจจุบันกิจการรถไฟไทยกำลังตกต่ำย่ำแย่ จากกรณีสายการบินต้นทุนต่ำเข้ามามีอิทธิพลเหนือผู้บริโภค แถมมีรถบัสปรับอากาศเป็นตัวสอดแทรก เพิ่มการแข่งขันภายใต้ระบบโลจิสติกส์แนวใหม่อย่างรุนแรง ส่งผลให้สถานะรถไฟไทยทรุดหนักลงไปอีก

กระนั้น…ก็ยังดีที่ทุกวันนี้ ร.ฟ.ท.ยังคงอนุรักษ์เส้นทางสายสั้นๆ ไว้บริการ ซึ่งมีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวอยู่บ้าง เพียงขาดการพัฒนาภาพลักษณ์ “ถึงก็ชั่ง ไม่ถึงก็ชั่ง” ด้วยการทดลองขนเอาหัวรถจักรไอน้ำที่พอฟื้นฟูได้มาแล่นเป็นขบวนพิเศษเพื่อการท่องเที่ยวช่วงวันหยุด

โดยมีเส้นทางแล่นบริการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น ขบวนรถไฟสายมรณะกาญจนบุรี, เส้นทางรถไฟสายตะวันออกเที่ยวพัทยา-พลูตาหลวง, สายอรัญประเทศเชื่อมปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ที่มีแผนจะขยายไปถึงเสียมเรียบรับเออีซี

เส้นทางระหว่างประเทศอีกแห่ง คือจากสถานีหนองคายสู่ท่านาแล้ง สปป.ลาว

ไม่รู้นะ…

ถ้า ร.ฟ.ท.รู้จักอนุรักษ์พร้อมพัฒนาเช่นโออิกาวาโมเดล แสดงความสง่างามขบวนรถไฟนำเที่ยวที่มีหัวรถจักรไอน้ำโบราณปรากฏอยู่หัวขบวน ก็จะเป็นสีสันผลักดันให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวทางรถไฟแบบโรมานซ์เชิงคุณภาพ โดยทำตลาดอย่างมืออาชีพ ขยันรุกตลาดอย่างเข้มข้น พัฒนาบริการให้ก้าวหน้า พร้อมร่วมงานส่งเสริการขายท่องเที่ยวทุกเมื่อ

เชื่อว่า…วิธีนี้น่าจะเกิดมิติใหม่ให้กิจการรถไฟไทย!

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...